นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 28 มี.ค. 2024 10:44 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 30 มี.ค. 2010 1:22 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องที่ดูเหนือธรรมชาติ ชวนพิศวงสำหรับผู้ที่ยังอยู่ในวังวนของกิเลส สำหรับผู้ปฏิบัติทางจิตที่กำลังจะล่วงพ้นบ่วงกิเลส ปาฏิหาริย์ ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติสามารถทำได้ทุกคน

maebunruan.jpg



ในอดีตหลายสิบปีผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไปคงจะเคยคุ้นชื่อของอุบาสิกาท่านหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวถึงอย่างมาก สำหรับสานุศิษย์ท่านคือ อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม ผู้สำเร็จจตุตถฌาน (ฌานที่ 4) จึงมี อภิญญา ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์จนเลื่องลือในทางปาฏิหาริย์ตาทิพย์ รู้วาระจิตผู้อื่น ล่องหนหายตัว และใช้พลังจิตรักษาโรคให้คนทั่วไปจนหาย (แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าท่านเป็นมากกว่าผู้สำเร็จฌานนะฮับ -เด็กลึกลับ)

อุบาสิกาบุญเรือน โดยทั่วไปคนที่เคารพท่านมักเรียกท่านว่า คุณแม่บุญเรือน เพราะความเมตตากรุณา ที่ท่านมีให้กับทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะ พื้นเพเดิมของคุณแม่บุญเรือนท่านเป็นชาวอำเภอมีนบุรี กรุงเทพฯ มีฐานะค่อนข้างยากจน พ่อแม่เป็นชาวสวน ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปอยู่แถวบางปะกอก ธนบุรี ในวัยเด็กคุณแม่บุญเรือนได้รับการศึกษาพออ่านออกเขียนได้ และมีนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรมมาแต่เด็ก โดยได้รับการสั่งสอนให้รู้จักธรรมะ ในพระพุทธองค์จาก หลวงตาพริ้ง วัดบางปะกอก พระสายวิปัสสนากรรมฐาน ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น จนทำให้คุณแม่บุญเรือนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ฝักใฝ่ในบุญกุศล หมั่นเพียรในทางธรรมตลอดมา

เมื่อมีอายุในวัยครองเรือนคุณแม่บุญเรือนได้สมรสกับ สิบตำรวจโท จ้อย โตงบุญเติม แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ภายหลังจึงรับเด็กหญิงมาอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง ขณะเดียวกันคุณแม่บุญเรือน ก็ยังมีโอกาสได้ปฏิบัติและศึกษาธรรมมากขึ้น โดยมีท่านพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสสัมพันธวงศ์สมัยนั้นเป็นอาจารย์สอนสมถะวิปัสสนากรรมฐานให้ จนกระทั่งปี 2470 คุณแม่บุญเรือนจึงลาสามี เพื่อมาบวชที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่ระยะหนึ่งแล้วจึงลาสึกไป และเมื่อสามีถึงแก่กรรมแล้ว จึงมีศรัทธากลับมาบวชอีกในปี 2482

ความเพียรในการฝึกจิตและเรียนรู้ทางธรรมของคุณแม่บุญเรือน ปรากฏเรื่องราวอันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ที่จะสำเร็จได้ก็ด้วยอำนาจสมาธิซึ่งเป็น พลังจิต อันมหัศจรรย์ จึงมีเรื่องเล่ามากมายจากคนเก่าแก่ และผู้ประสบเหตุเรื่องราวพิศวง อันเกิดจากอำนาจทิพย์ของอุบาสิกาท่านนี้

ล่องหนหายตัว

การล่องหนหายตัวจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เป็นผลจากการปฏิบัติทางจิตจนได้ “อภิญญา” ซึ่งคุณแม่บุญเรือนสามารถอธิษฐานจิตให้หายตัวได้ เรื่องนี้ “เจ้าคุณพระรัชชมงคลมุนี” วัดสัมพันธวงศ์ ท่านได้บันทึกไว้ว่า เมื่อเดือน 6 ขึ้น 14 ค่ำ พ.ศ. 2470 คุณแม่บุญเรือนท่านอยู่ที่บ้านพักตำรวจกับครอบครัว ในคืนดังกล่าวคุณแม่นอนไม่หลับจนดึก สามีและบุตรบุญธรรมหลับกรน และกัดฟันกรอดๆ รู้สึกเกิดธรรมสังเวชเบื่อหน่ายต่อสภาพอย่างนั้น ท่านอยากหลีกหนีเสียชั่วคราว จึงตั้งจิตอธิษฐาน เข้าไปในศาลาที่วัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งศาลานี้เป็นที่อยู่ของแม่ชีนักปฏิบัติธรรม คุณแม่เองก็เคยอาศัยบำเพ็ญธรรมที่ศาลานี้ พอสิ้นอธิษฐานก็ปรากฏตัวเองอยู่ที่ศาลานี้แล้ว ไม่ทราบว่าเข้าศาลาทางไหน และที่บ้านพักตำรวจกับศาลาวัดสัมพันธวงศ์ก็ไกลกันพอสมควร

แม่ชีฟักเพื่อนปฏิบัติธรรม พักอยู่เป็นประจำที่ศาลานี้ ขอให้คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานมาเข้าศาลาอีกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 โดยให้แม่ชีผู้อยู่ศาลาอีก 3 คนดูแลปิดประตูหน้าต่างลงกลอนให้เรียบร้อย และดูให้รู้เห็นเป็นพยานด้วย

คุณแม่บุญเรือนก็อธิษฐานให้หายวับจากบ้านพัก เข้าไปปรากฏตัวในศาลาได้เช่นเดียวกับคราวก่อน พวกที่คอยอยู่ก็แปลกใจและแน่ใจว่า หายตัวผ่านเข้ามาได้จริงๆ และมองเห็นผลสำเร็จทางสมาธิ ที่มีแก่ผู้ปฏิบัติด้วยวิริยอุตสาหะ ต่อมาคุณแม่บุญเรือน ท่านได้อธิษฐานหายตัวจากศาลา ไปเขาวงพระจันทร์ ท่านได้พบพระผู้วิเศษที่นั่น และได้รับพระธาตุ 1 องค์ จากพระองค์นั้น กลับมาพระธาตุยังกำอยู่ในมือ เป็นพยานแก่ตัวท่านเองว่ามิได้ฝันไป

ทิพยโสตญาณ (หูทิพย์)

อภิญญาในด้านหูทิพย์ของคุณแม่บุญเรือนนี้ มีบันทึกของคุณหญิงเงียบ บุนนาค เขียนไว้ว่า ครั้งหนึ่งคุณแม่บุญเรือน ไปรักษาโรคขาบวมให้น้องสาวคุณหญิงเงียบ บุนนาค ข้างวัดอนงคาราม ธนบุรี ตอนขากลับ น้องสาวคุณหญิงเงียบมอบค่ารถให้ 20 บาท คืนวันนั้นสามีของน้องสาวคุณหญิงกลับบ้าน ทราบว่าภรรยาจ่ายเงินค่ารถให้คุณแม่บุญเรือน 20 บาท (สมัยเงินแพง) เขาเอะอะว่า คุณแม่บุญเรือนเป็นหมอไม่จริง หลอกเอาสตางค์

พอรุ่งเช้า 6 โมงเศษ คุณแม่บุญเรือนไปถึงบ้านน้องสาวคุณหญิงข้างวัดอนงค์ นำเงิน 20 บาท ไปคืนให้บอกว่า “เป็นเงินของคุณผู้ชายเขา ดิฉันคืนให้ ดิฉันไม่โกรธคุณหรอก คุณต้องรับเงินนี้ไว้”

นี่แสดงว่าคุณแม่บุญเรือนหูทิพย์ ได้ยินคำพูดของสามีน้องสาวคุณหญิงเงียบ พร้อมทั้งรู้วาระจิต ของคนพูด ว่าหมายถึงตัวคุณแม่บุญเรือนที่ไปรักษาขาบวม คุณแม่จึงรีบนำเงินไปคืนให้ เพื่อรักษาน้ำใจของน้องสาวคุณหญิง และสามีมิให้ขุ่นข้องหมองใจ

คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นผู้มีจิตอันเป็นกุศลอย่างยิ่ง นอกจากนั้นท่านยังใช้จิตอันมหัศจรรย์ของท่าน ในการอธิษฐานเพื่อช่วยคนในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาโรคภัยต่าง ๆ จนหายขาด ดังเรื่องราวที่มีผู้บันทึกไว้ในหนังสือ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อนุสรณ์”

รักษาด้วยวาจาสิทธิ์

เป็นบันทึกของ นายจำรัส สุขประเสริฐ อยู่ จ.อุดรธานี มีใจความว่า "อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม เดินทางโดยขบวนรถไฟด่วนถึง จ. อุดรธานี เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2496 เวลา 7.15 น. ก่อนหน้ารถไฟด่วนจะเทียบเข้าชานสถานีประมาณ 20 นาที ได้มีหมอกลงที่สถานีรถไฟและบริเวณตัวเมืองอุดรธานีหนามืดไปหมด อยู่ห่างกันประมาณ 10 วา ยังแลไม่เห็นกันเลย รถยนต์วิ่งตามถนนต้องเปิดไฟหมอกหนามืดเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย พอรถไฟถึงสถานีประมาณ 10 นาที หมอกก็ค่อยๆ จากหายไป ชาวอุดรธานีต่างพิศวงงงงวย ต่างโจษจันกันต่างๆ นานา เมื่ออุบาสิกาบุญเรือน ลงรถไฟแล้ว มีผู้คนไปรับเป็นจำนวนมาก

อุบาสิกาบุญเรือนได้พักที่บ้านผมค่ำของวันนี้ได้มีผู้มาหาเป็นจำนวนมาก นายครรชิต สกลคลัง พนักงานธนาคารกสิกรไทยได้มาหา และบอกกับอุบาสิกาบุญเรือนว่า ตัวเขาป่วยเป็นโรคปวดท้องมาเป็นเวลานาน เวลานี้ก็ยังปวดอยู่ได้รักษาตัวหมดเงินมากมายแล้ว อุบาสิกาบุญเรือนได้ฟังจึงสั่งในขณะนั้นว่า "อย่าปวด ให้หายปวดเดี๋ยวนี้" แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็ถามนายครรชิตว่า “หายปวดหรือยัง?” นายครรชิตตอบว่า “หายปวดแล้ว” อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งว่า “คืนวันนี้อย่าปวด” (เพราะนายครรชิตบอกว่ากลางคืนปวดแทบไม่ได้นอนทุกคืน)

ครั้นรุ่งเช้านายครรชิตมาบอกอุบาสิกาบุญเรือนว่า เมื่อคืนนี้ไม่ปวดเลย นอนได้สบายตลอดคืน และในระหว่างที่อุบาสิกาบุญเรือนพักอยู่ที่ จ.อุดรธานีนี้ ตอนเช้าอุบาสิกาบุญเรือนได้ไปอธิษฐานจิต ให้พลังจิตแก่ประชาชนที่วัดโพธิสมภรณ์ทุกวัน มีประชาชนนำน้ำ ปูน ไพล พริกไทย สาคู มาให้อุบาสิกาบุญเรือนอธิษฐานจิตอย่างคับคั่งทุกวัน

มีคนหลังโกงคนหนึ่ง เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำได้มาหาอุบาสิกาบุญเรือนขอให้รักษา อุบาสิกาบุญเรือนได้ออกคำสั่งต่อหน้าประชาชนจำนวนมากว่า “ให้ทิ้งไม้เท้า!” ชายหลังโกงคนนั้นก็ขว้างไม้เท้าทิ้ง อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งต่อไปให้ยืนตรง ๆ ชายหลังโกงก็ค่อย ๆ ยืดตัวและยืนตัวตรงได้ แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็สั่งให้ออกเดินและวิ่ง ชายคนนั้นก็วิ่งได้ เลยหายเป็นปรกติ เดินกลับบ้านได้เช่นคนดี ๆ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์

นิ่วในถุงน้ำดี

ม.ร.ว.ไกรเทพ เทวกุล บันทึกไว้ดังนี้

เมื่อปี พ.ศ. 2494 ข้าพเจ้าป่วยมีอาการแน่นจุกเสียดทุกเดือน บางที 2 ถึง 3 เดือนต่อครั้ง ครั้นถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2495 รู้สึกว่าอาการเช่นนี้มีมากขึ้นจนทนแทบไม่ได้เช่น หายใจไม่ออก ข้าพเจ้าจึงได้ไปปรึกษาแพทย์ปริญญาที่ข้างบ้าน นายแพทย์ผู้นั้นได้ฉีดยาและให้ยารับประทาน อาการก็ค่อยทุเลา ต่อมาจากนั้น 2 ถึง 3 วันก็เป็นอีก นายแพทย์ผู้นั้นแนะนำว่าควรไปเอกซเรย์ดู เพราะสงสัยในอาการนั้นคงเนื่องมาจากถุงน้ำดีอักเสบ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม ปรากฏตามฟิล์มเอกซเรย์โดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกนี้ ลงความเห็นว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แนะนำให้ทำการผ่าตัดทันที

ข้าพเจ้าได้มาปรึกษาคุณป้าบุญเรือนถึงอาการเจ็บป่วย คุณป้าได้เอ็ดข้าพเจ้ามากมายว่า ทำไมไม่มาปรึกษาฉันตั้งแต่แรก ถ้าอยากตายก็เชิญไปผ่าได้ คุณป้าจึงให้ข้าพเจ้ารับประทานไพล และน้ำอธิษฐาน กับทั้งได้ให้ปูนอธิษฐานไปทาตามบริเวณหน้าอกและท้อง เว้นวันสองวัน ท่านก็นวดให้ข้าพเจ้าหนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด อาการก็ค่อยทุเลาและหายภายในเดือนนั้นเอง

คุณป้าบุญเรือนให้ไปฉายเอกซเรย์ดูใหม่ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม กับได้นำฟิล์มทั้งเก่าและใหม่มาเทียบกันดู ปรากฏว่าในแผ่นแรกมีวงกลมสีขาวประมาณเท่าเหรียญสองสลึง ส่วนในแผ่นเอกซเรย์ทีหลังไม่มี นายแทพย์บอกว่าในบริเวณถุงน้ำดีไม่มีก้อนนิ่วแล้ว

ยาวิเศษ

พลตรี ยุทธ สมบูรณ์ บันทึกไว้ว่า บางท่านที่มาทำความรู้จักกับ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มักจะเรียกท่านว่า คุณแม่หมอ คุณยายหมอ หรือคำอื่น ๆ ลงท้ายว่า “หมอ” แต่คุณแม่บุญเรือนไม่เคยรับหรืออวดอ้างว่าท่านเป็นหมอแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ดีชื่อเสียงของคุณแม่บุญเรือนก็หอมไปทั่วประเทศไทยในฐานะผู้วิเศษ ก็เพราะท่านอธิษฐานวัตถุสิ่งของต่างๆ ให้เป็นยารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด

คุณหมอปรีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระประแดง ทำยาผงแก้โรคผิวหนังออกจำหน่ายด้วยตัวยาที่คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้บอกให้ ตัวยาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชื่อภาษาอังกฤษ ไม่ทราบว่าคุณแม่บุญเรือนไปทราบมาได้อย่างไร เพราะการศึกษาของคุณแม่ก็เพียงอ่านออกเขียนได้ นอกจากนั้นคุณหมอปรีดายังได้ตำรายาอีกอย่างหนึ่งคือน้ำมันโพธิ์งาม ซึ่งคุณหมอปรีดาได้ผสมขาย ผมสีขาวใส่น้ำมันแล้วกลายเป็นสีเทาและเข้มขึ้นทุกที

ยาขนานที่ 3 คือ ยาสีฟันวิเศษนิยมของโรงงานวิเศษนิยม ซึ่งเป็นยาสีฟันที่ทำรายได้อย่างดีตลอดมา ...ยาสีฟันวิเศษนิยมนี้ “คุณแม่บุญเรือนก็เป็นผู้บอกตัวยาให้”

คุณธรรมอันสูงส่งของ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม” อุบาสิกาผู้ใจบุญท่านนี้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นผู้เสียสละ ชอบการทำบุญ ให้ทาน ไม่ยึดติดสะสมในทรัพย์สมบัติ มีแต่เป็นผู้ให้ตลอดมา และทั้งชีวิตท่านยังได้บำเพ็ญธรรมอย่างสม่ำเสมอตราบจนวาระสุดท้ายที่ท่านได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ ไต และโลหิตจาง แม้จะมีลูกศิษย์ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อโดยการอธิษฐานขอแต่ท่านก็ไม่ทำ ท่านบอกว่า “สังขารร่างกายและใจ หรือขันธ์ห้านี้ไม่ใช่ตัวของเรา มันเป็นเพียงเครื่องอยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น เป็นเรือนทุกข์ ท่านจึงต้องการออกจากเรือนทุกข์นี้”

ในปัจจุบันมีรูปปั้นของคุณแม่บุญเรือนอยู่บนศาลา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ในวัดอาวุธวิกสิตาราม หรือวัดบางพลัดนอก กรุงเทพฯซึ่งเป็นวัดที่ท่านเคยอยู่บำเพ็ญศีลสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกวันนี้ยังมีสานุศิษย์และผู้ศรัทธา ไปกราบไหว้รูปปั้นท่านและยังมีผู้ไปอธิษฐานจิตขอปูน ไพล เพื่อไปรักษาโรคจากท่านมากมายหลายราย ซึ่งแม้ว่าท่านจะจากไปนานแล้วแต่คุณงามความดี ชื่อเสียงในทางธรรมที่ท่านเพียรสร้างไว้ ขณะยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีผู้กล่าวถึงอยู่ตลอดไป

จาก นิตยสารหญิงไทย ฉบับที่ 710 ปีที่ 30 ปักษ์แรก เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548

ข้อมูลจาก[url]http://www.dharma-gateway.com/ubasika/boonruen/ubasika-boonruen-index-page.htm[url]

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 30 มี.ค. 2010 1:30 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม จากหนังสือ คนเหนือโลก โดย อนามิส พ.ศ. ๒๕๑๙

ใกล้สะพานกรุงธน มีศาลาหลังหนึ่งสร้างขึ้น เพื่อให้ เป็นที่อยู่อาศัยของอุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม

อันที่จริงน่าจะกล่าวว่าสร้างให้เป็นที่สถิตแห่งดวงวิญญาณของท่านผู้กล่าวนามมามากกว่า เพราะปัจจุบันท่านหาชีวิตไม่แล้ว ตัวศาลาที่สร้างภายหลังท่านถึงแก่กรรมแล้วใช้ที่ส่วนหนึ่งของวัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัด ธนบุรี ตัวศาลาใหญ่โตพอจะใช้เป็นที่ประชุม สวดมนต์ทำบุญถวายทานสำหรับบุคคลคราวละนับร้อยๆ ท่าน

อุบาสิกาบุญเรือน เคยบวชเป็นชีภายหลังท่านชอบแต่งกายตามสบายแต่ยังโกนศีรษะ

เมื่อยังมีชีวิตอยู่ท่านมีลูกศิษย์เรียนธรรมะด้วยกันมาก ท่านนายพลดำเนิน เลขะกุล ผู้มีชื่อเสียงก็เป็นผู้หนึ่งที่เคารพนับถือท่าน คุณดำเนินมีประสบการณ์เกี่ยวกับอุบาสิกาบุญเรือน เชื่อว่าท่านสามารถอ่านใจคนได้ เพราะเคยไปหาครั้งแรกในยามมีทุกข์ใจ ได้รับคำแนะนำทันที่โดยที่อุบาสิกาบุญเรือนไม่ได้ไต่ถามอะไรเลยว่า “คนจะเป็นสุขได้ก็ต่อเมื่อใจสงบ”

ศิษย์ของอุบาสิกาบุญเรือน ยังคงมีการประชุมสวดมนต์ตามแบบที่ได้รับดำแนะนำสั่งสอน ที่ศาลาทุกวันอาทิตย์

ผู้ที่เคารพนับถือมักเรียกท่านว่า “คุณแม่” เป็นส่วนมาก ป้ายสวยงามติดไว้เป็นระยะนำไปสู่ศาลา ก็เขียนว่า ศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

ทุกปีที่ศาลานี้จะมีการทำบุญใหญ่ ค่าใช้จ่ายแต่ละคราวกว่าสองหมื่นบาท

สมัยคุณแม่บุญเรือนยังไม่สละร่างมนุษย์ (ตามดำของศิษย์ไม่ประสงค์จะเรียกการจากไปของท่านว่า ถึงแก่กรรม) มีผู้สร้างศาลาให้คุณแม่บุญเรือนใช้เป็นที่อาศัยและที่อบรมสั่งสอนหลายแห่ง เช่นที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ บางขุนพรหม ที่ภายในบริเวณบ้านของครูเก่า คุณหลวงแจ่มวิชาสอน มหาเศรษฐีเจ้าของยาสีฟันวิเศษนิยมที่พระโขนงและที่บ้านนาซา ปากน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง

คุณแม่บุญเรือน เรียกคณะของท่านว่า สามัคคีวิสุทธิ์

ท่านไม่ยอมรับตำแหน่งเป็นครูอาจารย์ของใคร ผู้ที่ไปเรียนธรรมะด้วย ท่านขอให้ถือเป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณพระรัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนธรรมะของท่าน

คุณหลวงแจ่มฯ กล่าวถึงคุณแม่บุญเรือนว่า “เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสำเร็จในอิทธิฤทธิ์บางอย่าง” ท่านเรียกคุณแม่บุญเรือนว่า “แม่หมอ” และได้บันทึกเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นด้วยตนเองไว้ดังนี้

boonruen-05.jpg



เมื่อเดือนมีนาคม ๘๙ คุณพี่ปลื้ม วิจิตรภัตราภรณ์ เจ้าของห้างวิวิธภูษาคาร ได้ชวนข้าพเจ้าและแม่หมอบุญเรือนไปดูสวนส้มที่จังหวัดจันทบุรีโดยรถยนต์ สวนอยู่ห่างตัวจังหวัดสิบสองกิโลเมตร ตอนกลับจากสวนขณะที่รถกำลังติดไฟ แม่หมอบุญเรือนออกเดินไปก่อน ข้าพเจ้าออกเดินตามไปภายหลังห่างกันประมาณหนึ่งเส้น ข้าพเจ้าเดินมาถึงที่เลี้ยวก็มองไม่เห็นตัวแม่บุญเรือนแล้ว เร่งฝีเท้าเดินตามไปอีกสองสามเลี้ยวก็มองไม่เห็น ข้าพเจ้าก็เลยหยุดคอยรถเพราะรู้สึกเมื่อย สักครู่หนึ่งรถก็ตามมาทัน ข้าพเจ้าจึงกลับขึ้นรถ ประมาณเวลานับแต่ออกเดินจนรถมาทันนั้นราวสิบห้านาที เมื่อขึ้นรถแล่นมาอย่างเร็วเพราะเป็นทางลงจากเขา รถแล่นมาเป็นหลายเลี้ยวจนถึงศาลาพักร้อน ซึ่งอยู่กึ่งกลางทางระหว่างจังหวัดกับสวน ก็ไม่เห็นแม่บุญเรือนคอยอยู่

รถหยุดที่ศาลาเติมน้ำหน้าหม้ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแล่นย่อไปจนพ้นเขตเขาทุ่งก็ยังไม่พบแม่บุญเรือน ผู้อยู่ในรถต่างรู้สึกเอะใจ เพราะตามปกติธรรมดาคนเราจะเดินเร็วเช่นนี้ไม่ได้ รถคงจะแล่นผ่านมาเสียแล้ว ขณะที่พวกเราคิดจะให้รถหยดรอ ก็พอดีเห็นแม่บุญเรือนเดินเนิบ ๆ อยู่ข้างหน้า เมื่อขึ้นมาบนรถ สังเกตดูไม่เห็นกิริยาแสดงว่าเหน็ดเหนื่อยหรืออิดโรย

การที่คุณแม่บุญเรือนเดินไกลถึงแปดกิโลเมตรในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงแถมไม่เหน็ดเหนื่อยเสียด้วย คุณว่าเป็นเพราะอะไร ?

boonruen-06.jpg



กิตติศัพท์เรื่องคุณแม่บุญเรือนมีฤทธิ์ย่นระยะทางเดินได้ พวกศิษย์รู้กันดี แต่สำหรับผู้ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองได้พยายามทดสอบอย่างเงียบ ๆ กันเสมอ คุณเลื่อนประสานอักษรพรรณ เป็นผู้หนึ่งที่กระทำดังกล่าว

วันหนึ่ง คุณแม่บุญเรือนไปแวะที่บ้านคุณเลื่อนตรงสี่แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วันนั้นคุณแม่บุญเรือนตั้งปณิธานว่าจะเดิน ไม่ขึ้นรถ ตั้งแต่ออกจากบ้านที่พระโขนง ในตอนจะลาจากคุณเลื่อนไปยังสถานที่ต่อไป คือบ้านคุณเขียม วรรณยิ่ง ตรอกสารพัดช่าง บางขุนพรหม คุณแม่บุญเรือนก็เดินอีก.

คุณเลื่อนพอรู้ว่าคุณแม่บุญเรือนกำลังจะเดิน ก็รีบติดตามไปทันทีโดยไม่ให้รู้ตัว

“ครั้งแรกที่ตามออกมายังไม่เห็น” คุณเลื่อนเล่า “จึงได้แวะเข้าไปในบ้านจ่านายสิบสุข ซึ่งอยู่ใกล้ สามารถมองถนนได้ถนัด ถามจ่านายสิบสุขได้ความว่า แม่หมอบุญเรือนกำลังเดินไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พร้อมกับชี้บอก ดิฉันมองตามมือเขาชี้ แลเห็นแม่หมอบุญเรือนกำลังเดินข้ามถนนลานอนุสาวรีย์ฯ บ่ายหน้าไปทางเสนารักษ์ พญาไท ตอนที่จะเข้าสู่ถนนตรงไปทางเสนารักษ์ พญาไทนั่นเอง แม่หมอบุญเรือนเหลียวหน้ามาทางดิฉัน แล้วทำท่าเหมือนกับจะรีบวิ่งหนีรถ หายไปตรงนั้นเอง”

ตอนนี้คุณเลื่อนเข้าใจว่า ถนนทางนั้นมีทางเลี้ยวจึงไม่ได้ติดตามไปดูต่อ คงหยุดคุยกับจ่านายสิบสุขเสียครู่หนึ่งภายหลังได้เดินออกไปตรวจสถานที่ ปรากฏว่าตรงที่คุณแม่บุญเรือนหายวับไปกับตานั้น หาได้มีทางเลี้ยวแต่อย่างใดไม่ ผู้คนที่เดินอยู่จะไม่มีโอกาสลับสายตาจากผู้ที่จ้องดูไปได้เป็นอันขาด คุณเลื่อนได้สอบถามผู้ที่อยู่ด้วยกันว่าเห็นอย่างเดียวกับตนหรือไม่.ผู้ที่อยู่กับคุณเลื่อนตอบว่า เห็นหายไปทางต้นสน

“ความจริงหากมีใครเดินเลยต้นสนไป เราก็ยังจะสามารถมองเห็นเขาได้ต่อไปอีก แต่แม่หมอบุญเรือนหายวับไปเลย !”.

ขณะที่ฝ่ายติดตามดูพฤติการณ์มีสี่นัยน์ตาด้วยกันจ้องจับอยู่นั้น เห็นเวลากลางวันแสก ๆ ราวสักสิบสี่นาฬิกาเศษ ๆ แดดเปรี้ยงมิได้มีเมฆหมอกมืดแม้แต่น้อย

คุณเลื่อนได้สอบถามเวลาที่คุณแม่เรือนไปถึงที่หมายปลายทางจากคุณเขียนได้เวลาแน่นอนว่าคุณแม่บุญเรือนใช้เวลาเดินจากสี่แยกชัยสมรภูมิ ผ่านวงเวียนพญาไท สวนจิตรลดา ออกสี่เสา ไปถึงบางขุนพรหม ระยะทางนับสิบกิโลเมตรด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที่

เร็วยิ่งกว่ารถประจำทางวิ่งเสียอีก


ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านคงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สามารถเดินบนน้ำได้มาแล้ว

คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมเคยไปแสคงอภินิหารเดินบนน้ำที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นที่อัศจรรย์

ไม่มีใครเห็นตอนที่ท่านกำลังเดินหรอกครับ แต่เหตุการณ์จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากท่านต้องเดินไปบนผิวน้ำ

เรื่องของเรื่องมีว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑ คุณแม่บุญเรือนได้ขึ้นไปพักอยู่ที่บ้าน คุณนายลิ้นจี่ ฤษาภิรมณ์ วัดเจดีย์หลวง

หน้าบ้านคุณนายลิ้นจี่มีหนองน้ำ ห่างจากตลิ่งราวสองวา มีกอหญ้าแห้งลอยอยู่ คุณแม่บุญเรือนไปจับเต่ามาจากกอหญ้า และเอาเปลือกมะพร้าวไปว่างไว้แทนอย่างเรียบร้อย

boonruen-08.jpg



“ดิฉันเอาไม้ลองพาดดูก็ไม่ถึงกอหญ้า” คุณนายลิ้นจี่บอก “น้ำก็ยังกระเพื่อมอยู่ ได้พิจารณาดูตามเท้าและร่างกายคุณบุญเรือน ไม่เห็นมีเปียกมีเปื้อนที่ตรงไหน น้ำตอนนั้นลึก ถ้าจะลุยไปอย่างน้อย จะต้องเปียกขึ้นมาถึงเอวเชียวค่ะ”

“สังเกตดูที่กอหญ้า เห็นเหมือนกับรอยเท้าสองข้างเหยียบกอหญ้านั้น กอหญ้าแห้งนี้สมมุติว่าคนจะไปยืนก็คงไม่ได้ เพราะหญ้าฟูลอยน้ำขึ้นมา ขนาดกอไม่ใหญ่พอจะทานน้ำหนักเด็กๆ ได้ เพียงแต่เอาก้อนอิฐขว้างไป หญ้าก็แยกกระจาย” คุณนายแดง ชัวย่งเสง คหบดีชาวเชียงใหม่ที่อยู่ในที่เดียวกัน อธิบายเพิ่มเติม

ถ้าจะคิดว่าอภินิหารเรื่องเดินบนน้ำยังเลือนลางไม่กระจ่างนัก ลองดูเรื่องฝนกับคุณแม่บุญเรือนกันหน่อยก็ยังได้

คุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ บ้านเลขที่ ๒๕๓ ถนนดำรงรักษ์ ป้อมปราบ ป่วยมานาน เพื่อนผู้หนึ่งแนะนำให้มาหาคุณแม่บุญเรือนช่วยรักษาจนหาย คุณนายบ๊วยรู้สึกเป็นพระคุณ จึงถือโอกาสพาคุณแม่บุญเรือนไปพักผ่อนทัศนาจรภาคใต้

คุณนายบ๊วยเล่าถึงคุณแม่บุญเรือนเอาไว้ตอนหนึ่งดังนี้

“พวกเราเดินทางต่อไปชุมพรโดยรถไฟถึงสถานีชุมพรเวลาสองทุ่ม นางสาวปราณีและคุณสุดใจเพื่อนของบุตรสาวดิฉันได้มารับที่สถานี คุณปราณีบอกให้ดูเสื้อผ้ากล่าวว่า

“ ดิฉันวิ่งมารับ ฝนตกถนนลื่นไปหมด จนหกล้มผ้าซิ่นเปื้อนไปแถบหนึ่ง”

พวกเราช่วยกันลำเลียงของลงจากรถไฟ คุณแม่บุญเรือนสะพายกระเป๋าใบหนึ่ง กับหิ้วกระเป๋าเสื่อบรรจุศิลากรวดกับหนังสือแดนมธุรสและใบตั้ง(เสก) น้ำอีกใบหนึ่ง ขบวนของเราออกเดินทางไปทางหลังสถานีโดยมีคุณสุดใจเป็นผู้นำทาง ดิฉันเดินตามหลังคุณแม่บุญเรือนไปติดๆ เพราะมืดมาก คุณสุดใจจะช่วยถือกระเป๋าเสื่อให้คุณแม่บุณเรือนแต่ท่านไม่ยอม บอกให้คุณสุดใจเดินนำไปที่รถ

ทางเดินตอนนั้นทั้งมืดทั้งแฉะ เลอะเทอะ คุณสุดใจเห็นว่าคุณแม่บุญเรือนมีอายุ ทั้งหิ้วของหนัก ส่งมือมาจะช่วยจูง คุณแม่ก็ปฏิเสธไม่ต้องจูงอีก พวกเราเดินไปถึงรถศูนย์ที่คุณปราณีคุณสุดใจจัดมาคอยรับ พอขึ้นนั่งรถเรียบร้อยแล้ว คุณแม่บุญเรือนถามว่า ใครเท้าเปื้อนบ้าง ทุกคนบอกว่าเปื้อนทั้งนั้น ของดิฉันไม่เปื้อนแต่ไม่บอกใคร

พอถึงบ้านใครๆ ก็เขาห้องน้ำล้างเท้ากัน แต่คุณแม่บุญเรือนกับดิฉันขึ้นบนบ้านเลยทีเดียว พอถึงบนเรือนมีแสงไฟเห็นชัด ดิฉันเห็นว่าดิฉันมีโคลนเปื้อนเล็กน้อย จึงกลับลงมาล้างเท้าใหม่ พบกับคุณลำไยซึ่งมีหน้าที่ในการปฏิบัติคุณแม่บุญเรือนในการเดินทางคราวนี้ กำลังจะยกรองเท้าคุณแม่บุญเรือนนำไปล้าง เขาร้องว่า รองเท้าคุณแม่ไม่เปื้อน ดิฉันตรวจดูรองเท้าที่คุณลำไยยกให้ดู ปรากฏว่าไม่เปื้อนจริงๆ เหมือนกับว่าท่านสวมเดินมาบนถนนแห้งๆ การที่ดิฉันไม่พลอยเปื้อนเหมือนกับคนอื่น เห็นจะเพราะเดินตามคุณแม่มาติดๆ เลยพลอยได้พึ่งบารมีไม่เปื้อนเปรอะเหมือนคนอื่น”.


คราวนี้ถึงเรื่องฝนตกไม่เปียก

คุณนวม ลิมพานิชการ เล่าด้วยความประหลาดใจว่า เพียงแต่ดิฉันนึกถึงคุณหมอบุญเรือนแล้วบูชาพระ ไม่ต้องออกปากเชิญ คุณหมอก็มาหาดิฉันเอง เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง ครั้งหนึ่งคุณหมอได้ไปหาในเวลาฝนตกมาก คุณหมอจะกลับทั้งๆ ที่ฝนยังตกหนักอยู่ ดิฉันค้านก็ไม่ฟัง จึงต้องออกไปส่งที่ประตู ฝนตกหนักมาก มองดูตัวคุณหมอก็ไม่เห็นเปียก ตอนนั้นดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ เพราะมองดูห่างไกล ไม่ค่อยจะเชื่อนัยน์ตาดิฉันแน่นัก

มาเมื่อแต่งงานหลานสาวดิฉันที่บ้านคุณควง อภัยวงศ์ เมื่อออกจากบ้านพี่สาว ดิฉันจะให้พ่อหนุ่มๆ ยกขันน้ำมนต์ไป คุณหมอบุญเรือนไม่ยอมให้ยก ท่านยกขันน้ำมนต์นั่งมาบนรถยนต์เอง ขันใหญ่มาก มีน้ำมนต์ค่อนขันขึ้นมาเกือบเต็ม คุณหมอยกตั้งแต่บ้านข้างวังกรมพระนครสวรรค์ (วังบางขุนพรหม) ไปจนถึงบ้านคุณควง อภัยวงศ์ ข้างสนามกีฬา น้ำไม่ได้กระฉอกหกเลยแม้แต่น้อย ท่านประคองขันชูมาตลอดเวลาไม่ได้วางบนตักเลย เมื่อไปถึงบ้านคุณควง รดน้ำบ่าวสาวแล้วกลับมาขึ้นรถยนต์จอดนอกบ้านไกลประมาณสองเส้น ฝนตกเม็ดใหญ่ ๆ คุณหมอบุญเรือนก็ออกไปตามรถเองโดยไม่มีร่มกาง กลับเข้ามาก็เดินมาอีก คราวนี้ดิฉันได้พิสูจน์ตามร่างกายคุณหมอ ไม่มีเปียกฝนเลย !”

เรื่องฝนตกไม่เปียกร่างกายคุณเเม่บุญเรือน โตงบุญเติมนี้ เป็นไปหลายครั้งหลายหน ในขณะที่คนอื่นเปียกฝนกัน คุณแม่บุญเรือนร่างกายค่อนข้างร้อนผะผ่าวเสื้อผ้าแห้งสนิททีเดียว

คราวแต่งงานรดน้ำบ่าวสาวที่บ้านคุณควง อดีตนายกผู้น่ารักท่านนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งท้าพนันเมื่อสังเกตดินฟ้าอากาศแล้วว่า “วันนั้นจะไม่ตก” คุณแม่บุญเรือนทำนายว่า“ เวลารดน้ำฝนจะตก”

ไม่จำเป็นต้องบอกก็คงได้ว่า คุณแม่บุญเรือนชนะ


พระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี-พระพุทโธใหญ่

pra-poottho-yai.jpg



ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของนาง ธำรุโกศา (แปลก ปานคำ) ผู้ไปช่วยจับสายสิญจน์ หล่อพระพุทธรูปพระพุทโธใหญ่ ที่วัดสัมพันธวงศ์

“พอถูกใช้ให้จับสายสิญจน์ ดิฉันใช้ไม้ก้านร่มพันม้วนเป็นแกนสายสิญจน์เลย คุณนายบุญเรือนพูดว่า ทีนี้โปร่งละ พอจับสายสิญจน์สักประเดี๋ยวก็มีฝนตกลงมามากพายุซัดฝนสาดมาเปียกดิฉัน คุณนายบุญเรือนออกมาเห็นเข้าก็บอกดิฉันให้กระเถิบหนีฝนเข้ามาข้างใน แต่ดิฉันไม่ยอมลุกหนีฝน คุณนายบุญเรือนจึงพูดว่า “ฝนอย่ามาเปียกแม่แปลกชี ! เขาจะจับสายสิญจน์ ไป ! ไป ! ไป !” พอว่าเท่านั้นลมพัดฝนไปทางอื่นไม่สาดดิฉัน และฝนก็เลยหายไป

ข้อความการบอกกล่าวของนางธำรุโกศาได้ที่พิมพ์ไว้ในประวัติพระพุทโธใหญ่ ซึ่งเมื่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดสารนารถธรรมาราม จังหวัดระยอง

ผมมีโอกาสไปชมความงามของพระพุทธรูปที่ถวายนามว่าพระพุทโธใหญ่มาแล้ว สวยงามมากครับ อยู่ในโบสถ์รูปร่างแปลก ที่มุมโบสถ์จำลองพุทธเจคีย์จากอินเดียมาก่อสร้างไว้ ภายในโบสถ์หลังใหญ่ปูด้วยหินอ่อน อากาศเย็นเฉียบทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้เครื่องปรับอากาศ

วัดสารนารถเป็นวัดที่กำลังพัฒนา มีเนื้อที่กว้างขวาง นอกจากโบสถ์ที่น่าชมยังมีศาลารูปร่างแปลก ความจริงก็ก่ออิฐถือปูน แต่ทำให้ดูเหมือนกับใช้ซุงมาผ่าซีกทำบันได ฝาก็ทำเหมือนกับใช้ซุงผ่าประดับเหมือนกัน ขนาดของศาลาใหญ่โตมโหฬารทีเดียว

คุณสุจริต ถาวรสุข ผู้เขียนประวัติของคุณแม่บุญเรือน เล่าถึงตนเองกับคุณแม่บุญเรือนว่า

“ข้าพเจ้าได้ไปกราบทำความเคารพท่าน ท่านได้ถามถึงความประสงค์ที่มาหา ข้าพเจ้าก็เลยเล่าถึงความอยากมีโชคดีในการสอบเป็นผู้พิพากษาบ้าง (ข้าพเจ้าได้ผิดหวังในการสอบคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาในตอนราวกลางปีนั้น) คุณแม่บุญเรือนบอกว่า เมื่อตั้งใจจริง ใฝ่การกุศลก็ต้องสอบได้ และบอกว่าคราวต่อไปก็สอบได้แล้วละ คำพูดประโยคนั้นซาบซึ้งความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานให้หรืออวยพรให้ หรือท่านมีญาณทราบโดยทางใดหรือไม่อย่างไร เพราะปรากฏว่าในระยะต่อมาอีกไม่เกินหกเดือน นับแต่หลังสอบคราวก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็สอบเป็นผู้พิพากษาสำเร็จ ได้คะแนนอันดับดีเป็นที่สอง”

คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม บำเพ็ญเพียรฝึกใจในพระพุทธศาสนา จนบรรลุจตุตถฌานและอภิญญาหก สำเร็จครั้งแรกตั้งแต่บวชเป็นแม่ชีที่วัดสัมพันธวงศ์

ท่านผู้พิพากษาสุจริต ถาวรสุข บันทึกไว้ว่า

“ได้ผลเป็นอิทธิฤทธิ์อันเกิดจากการอธิษฐานเป็นครั้งแรก เมื่อราววันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๔๗๐ในวันนั้นคุณแม่บุญเรือนได้กลับไปอยู่ที่บ้านพัก สถานีตำรวจสัมพันธวงศ์ คืนนั้นเข้านอนไม่หลับจนดึก สามีแลบุตรบุญธรรมหลับมีอาการกัดฟันและกรน รู้สึกเกิดธรรมสังเวชนึกเบื่อ จึงตั้งจิตอธิษฐานเข้าไปในศาลา รู้สึกว่าพอสิ้นคำอธิษฐาน ตัวคุณแม่บุญเรือนก็ไปปรากฏในศาลาดังคำอธิษฐาน ทั้งนี้โดยตัวท่านเองไม่ทราบว่าได้ออกจากห้องทางไหน และเข้าไปในศาลาทางไหน ในครั้งนั้นเพื่อนแม่ชีไม่สู้เชื่อนัก จนต่อมาอุบาสิกาฟักขอให้อธิษฐานใหม่ และให้นางเล็ก นางคำ นางเทียม ซึ่งดูเหมือนเป็นเพื่อนแม่ชีดูเป็นพยาน ได้ใส่กลอนประตูหน้าต่างศาลาเสียในคืนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ เวลาดึกสงัดปีเดียวกันนั้นเองคุณแม่บุญเรือนก็ได้อธิษฐานจากสถานีตำรวจสัมพันธวงศ์เข้าไปในศาลาได้เช่นคราวก่อนพวกที่คอยดูก็แปลกใจไปตาม ๆ กัน จนต่อมาคุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานไปเขาวงพระจันทร์ พบพระผู้วิเศษ ขอพระธาตุท่าน ท่านก็ให้มาหนึ่งองค์ และได้กลับมาตามคำอธิษฐานพร้อมด้วยพระธาตุ การสามารถทำปาฏิหาริย์ดังกล่าวที่ปรากฏขึ้นได้เป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก ทำให้ท่านอธิษฐานเมื่อเข้าสมาธิผ่านที่ปิดล้อม หรือไปที่ใดไกล ๆ ได้ในชั่วระยะเวลาลัดมือเดียวในเวลาต่อมา ขณะได้ฌานวิเศษนั้นท่านอายุประมาณ สามสิบสามปี

ข้อมูลจาก http://www.dharma-gateway.com/ubasika/boonruen/ubasika-boonruen-index-page.htm

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 30 มี.ค. 2010 2:56 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 08 พ.ย. 2008 5:10 pm
โพสต์: 340
อ่านกี่สิบครั้ง ก็ไม่เบื่อซะทีฮับ :lol:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 30 มี.ค. 2010 5:16 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 24 พ.ย. 2008 4:51 pm
โพสต์: 613
ขอบคุณ คุณพี่เด็กลึกลับมากๆครับ

สำหรับข้อมูลดีๆ :ilu: :ilu: :ilu:

_________________
"ความทุกข์มันเข้ามาได้เพราะเราไม่ภาวนา เมื่อภาวนาแล้ว มันก็หมดลง"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 30 มี.ค. 2010 7:17 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 12 มี.ค. 2010 9:06 am
โพสต์: 122
ขอบคุณครับ :ilu:

_________________
แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก
แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก
ข้าอยู่ใกล้ๆ แก จำไว้
"หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 31 มี.ค. 2010 1:23 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ขอบคุณคุณน้าลึกลับมากครับ สมว่าอยู่ฝั่งธน ฝั่งเดียวกันนะครับ :P

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 31 มี.ค. 2010 3:14 am 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
ขอบพระคุณครับ :grt: :grt:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 31 มี.ค. 2010 2:38 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
รณธรรม ธาราพันธุ์ เขียน:
ขอบคุณคุณน้าลึกลับมากครับ สมว่าอยู่ฝั่งธน ฝั่งเดียวกันนะครับ :P


ไม่ใช่แล้วฮะ คุณอารณธรรม เด็กลึกลับอยู่แถวๆ Beverly Hill ฮะ

ว่าจะไปเยี่ยม นาธาน อยู่เนี่ยฮะ

คริ คริ คริ

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 31 มี.ค. 2010 9:47 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
อืมม์ เห็นจริงด้วยครับ คุณลึกลับ โอมาน :lol: :lol: :lol:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO