นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 2:02 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 19 ธ.ค. 2009 1:34 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
.jpg


หลวงปู่หลอด ปโมทิโต ในวัยชราท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนานิคม) เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร แต่ในวัยฉกรรจ์... พระเถราจารย์ท่านนี้ยึดถือธุดงค์เป็นวัตรตลอดเวลา ๙ เดือนของกาลออกพรรษาเป็นเวลานับ ๑๐ ปี

ตลอดเวลาอันยาวนานซึ่งหลวงปู่หลอดจาริกสู่ป่าเขาอันเปล่าเปลี่ยว ห่างไกลจากผู้คนพลุกพล่านและร้อนเร่าด้วยไฟกิเลส ก็เพื่อพารูปกายสังขารนี้ไปสู่ความวิเวก มุ่งหน้าฝึกจิตด้วยการปฏิบัติสมณธรรมอย่างอุกฤษฏ์ มุ่งมั่นตัดขาดปวงกิเลสทั้งหลายซึ่งเกาะติดจิตวิญญาณข้ามภพข้ามชาติเหลือที่จะนับมาแล้วให้จงได้ และในห้วงเวลาดังกล่าวนั้น หลวงปู่หลอดได้เผชิญกับประสบการณ์ซึ่งไม่ผิดกับพลังแห่งสัจธรรมที่หล่อหลอมดวงจิตให้แข็งแกร่งภายใต้สติอันมั่นคง

ดังเช่นการเผชิญกับเสือเป็นครั้งแรกในชีวิตของท่าน

"เสือ" ...เดรัจฉานผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น "จ้าวป่า" คือสัตว์กินเนื้อที่น่ากลัวที่สุด อานุภาพน่าพรั่นพรึงสุดขีดของมันจะปรากฏให้เห็นขณะออกล่าเหยื่อหรือได้รับบาดเจ็บ หรือจนตรอก เพียงแค่เสียงเสือคำรามสะท้อนสะท้านมาให้ได้ยิน ส่ำสัตว์ในป่าดิบดงลึกก็แตกตื่นหนีกันกระเจิง ว่ากันว่า ขนาดลิงอยู่บนยอดไม้สูงลิบ เสืออยู่บนพื้นดินโคนต้นไม้ เพียงแค่เสือแผดเสียงคำรามสนั่น ลิงถึงกับมืออ่อนตีนอ่อนด้วยความหวาดกลัวสุดขีด หล่นลิ่วลงมาให้เสือตะปปกินง่าย ๆ เสียยังงั้นแหละ

แม้แต่สัตว์มนุษย์เช่นเราท่านก็เถอะ ต่อให้มีอาวุธปืนทรงอานุภาพสังหารเฉียบขาดในมือ ก็ยังไม่กล้าบังอาจประจันหน้ากับเสือตรง ๆ ขนาดเสืออยู่ในกรงยังอดแหยงมันไม่ได้

แต่...หลวงปู่หลอดท่านเคยเผชิญกับเสือมาแล้ว และประจันหน้าห่างกันไม่ถึง ๒ วาเสียด้วยซ้ำ

ครั้งนั้น...หลวงปู่หลอดเพิ่งจะออกธุดงค์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มต้นที่จังหวัดอุดรธานี เดินลัดตัดป่าไปทางอำเภอหนองบัวลำภู ทะลุออกบ้านหนองภัยศูนย์ บ้านกกคร้อ กระทั่งมาถึงบ้านผาวัง

บ้านผาวัง ฝังตัวเองอยู่บนพื้นที่ของป่าซึ่งยังอุดมสมบูรณ์ และชุกชุมด้วยสัตว์ป่าโดยเฉพาะ "เสือ" ปรากฏโฉมให้เห็นเป็นประจำ หลวงปู่หลอดเลือกทำเลปักกลดในที่อันสงบสงัดแล้วเร่งกระทำความเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน ใกล้ ๆ กับกลดหลวงปู่ทำทางเดินจงกรมเอาไว้เพื่อสลับกิริยานั่งภาวนามาเป็นยืนและเดิน

คืนนั้น...เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว หลวงปู่หลอดเปลี่ยนจากนั่งภาวนามาเป็นเดินจงกรม โดยจุดโคมเทียนแขวนไว้ที่ข้างทางเดินพอสว่างรำไร ขณะที่กำหนดกิริยาก้าวเดินโดยมีสติรับรู้ทุกเสี้ยวความเคลื่อนไหว พลันนั้น เสียงเสือก็คำรามโฮกสนั่นขึ้นมาใกล้ ๆ แล้วร่างของเสือใหญ่ลายพาดกลอนได้เยื้องย่างออกมาจากเงามืดข้าง ๆ ทางเดินจงกรม ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวสุดขีดจู่โจมโถมกระแทกหลวงปู่หลอดชนิดไม่เคยเจอมาก่อน ความรักตัวกลัวตายไม่รู้ว่ามาจากไหน อารมณ์พรั่นพรึงของจิตนี้เล่นงานสติเสียจนย่อยยับป่นปี้ ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป หากตกอยู่ในภาวะที่เสือกำลังจะเข้ามาตะปปขบขย้ำเห็น ๆ อยู่ห่างไม่ถึง ๒ วา ก็คงสติแตกเพราะความกลัวไปแล้ว

สำหรับหลวงปู่หลอดผ่านการฝึกจิตควบคุมสติมาพอสมควรจึงเสียศูนย์ไปแค่วูบเดียว วูบหนึ่งที่กลัวจนเลยขีดสุด ความกลัวก็ดับวูบไปเหลืออยู่แต่ตัว "สติ" จะอยู่หรือตายก็ไม่สำคัญอีกต่อไป จิตวูบเข้าไปยึดเหนี่ยวพระบารมีของพระพุทธเจ้าแนบแน่น คิดอยู่แต่ว่าถ้ามีกรรมกับเสือตัวนี้มาก่อนก็ให้มันฆ่ามันกินไปเสียเถอะ จะได้ชดใช้หนี้เวรหมดสิ้นกันเสียที แล้วหลวงปู่ก็หลับตาปิดสนิท พุ่งจิตไปที่คำภาวนา "พุทโธ" กำหนดลมหายใจเข้าออกตามแนวทางอานาปานสติ จิตก็ดิ่งสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว

ไม่รับรู้ว่ามีเสืออยู่หรือไม่ ไม่มีความเป็นความตายหลงเหลืออยู่แต่อย่างใด

จิตสงบเงียบอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน กระทั่งใกล้เวลาเกือบฟ้าสางจิตจึงค่อยคลายออกจากสมาธิ ลืมตาขึ้นดูปรากฏว่าเสือหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเสือมันหายไปทางไหนและไปเมื่อไหร่ หลวงปู่หลอดก็บังเกิดธรรมปีติอย่างล้นพ้น รู้แล้วว่าอานุภาพแห่งสมณธรรมนั้นทรงพลังสุดจะประมาณได้ รู้แล้วว่ากฎแห่งกรรมนั้นเป็นเช่นไร และรู้แล้วว่าวิถีทางที่จะปฏิบัติสืบต่อไปเบื้องหน้านั้นควรกระทำอย่างไร
.jpg


หลายพรรษาผ่านไป...กระทั่งถึงกาลออกพรรษาหนึ่ง หลวงปู่หลอด ปโมทิโต ได้จาริกธุดงค์ไปกับ หลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส แห่งวัดป่าพระสถิตย์ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เพียง ๒ รูปโดยมุ่งหน้าไปทางบ้านนาศรีนวลผ่านบ้านห้วยหีบ บ้านนาตะงอย บ้านจันทร์เพ็ญ จากนั้นก็ถึงบ้านควนปุ่น

บ้านควนปุ่นแห่งนี้อยู่ติดเชิงเขา ภูมิประเทศเป็นป่าดงกันดาร ชาวบ้านทำไร่ทำนหาเลี้ยงชีวิตไปตามประสา เมื่อหลวงปู่หลอด หลวงปู่บัวพามาถึงเชิงเขาบ้านควนปุ่นจึงได้ปักกลดอยู่ห่างจากหมู่บ้านตามสมควร ด้วยเห็นเป็นสถานที่ร่มรื่นสงบสงัดเย็นกายเย็นใจ และเหมาะสมที่จะกระทำความเพียรสักระยะหนึ่ง ชาวบ้านควนปุ่นเห็นพระธุดงค์กรรมฐานมาปักกลดบำเพ็ญธรรม ก็พากันมากราบไหว้หลายคน ในจำนวนนี้มีหญิงวัยกลางคนชื่อ "คำต้น" รวมอยู่ด้วย

แม่คำต้น แนะนำตัวเองว่าเป็นคนทรงผีประจำหมู่บ้าน เวลาชาวบ้านมีเรื่องราวเดือดร้อนอะไร หรือเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะมาหาแม่คำต้น ให้แม่คำต้นเข้าทรงผี แล้วผีที่สิงร่างจะให้คำแนะนำต่าง ๆ ให้กลับไปปฏิบัติ ซึ่งก็ต้องมีการจัดหาเครื่องเซ่นสังเวยต่าง ๆ มาบูชาผีให้ผีได้เสพทุกครั้งไป แม่คำต้นเล่าถวายพระธุดงค์กรรมฐานต่อไปอีกว่าเป็นคนทรงผีนี้ลำบากทรมานเหลือเกิน จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างเพราะกลัวจะผิดผี เวลาทำผิดผีคราวใดผีก็จะเข้าสิงจนหมดสติไม่รู้สึกตัว ผีต้องการให้ทำอะไรก็ต้องทำตามที่ผีบัญชาทุกอย่าง ไม่มีความสุขสบายเช่นคนธรรมดาทั่วไปแม้แต่น้อย เพราะผีที่เข้าสิงไม่ได้มีตัวเดียวหากมีผีหลายตัวคอยรบกวนไม่ได้หยุด

แม่คำต้นถามหลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพาว่า ท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลืออย่าให้ผีเข้าสิงได้หรือไม่ อยากให้ไล่ผีออกไปจากร่างไม่ต้องการให้ผีมากระทำเช่นที่ผ่านมาอีก

หลวงปู่หลอดจึงถามว่า "โยมคิดอย่างไรถึงไม่อยากเป็นคนทรงต่อไปอีกล่ะ"

แม่คำต้นตอบว่า "...เกิดจากข้าน้อยฝันประหลาดเหลือหลาย คือในคืนหนึ่งกำลังหลับสนิท ฝันว่าข้าน้อยอยู่ในห้องหนึ่ง มีประตูสองบานอยู่คนละฟาก ประตูหนึ่งมีชายร่างสูงใหญ่ดำมืดไปทั้งตัวยืนอยู่ อีกประตูหนึ่งมีพระแก่ชรารูปหนึ่งยืนอยู่ ชายสูงใหญ่ตัวดำมืดบอกให้ตามเขาไป พระผู้เฒ่าก็บอกให้ตามท่านไปเช่นกัน ในฝันนั้นข้าน้อยก็เกิดความลังเลไม่รู้ว่าควรจะไปกับใครดี ในที่สุดก็เชื่อว่าพระต้องดีกว่าผีแน่จึงตัดสินใจไปกับพระ จากนั้นได้ตกใจตื่น..."

แม่คำต้นเชื่อมั่นว่าความฝันต้องเป็นความจริงแน่ ๆ เพราะเพิ่งฝันเมื่อคืนนี้เอง พอล่วงเข้าตอนบ่ายพระธุดงค์คือหลวงปู่หลอดกับหลวงปู่บัวพาก็มาถึงหมู่บ้าน แม่คำต้นได้ขอให้หลวงปู่หลอดเมตตาช่วยเหลือด้วยเถิด

หลวงปู่หลอดได้ปรึกษากับหลวงปู่บัวพาว่าพอจะช่วยโยมคำต้นได้หรือไม่ เพราะหลวงปู่บัวพานั้นท่านเก่งทางพุทธาคมไสยเวท มีความชำนาญในการสงเคราะห์ญาติโยมที่ถูกผีเข้าสิงหรือถูกกระทำทางคุณไสย หลวงปู่บัวพาบอกว่าถ้ามีหลวงปู่หลอดช่วยอีกแรงหนึ่งก็คงสงเคราะห์ให้ได้ แม้วิญญาณจะกล้าแข็งสักเพียงใดก็คงไม่อาจต้านทานกระแสจิตของสมณะถึงสองรูปได้แน่นอน

ดังนั้นหลวงปู่หลอดจึงบอกให้แม่คำต้นมาทำพิธีในวันรุ่งขึ้นและกำชับให้พาลูกหลานมาด้วยหลายคน เพราะเวลาวิญญาณที่สิงร่างอาละวาดจะมีกำลังแรงเกินคนธรรมดาหลายเท่า ชาวบ้านนอกชนบททางภาคอีสานสมัยก่อนนั้นมีความเชื่อและนับถือผีกันแทบทุกบ้าน เวลาใดที่เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือทำไรทำนาไม่ได้ผลอุดมสมบูรณ์ ก็มักคิดว่าเกิดจากการดลบันดาลของภูตผี หรืออาจจะทำให้ผีขุ่นเคืองไม่พอใจ

ดังนั้น จึงมีการบูชาผีด้วยเครื่องเซ่นสังเวยต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ผีไม่ได้กระทำกลั่นแกล้งแต่อย่างใด หากเป็นเพราะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยไข้ป่าหรือไข้มาเลเรียถึงขั้นขึ้นสมอง จึงมีอาการเพ้อคลั่งไปต่าง ๆ นานา ชาวบ้านไม่มีการศึกษาไม่รู้สมมติฐานของโรคก็เชื่อไปว่าถูกผีกระทำเอา หรือพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่เจริญงอกงามเนื่องจากดินฟ้าอากาศแปรปรวน หรือดินจืดขาดปุ๋ย ชาวบ้านก็เหมาเอาว่าภูตผีดลบันดาลด้วยความไม่รู้ข้อเท็จจริง

ส่วนที่ว่าถูกผีกระทำ ถูกผีสิง หรือมีเหตุการณ์ผิดปกติอันเนื่องกับอำนาจของภูตผีปีศาจนั้นได้เกิดขึ้นจริง ๆ ก็มี ในกรณีเช่นนี้ขออธิบายแต่เพียงย่อ ๆ ว่า ผีหรือวิญญาณของผู้ตายนั้นไม่มีรูป สัมผัสไม่ได้ การติดต่อสื่อสารระหว่างคนกับผีกระทำได้ด้วยจิตทางเดียว ถ้าจิตของคนไม่เปิดรับ คือไม่ยอมรับอำนาจกระแสจิต วิญญาณของผีก็ไม่สามารถต่อเชื่อมกับกระแสจิตคนได้ การติดต่อรู้เห็นซึ่งกันและกันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

ขอให้สังเกตว่า...ในเขตเมืองหรือชุมชนที่เจริญแทบไม่มีเรื่องผีมาปรากฏเลย ทั้งนี้ก็เพราะผู้คนซึ่งเจริญแล้วด้วยการศึกษาพอสมควรไม่เชื่อว่าพลังอำนาจของผีมีจริง ไม่ยอมรับหรืออาจต่อต้านเสียด้วยซ้ำ จิตที่ไม่เชื่อไม่ยอมรับก็เท่ากับปิดประตูสนิท ตัดขาดการติดต่อกับกระแสจิตวิญญาณไปโดยปริยาย ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะมีใครพบเห็นผีเข้าสิงชนิดจัง ๆ ในเขตเมืองที่เจริญแล้ว

แต่คนบ้านนอกอยู่ห่างไกลความเจริญ มีความเชื่อว่าผีมีจริง ๆ มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ยิ่งประกอบกับบรรพบุรุษนับถือผี ได้รับรู้รับเห็นพิธีกรรมเซ่นสรวงสังเวยบูชาผีเข้าไปอีก จิตของบุคคลเหล่านี้เท่ากับเปิดประตูรับกระแสจิตวิญญาณโดยไม่เคลือบแคลงสงสัย การติดต่อสื่อสารระหว่างคนกับผีจึงเกิดขึ้นได้ง่าย ดังนั้น เรื่องผีเข้าสิงและทรงผีจึงมิใช่เป็นเรื่องงมงายไร้สาระไปเสียทีเดียว ดังเช่นรายแม่คำต้นนี้ หลวงปู่หลอด "พิจารณา" แล้วเห็นว่าตกอยู่ใต้อำนาจจิตวิญญาณจริง ๆ ท่านกับหลวงปู่บัวพาจึงตกลงรับปากช่วยสงเคราะห์ให้ตามกำลัง

เช้าวันรุ่งขึ้น...หลวงปู่ทั้งสองได้ไปบิณฑบาตที่หมู่บ้านควนปุ่น กลับมาที่กลดก็กระทำภัตตกิจเป็นที่เรียบร้อย กระทั่งสายพอสมควร แม่คำต้นและลูกหลานตลอดจนชาวบ้านซึ่งรู้ว่าแม่คำต้นจะเลิกเป็นคนทรงผีเด็ดขาด ก็รวมกลุ่มกันมาที่กลดของหลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพา หลวงปู่ทั้งสองได้ถามย้ำแม่คำต้นว่า ตัดสินใจแน่วแน่เด็ดขาดแล้วหรือ แม่คำต้นก็ยืนยันเป็นมั่นคงว่าจะไม่ยอมเป็นทาสผีอีกต่อไป หลวงปู่บัวพาจึงได้ทำน้ำพระพุทธมนต์ในบาตร และให้แม่คำต้นรับไตรสรณคมน์ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ

จากนั้นก็บอกให้แม่คำต้นสงบใจตั้งจิตรำลึกนึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์เอาไว้ให้แน่วแน่ แล้วหลวงปู่บัวพาก็กล่าวนำไหว้พระเริ่มต้นที่ "อิติปิโสภควา...." ระหว่างนั้น หลวงปู่หลอดก็รวมจิตลงสู่สมาธิแผ่กระแสกุศลเมตตาเป็นพลังช่วยหลวงปู่บัวพาอีกทางหนึ่ง เมื่อแม่คำต้นสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้วก็นั่งพนมมือหลับตา พยายามทำจิตน้อมรำลึกถึงพระรัตนตรัย ขณะที่หลวงปู่บัวพาสวดพุทธาคมทำน้ำพระพุทธมนต์ไล่ผี

ตอนแรก ๆ แม่คำต้นก็นั่งนิ่งเฉยเป็นปกติ พอเวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่งก็เกิดอาการกระสับกระส่าย ร่างกายสั่นเทิ้มไม่ได้หยุด พร้อมกับส่งเสียงครางเครือในลำคอตลอดเวลา พอดีกับหลวงปู่บัวพาทำน้ำพระพุทธมนต์เสร็จสิ้นท่านจึงใช้กำหญ้าคาจุ่มน้ำพระพุทธมนต์พรมไปที่แม่คำต้น ทันทีที่หยาดน้ำพระพุทธมนต์กระทบร่างแม่คำต้น หญิงวัยกลางคนก็กรีดร้องสุดเสียง ทะลึ่งพรวดสุดตัวประหนึ่งน้ำพระพุทธมนต์เป็นน้ำร้อนเดือดพล่าน ญาติพี่น้อง ๔-๕ คนซึ่งคอยทีอยู่แล้วต่างถลันเข้าไปช่วยกันจับยึดตัวแม่คำต้นเอาไว้ทั้งแขนทั้งขาก่อนจะดิ้นรนเกลือกกลิ้งไปกับพื้น

แม่คำต้นไม่ได้มีรูปร่างสูงใหญ่อ้วนล่ำแต่อย่างไร ออกจะเป็นหญิงร่างเล็กและผอมบางเสียด้วยซ้ำ แต่เวลานั้นไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ญาติพี่น้องซึ่งช่วยกันจับยึดเป็นชายฉกรรจ์ก็หลายคน ส่วนที่เป็นหญิงจัดว่าร่างใหญ่แข็งแรงเอาการทีเดียว กระนั้นแต่ละคนก็ต้องออกแรงจับกดกันจนเหงื่อหยดโซมหน้า

หลวงปู่บัวพาท่านสาธยายมนต์ไม่หยุด พร้อมกับพรมน้ำพระพุทธมนต์เข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แม่คำต้นพยายามดิ้นสะบัดให้หลุดจากคนหลายคนที่จับยึดเอาไว้แน่นจนตัวแอ่น เบิ่งนัยน์ตาขุ่นขวางแทบถลนออกนอกเบ้า หน้าตาบิดเบี้ยวถมึงทึงเหมือนไม่ใช่แม่คำต้นคนเดิม คำรามเสียงแหบห้าวอย่างกราดเกรี้ยวว่า

"เอาน้ำร้อนมารดกูทำไม! กูร้อน! ปวดแสบปวดร้อนทนไม่ไหวแล้ว! หยุดสาดน้ำร้อนใส่กูเดี๋ยวนี้! หยุดเดี๋ยวนี้!"

หลวงปู่บัวพาและหลวงปู่หลอดมิได้โต้ตอบแต่อย่างใด หลวงปู่บัวพายิ่งพรมน้ำพระพุทธมนต์หนักมือกว่าเดิมเข้าไปอีก แม่คำต้นก็อาละวาดด้วยกิริยาโกรธแค้นสุดขีด ปากก็ตะโกนโวยวายไม่ยอมหยุด หลวงปู่บัวพาบอกให้ผีที่แอบสิงอยู่ในร่างแม่คำต้นออกไปเสีย แต่ผีก็ยังดื้อดึงสุดฤทธิ์ทั้ง ๆ ที่ท่าทางของมัน(แม่คำต้นแสดงออกมา) กำลังได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส

คราวนี้หลวงปู่บัวพาไม่พรมน้ำพระพุทธมนต์แล้ว หากยกบาตรขึ้นเทน้ำพระพุทธมนต์รดลงไปที่กลางกระหม่อมแม่คำต้นตรง ๆ หญิงกลางคนซึ่งเป็นร่างทรงของผีทะลึ่งพรวดสุดตัว นัยน์ตาเหลือกค้างเห็นแต่ตาขาว หวีดร้องโหยหวนน่าขนพองสยองเกล้า

"โอ๊ย...ทนไม่ไหวแล้ว...ข้ายอมแล้ว...จะออกไปแล้ว...อย่าทำข้า"

สิ้นคำร้องร่ำไม่เป็นส่ำตัวแม่คำต้นก็อ่อนยวบฟุบหมอบคาที่ หลวงปู่บัวพารดน้ำพระพุทธมนต์ที่เหลือในบาตรลงไปบนศีรษะจนหมด คราวนี้แม่คำต้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรคงฟุบหมอบหายใจระรวยแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น แสดงว่าวิญญาณผีที่แอบแฝงสิงร่างอยู่เตลิดเปิดเปิงหนีหายไปหมดแล้ว

พักใหญ่ ๆ แม่คำต้นจึงได้ฟื้นคืนสติ เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางมึนงงเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองบ้างขณะที่วิญญาณผีร้ายเข้าสิงญาติพี่น้องต้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังกระทั่งผีออกไปจากร่าง แม่คำต้นก็ปีติดีใจนักที่หลุดพ้นจากอำนาจผีเสียที หลังจากเป็นทุกข์ทรมานมานาน หลวงปู่บัวพากับหลวงปู่หลอด ได้ผูกข้อมือแม่คำต้นด้วยด้ายสายสิญจน์และทำมงคลคล้องคอให้อีกเพื่อป้องกันไม่ให้ผีแอบแฝงมาเข้าสิงต่อไป

นับแต่นั้น...แม่คำต้นร่างทรงผีก็ไม่ปรากฏมีผีมาเข้าทรงเข้าสิงอีกเลย ทว่า หลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพาก็ต้องอยู่ที่บ้านควนปุ่นต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะผีซึ่งเข้าสิงแม่คำต้นได้กลับไปรังควานชาวบ้านคนอื่น ๆ เป็นภาระให้หลวงปู่ทั้งสองต้องทำพิธีไล่ออกหลายราย หลวงปู่หลอดจึงได้ให้ชาวบ้านควนปุ่นมารับไตรสรณคมน์ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะทุกคน แล้วสอนให้สวดมนต์ไหว้พระและปฏิบัติภาวนาพร้อมกันนั้นยังสอนให้ทุกคนรักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัดเพื่อประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม

ในที่สุดชาวบ้านควนปุ่นก็ไม่มีภูตผีวิญญาณร้ายใด ๆ มาแสดงฤทธิ์ข่มเหงรังแกอีกเลย...

หลวงปู่หลอดจาริกธุดงค์ไปกับหลวงปู่บัวพาผู้เป็นสหธรรมมิกตลอดพรรษานั้น ตราบถึงกาลเข้าพรรษาจึงได้แยกย้ายไปจำพรรษาต่างอารามกัน

หลังออกพรรษาทุก ๆ ปี หลวงปู่หลอด ปโมทิโตจะถือธุดงค์เป็นวัตรตลอดมา กล่าวได้ว่าหลวงปู่หลอดจาริกไปทั่วทั้งภาคเหนือและภาคอีสานท่องไปในป่าดิบดงกันดารสู่สถานวิเวก เพื่อกระทำความเพียรสะบั้นภพชาติซึ่งร้อยรัดสัตว์โลกเอาไว้อย่างเหนียวแน่นนับอนันตกาล

ประสบการณ์ธุดงค์ของหลวงปู่หลอดมีมากมาย ทั้งเป็นเรื่องอัศจรรย์เหนือโลกเหนือวิสัยเกินกว่าที่วิทยาการสมัยใหม่จะทดสอบพิสูจน์ได้ เรื่องใดที่ท่านไปพบเห็นสัมผัสมาแล้วและเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ในทางธรรมซึ่งพุทธศาสนิกชนควรพึงมีพึงได้ หลวงปู่ก็จะละเว้นไม่นำพามากล่าวถึง นอกจากบางเรื่องที่ท่านเห็นว่าถ้าเปิดเผยออกไปแล้วน่าจะทำให้เกิดสะดุ้งกลัวต่อบาปเวร หรือฉุกคิดถึงสัจธรรมขึ้นมาจึงจะถ่ายทอดให้ได้รับรู้

มีอยู่คราวหนึ่ง...หลวงปู่หลอดเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ไปถึงอำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง มีแม่ชีคนหนึ่งชื่อแม่ชีตุ้มและอุบาสิกาคำซึ่งเป็นชาวเขานุ่งดำห่มดำไปปฏิบัติธรรมที่ "ถ้ำแม่แก่ง" ขณะกำลังนั่งสมาธิกรรมฐานอยู่นั้น ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาในถ้ำ และมีเสียงร้องคร่ำครวญให้ช่วย จึงได้แผ่เมตตาให้แก่วิญญาณซึ่งทุกข์ทรมานเหล่านั้น แต่ดูเหมือนว่าวิญญาณซึ่งปรากฏ ณ ถ้ำแม่แก่งยังคงวนเวียนอยู่

หลวงปู่หลอดจึงได้ไปปฏิบัติสมณธรรมกรรมฐานที่ถ้ำแม่แก่ง และท่านก็ได้สัมผัสรับรู้ถึงวิญญาณทรมานซึ่งวนเวียนอยู่ที่ถ้ำแม่แก่ง พวกเขาเหล่านั้นเป็นชาวไทยใหญ่ มีอาชีพค้าขายเพชรพลอยซึ่งเดินทางจากฝั่งพม่ามาไทยเป็นประจำ วันหนึ่งถูกพวกผู้ร้ายใจบาปเข้าปล้นแย่งชิงอัญมณีมีค่าและเงินทองติดตัวไปจนหมด แล้วฆ่าปิดปากทุกคน จากนั้นได้นำศพมาฝังไว้ใกล้ ๆ กับถ้ำแม่แก่งเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยการกระทำความผิดอย่างมหันต์ของตน

วิญญาณของชาวไทยใหญ่พ่อค้าเพชรพลอยซึ่งต้องมาตายอย่างไร้ญาติขาดมิตรกลางดงกันดาร จึงเกาะติดยึดเหนี่ยวอยู่ ณ บริเวณนี้ด้วยความทรมาน รอคอยผู้ทรงศีลบริสุทธิ์มาเมตตาช่วยให้หลุดพ้นไปจากสถานที่นี้นานแสนนานแล้ว เมื่อหลวงปู่หลอดรับรู้เช่นนั้น ท่านจึงอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ท่านได้ปฏิบัติมาแผ่เมตตาออกไปให้แก่ปวงวิญญาณทรมานทั้งหลายอย่างไม่มีประมาณ

ตั้งแต่นั้น เสียงคร่ำครวญโหยหวนที่ปรากฏ ณ ถ้ำแม่แก่งก็สูญสิ้นหายไป...




หมายเหตุ : ขอบคุณคุณนที ลานโพธิ์ จากหนังสือ "เมื่อพระเจอผี"

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 19 ธ.ค. 2009 1:51 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 5:09 pm
โพสต์: 1368
:grt: :grt: :grt:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 19 ธ.ค. 2009 6:12 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 10:40 am
โพสต์: 369
:sck: :sck: อ่านเรื่องนี้แล้ว ต้องไปขอน้ำมนต์จากพี่รณธรรมมาไว้ที่บ้านสักขวดสองขวด เผื่อมีคนผีเข้าน่ะครับ :hpy: :hpy:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 19 ธ.ค. 2009 2:57 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ไม่ต้องถึงน้ำมนต์หรอกครับ แค่ "น้ำลาย" ผีก็ไม่อยู่แล้วครับ เอิ๊ก เอิ๊ก :lol: :lol: :lol:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 19 ธ.ค. 2009 9:38 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 13 ต.ค. 2008 8:03 pm
โพสต์: 288
เอาอีก เอาอีก เอาอีก


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 19 ธ.ค. 2009 9:50 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
:shock:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 19 ธ.ค. 2009 11:30 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 9:48 am
โพสต์: 937
รณธรรม ธาราพันธุ์ เขียน:
ไม่ต้องถึงน้ำมนต์หรอกครับ แค่ "น้ำลาย" ผีก็ไม่อยู่แล้วครับ เอิ๊ก เอิ๊ก :lol: :lol: :lol:

คิดดูสิครับ แค่น้ำลายผียังไม่อยากจะเข้าใกล้เลยครับ นี่อาจารย์ยังไม่ท่องคาถานะ คิดดูสิครับ :mrgreen:

_________________
อันความสุขทางใจนั้นหายาก คนส่วนมากไม่ชอบแสวงหา
หวังแต่สุขเพื่อสนุกเพียงหูตา มันจึงพาชักจูงให้ยุ่งใจ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 19 ธ.ค. 2009 11:46 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
:agy:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO