นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 12:45 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 22 พ.ค. 2010 2:42 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 19 ม.ค. 2009 4:23 pm
โพสต์: 299
โดย...ภัทระ คำพิทักษ์
เรื่องราวของศิษย์ฆราวาสของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นั้น น่าสนใจพอๆ กับเรื่องราวของเหล่าพ่อแม่ครูอาจารย์ผู้เป็นศิษย์ของท่าน เสียแต่ว่าเรื่องราวเช่นนี้ปรากฏอยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่จะตกทอดมาโดยการบอกเล่าของเหล่าครูบาอาจารย์ที่ทันได้อยู่ร่วมกับหลวงปู่มั่นเท่านั้น สองสามเรื่องในหมู่นั้นคือ เรื่องของ อุ้ยมนฑ์ และ พ.อ.นิ่ม ชโยดม

ผู้เล่าเรื่องอุ้ยมนฑ์เอาไว้ คือ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ

ผู้เล่าเรื่อง พ.อ.นิ่ม ชโยดม คือ หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ

เมื่อ พ.ศ. 2498 หลวงปู่จามวิเวกมาจำพรรษาอยู่ที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ปีนั้นมีพ่อขาวซึ่งเป็นตาเฒ่าผู้หนึ่งขอมาปฏิบัติอยู่ด้วย พ่อเฒ่าผู้นี้เป็นคนบ้านแม่มาลัย จ.แม่ฮ่องสอน แต่มามีภรรยาอยู่ที่ อ.แม่แตง จึงอยู่ที่นั่นเรื่อยมา

ปีที่พบกันนั้น หลวงปู่จามยังเป็นพระหนุ่มวัย 46 ปี ส่วนอุ้ยมนฑ์ อายุ 80 ปีเต็ม เมื่อหลวงปู่มั่นนั้นละขันธ์ใน พ.ศ. 2492 ขณะอายุ 80 ปี แสดงว่าอุ้ยมนฑ์เกิดหลังหลวงปู่มั่นราว 6 ปี

อุ้ยภาษาเหนือแปลว่า ผู้เฒ่า ปู่ หรือตา จึงมีผู้เรียกท่านว่า อุ้ยมนฑ์ บ้างก็ว่า ส่างมนฑา ส่วนหลวงปู่จามเรียกท่านว่า พ่อขาวเฒ่า – คนเฒ่า – คนเฒ่าพ่อส่าง - พ่อส่าง

ท่านว่า “โยมพ่อขาวเฒ่าคนนี้สำคัญมาก เพราะเคยเป็นลูกศิษย์ของเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต) มาก่อน ปีที่คนเฒ่ามาอยู่กับผู้ข้าฯ นั้น อายุ 80 ปีเต็ม ตัวผู้ข้าฯ ก็ได้ 46 ปี ห่างกันเป็นครึ่ง แต่คนเฒ่าเป็นคนแข็งแรง มาอยู่ด้วยกันเราก็ห้ามไม่ให้ทำกิจในการดูแล เพราะอายุมากแล้ว คนเฒ่าก็ไม่ยอม ล้างบาตร ล้างกระโถน กาน้ำ แก้วน้ำ ต้มน้ำร้อน ปัดกวาดดูแลทุกอย่าง ตลอดจนต้มน้ำให้ผู้ข้าฯ อาบ เราห้ามไม่ให้ทำ คนเฒ่าก็ไม่ยอม ขอปวารณาทำให้ตลอด”

พ่อส่าง เล่าให้ฟังว่า ปีที่พบกับหลวงปู่มั่นนั้นเป็นปีที่ท่านอายุ 59 ปี กำลังทุกข์เทวษเพราะภรรยาเสียชีวิต ระหว่างหนุ่มใหญ่ในขณะนั้นนั่งจมกองทุกข์ หลวงปู่มั่นก็แบกกลดสะพายบาตรตรงเข้ามาหา แต่ทุกข์มันก็ท่วมตาท่วมใจเสียจนไม่รู้สึกตัว กระทั่งหลวงปู่มั่นกระแอมขึ้นมา พ่อส่างจึงรู้สึกตัวเลยถามขึ้นว่า “ตุ๊เจ้ามาแต่ไหน จะไปไหน?”

หลวงปู่มั่น จึงแจ้งว่า “จะมาพักที่นี่ได้ไหม ใกล้แถบนี้มีหนองน้ำไหม?”

พ่อส่างเรียนว่าที่นี่เป็นป่าช้า ขอให้ไปพักที่ของท่านเถิด เพราะที่แห่งนั้นมีบ่อน้ำ แล้วหลวงปู่มั่นก็หยุดพัก ณ ที่ดินของพ่อส่าง โดยคืนแรกพักอยู่ในโรงนา เช้ารุ่งขึ้นพ่อส่างจึงปลูกที่ให้พำนัก

“ท่านอยู่โปรดผม 16 วัน แล้วก็ลาไป ท่านสอนให้ละความอาลัย ละความโศกเศร้า ให้รู้จักเหตุทุกข์ การปฏิบัติก็แต่ไหว้พระสวดมนต์ การรักษาศีล การปฏิบัติระเบียบพระธุดงค์ ตอนนั้นผมเองยังไม่รู้จักกับท่านหรอกว่าเป็นครูบาอาจารย์ผู้ทรงธรรม ถามชื่อท่าน ท่านก็ว่า “ตุ๊เฒ่ามั่น”

ผ้าผ่อนบริขารของใช้ของเพิ่นก็มีแต่ของเก่าๆ สีเหลืองซีด กลดที่เพิ่นใช้ก็เอาจ้องบ่อสร้างมาใช้ ผ้ามุ้งกลดก็เก่าๆ ตัวผมเองก็พอใจกับกิริยาคำว่าคำสอนของท่านว่า สอนมีหลัก มีเหตุผล ไม่เหมือนกับตุ๊มหานิกาย ตุ๊เมือง บางวันก็เห็นเพิ่นเดินจงกรมทั้งวัน นั่งพักช่วงบ่ายหน่อยหนึ่งแล้วก็เดินอีกจนค่ำ อาหารข้าวปลาเพิ่นฉันไม่มาก ฉันพออิ่มแล้วก็หยุด ท่านอยู่โปรดกระผมนับ 16 วัน ที่เพิ่นจากไป...”

แม้จะได้พบกับพระอาจารย์มั่น ได้รับการสั่งสอนสองต่อสองอยู่ถึง 16 วัน พอหลวงปู่มั่นจากไปแล้ว อุ้ยส่างก็พยายามติดตามหาท่านอีก แต่พออายุ 59-60 ปี พ่อส่างก็ยังไม่หมดเคราะห์ เพราะมาพบเอาแม่ม่ายอายุ 32 ปี แล้วโดนเขาปล้ำเอา

“หนีไปไหนไม่ได้ อยู่ด้วยกันมาได้ลูกสาว 3 คน”

ถึงกระนั้นพ่อเฒ่าส่างมนฑาก็ “สำคัญมาก” เพราะหลวงปู่จามว่า ท่านปฏิบัติภาวนาจนได้ฌาน 4

“อุ้ยส่างคนนี้ภาวนาได้ความดี ได้ถึงองค์ฌาน...ที่ 4”

พอใกล้ออกพรรษาในปีนั้น อุ้ยส่างมนฑาเล่าให้หลวงปู่จามฟังว่า ภาวนาไปแล้วเกิดนิมิตว่าเดินไปตามถนนปูด้วยหญ้าเขียวอ่อนนุ่ม สองข้างทางก็ตกแต่งสวยงาม มีหลักกิโลเมตรอยู่ 82 หลัก แล้วก็หยุดอยู่

“ผมแปลของผมว่า อายุของผมอีก 2 ปี จะตายดับแน่นอน แต่ผมก็อุ่นใจบ้างแล้วท่านเอ๊ย ครูบาอาจารย์มั่นมาโปรดไว้ ต่อมาก็ได้ท่านนี้ล่ะมาสั่งสอนแนะนำ จึงได้ประโยชน์ตนที่ไม่สูญหายอย่างนี้”

ข้างหลวงปู่จามก็ว่า พรรษานั้นท่านก็รู้อยู่ว่าจิตผู้เฒ่าคนนี้ขาวใสมีรัศมี แต่ติดอยู่ในเอกัคคตารมณ์ พอจะแก้ให้พ่อเฒ่าก็ไม่เอากลับว่า “ได้สุขในนั้นผมก็พอแล้ว เพราะหนทางข้างหน้าแต่หลัก 82 ไปแล้วมันเป็นทางลับมืด ไม่เห็นหนทางต่อไปอีก ท่านอาจารย์ว่าหากจิตเข้าพรหมโลก อายุยืนยาว ผมก็จะไปดู ถ้าได้ไปผมพอใจแล้วท่านเอ๊ย”

เมื่อคนทำพอใจแต่แค่นั้นท่านก็ว่าหมดช่องทางจะแก้ไขให้ หมดพรรษานั้นอุ้ยส่างมนฑากลับไปอยู่เรือน แต่สมาทานศีล 5 วันพระถือศีล 8 จนตายไปตามนั้น ทิ้งไว้แต่ในความทรงจำของหลวงปู่จามที่ว่า เวลาผู้เฒ่าเดินจงกรมในยามกลางคืนนั้นไม่เคยจุดตะเกียง จุดเทียน ไม่ใช้แสงสว่างใดๆ เลย แต่เดินไปเดินมาทางจงกรมของผู้เฒ่าส่าง|หัวท้ายตรงกันโดยไม่คดไม่งอเลย

ท่านว่าผู้เฒ่าคนนี้ตายไปแล้วจะไปสถิตในพรหมโลก ต่อไปเบื้องหน้าจะมาเกิดในศาสนาของพระพุทธเจ้า ของพระโพธิสัตย์องค์ที่ 6 บำเพ็ญบุญให้ทานในกัลป์ของพระพุทธเจ้าองค์ที่ 7-8-9-10 แล้วจะสำเร็จเป็นอสีติสาวกของพระพุทธเจ้าสุมังคโล แบบพระเรวตะสามเณรครั้งพุทธกัลป์นี้

“อันนี้ไม่ใช่ผู้ข้าฯ พูด แต่เป็นท่านพระอาจารย์ตื้อ (อจลธัมโม) พูดไว้” หลวงปู่จามว่าอย่างนั้น

หลวงปู่จามพบอุ้ยส่างมนฑาที่เชียงใหม่ แต่หลวงตาทองคำพบ พ.อ.นิ่ม ที่บ้านหนองผือ

ท่านว่าวันหนึ่งมีทหารผู้หนึ่งมากราบหลวงปู่มั่นแต่เช้า มาถึงก็รายงานตัวว่าชื่อนั้น ยศเท่านี้ พระอาจารย์มั่นก็เทศน์ให้ฟังเรื่องทาน ศีล เนกขัมมะ กาม โทษของกาม เทศน์จบก็ลากลับ พอตกค่ำหลวงตาทองคำซึ่งครั้งนั้นยังเป็นพระหนุ่มขึ้นไปนวดถวาย พระอาจารย์มั่นเลยเล่าให้ฟังว่า ตอนใกล้สว่างวันนั้นท่านภาวนาแล้วเกิดนิมิตว่ามีนายทหารยศนายพันคนหนึ่งมารายงานตัวว่า “ผมมาจากวอชิงตัน”

ตอนนั้นถึงเกิดนิมิตก็ไม่ได้พิจารณา แต่พอมีทหารมารายงานตัวเลยหวนพิจารณาดู

สิ่งที่เกิดรู้ขึ้นมาจากการหวนพิจารณาของท่านคือ ครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่งทหารไปร่วมรบในมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เยอรมนีนั้น นายทหารผู้นี้เป็นนายทหารอเมริกัน นายทหารอเมริกันผู้นั้นพบนายทหารไทยผู้หนึ่งนอนอ่านหนังสืออยู่แล้วเข้ามาถามว่า อ่านหนังสืออะไร พอทหารไทยตอบว่าเรื่องเบญจศีล เบญจธรรม เขียนโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เขาก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ ขอให้ทหารไทยช่วยอธิบายให้ฟังว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร

เมื่อฟังแล้วทหารอเมริกันนายนี้เกิดศรัทธาปสาทะ ถึงกับสมาทานศีล 5

ด้วยอานิสงส์นี้เองเมื่อเขากลับไปเสียชีวิตที่อเมริกาแล้วก็ได้มาเกิดที่เมืองไทย นาม พ.อ.นิ่ม ชโยดม ผู้มาสักการะท่านในตอนเช้าวันนั้นนั่นเอง

ท่านว่า พ.อ.นิ่ม ปรารถนาจะสำเร็จพระโสดาบัน และเขาถามท่านว่า ตัวเขาพอจะปิดประตูอบายภูมิได้ไหม ท่านก็ตอบกลางๆ ว่า “สำหรับผู้ปฏิบัติก็คงจะได้มั้ง”

เป็นการตอบตามหลักเพื่อให้กำลังใจ แต่ตกคืนวันนั้นท่านบอกกับหลวงตาทองคำว่า ความปรารถนาของ พ.อ.นิ่ม นั้นยังเป็นไปไม่ได้ เพราะบารมียังอ่อน เกิดนอกศาสนามาหลายภพหลายชาติ อย่างไรก็ตาม “ด้วยอานิสงส์ที่รักษาศีล 5 ในพระพุทธศาสนา จึงพลัดเข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนา ต้องมาเกิดในประเทศไทยนี้ถึง 2 ชาติเสียก่อน จึงจะได้สำเร็จเป็นอริยบุคคลโสดาบัน”

คณะผู้จัดทำหนังสือ “รำลึกวันวาร” ซึ่งเป็นคำบอกเล่าของหลวงตาทองคำ ได้สัมภาษณ์คุณณรงค์ ชโยดม บุตรชาย พ.อ.นิ่ม เมื่อปี 2547 คุณณรงค์เล่าเรื่องเล่าจากคุณพ่อที่ตกค้างอยู่ในความทรงจำว่า

“การไปวัดบ้านป่าหนองผือสมัยนั้นไม่ได้ไปง่ายๆ วัดอยู่ในป่าในหุบเขา ถนนเป็นหลุมบ่อ นั่งรถทหารไปจนสุดถนนที่รถจะวิ่งได้ ก็นั่งเกวียนต่อจนใกล้จะถึงวัดมีลำห้วยขวางหน้า ชาวบ้านต้องช่วยกันยกเกวียนข้ามลำห้วยไป กว่าจะถึงวัดก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว มีคนมาต้อนรับและนำไปพักยังศาลาที่จัดเตรียมรอไว้ พรุ่งนี้ท่านจึงจะออกมาให้นมัสการ

“คุณพ่ออัศจรรย์ใจอย่างที่สุด เมื่อพบว่าที่พักนั้นได้เตรียมที่นอนไว้พอดิบพอดีเท่ากับจำนวนคนที่ร่วมคณะไปทั้งหมดซึ่งมีด้วยกัน 8 คน พอสอบถามแม่ชีก็ทราบว่าพระอาจารย์มั่นสั่งเตรียมไว้ล่วงหน้าตั้งแต่กลางวันแล้วว่าจะมีคณะมาพัก 8 คน เรื่องนี้เป็นปาฏิหาริย์ที่คุณพ่อประทับใจมาก

“รุ่งขึ้นหลังจากท่านฉันอาหารเสร็จ คุณพ่อก็พาคณะไปกราบท่านแล้วกราบเรียนว่าจะมาฝากตัวเป็นศิษย์ ขอให้ท่านเมตตาอบรมเพื่อนำไปปฏิบัติ เพราะท่านปรารถนาที่จะบรรลุธรรม ท่านก็เทศน์ให้คุณพ่อฟัง คุณพ่อเล่าว่าเทศนานั้นก็เป็นเรื่องธรรมะทั่วไปที่รู้กันดี ไม่ได้โลดโผน แต่ว่าลึกซึ้งซึ่งคนทั่วไปปฏิบัติไม่ได้”

พ.อ.นิ่ม ฝากตัวเป็นศิษย์แล้วท่านก็ปฏิบัติอย่างแน่วแน่เรื่อยมา สิ้นหลวงปู่มั่นแล้วท่านก็ไปปฏิบัติธรรมกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายรูป รวมทั้ง หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านทำอย่างนั้นมาจนแก่เฒ่า

มั่นคงขนาดไหน เอาเป็นว่าวันหนึ่งหลังจากไปภาวนาแถบอีสานมาพักใหญ่ เดินเข้าบ้าน ภรรยาให้ลูกชายมาดูว่าใครมา เพราะจำไม่ได้ เนื่องจาก พ.อ.นิ่ม ผอมลงมาก และศีรษะก็ขาวโพลนไปทั้งหัว

คุณณรงค์ ระบุว่า คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังเหมือนกันว่าชาติที่แล้วไม่ได้เกิดที่เมืองไทย หากแต่เกิดเป็นชาวต่างประเทศ

พ.อ.นิ่ม เล่าผลการปฏิบัติให้ลูกชายฟังเหมือนกัน แต่คุณณรงค์จำรายละเอียดไม่ได้ “พูดไปก็เป็นปาฏิหาริย์ คุณพ่อบอกว่าเมื่อปฏิบัติเองก็จะเข้าใจเอง”

เรื่องของอุ้ยมนฑ์ และ พ.อ.นิ่ม แสดงให้เห็นว่าแค่เป็นศิษย์ฆราวาสยังปานนี้ น่าคิดว่าสมัยนี้พ่อแม่ครูอาจารย์ก็มีมาก ไปมาหาสู่ก็สะดวก ไปฝากตัวกันก็มาก แต่จะเอาจริงอย่างอุ้ยมนฑ์ และ พ.อ.นิ่ม นั้นมีน้อยเต็มที

ขอขอบคุณข้อมูลจากเวบโพสต์ทูเดย์ (คาบใบลานผ่านลานพระ)

พอดีเลี่ยนข่าวเผากรุงเลยไปวิ่งเล่นตามประสาคนซนครับ :mrgreen:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 22 พ.ค. 2010 5:56 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 12 มี.ค. 2010 9:06 am
โพสต์: 122
ขอบคุณมากๆครับ อ่านแล้วชื่นใจจริงๆ :shhy:

_________________
แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก
แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก
ข้าอยู่ใกล้ๆ แก จำไว้
"หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 22 พ.ค. 2010 8:35 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ขอบพระคุณมาก ๆ ครับ ดีครับดี เป็นประโยชน์หลายแง่มุมทีเดียว

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 27 พ.ค. 2010 11:49 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 24 พ.ย. 2008 4:51 pm
โพสต์: 613
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ

และสาธุกับผู้โพสด้วยครับ

:grt: :grt: :grt:

_________________
"ความทุกข์มันเข้ามาได้เพราะเราไม่ภาวนา เมื่อภาวนาแล้ว มันก็หมดลง"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 02 มิ.ย. 2010 10:33 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 9:48 am
โพสต์: 937
เข้ามาหาความรู้ครับ ขอบคุณครับ :lcky:

_________________
อันความสุขทางใจนั้นหายาก คนส่วนมากไม่ชอบแสวงหา
หวังแต่สุขเพื่อสนุกเพียงหูตา มันจึงพาชักจูงให้ยุ่งใจ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO