ข้าวสารกลายเป็นพระธาตุ

รณธรรม ธาราพันธุ์ · **โพสต์แล้ว:** ศุกร์ 20 พ.ย. 2009 12:28 am

เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าต้นไม้หรือสัตว์บางชนิดถ้าถูกทิ้งทับถมกันไว้ใต้พื้นดินนาน ๆ อาจกลายสภาพเป็นหินได้ ซึ่งนั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติและต้องใช้ระยะเวลานานนับเป็นพัน ๆ ปีขึ้นไป แต่กรณีที่วัตถุหรือพืชบางชนิดที่เก็บไว้ไม่นานเกิดการเปลี่ยนสภาพเป็นวัตถุอีกอย่างหนึ่งได้นั้น ต้องไม่ใช่เพราะความแปรเปลี่ยนของธรรมชาติแน่ หากแต่เป็นปาฏิหาริย์หรือสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่ไม่มีโอกาสจะได้พบเห็นกันบ่อยนัก

เหตุการณ์ประหลาดที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นความมหัศจรรย์ที่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งจะเรียกว่าเป็นอภินิหารหรือความศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงให้ปรากฏก็คงไม่ผิดนัก และเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นกับบุคคลชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอันสูงส่งทางการเมืองและหน้าที่ราชการมาแล้ว จึงเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้และน่าสนใจอย่างยิ่ง

เรื่องราวอันมหัศจรรย์นี้ได้รับการเปิดเผยว่า เมื่อประมาณ 2 ปีเศษมานี้ ร.ต.อ. ยอดยิ่ง สุวรรณาคร อดีตนายตำรวจมือปราบมือดีซึ่งเคยพิชิตเสือร้ายชื่อดังสงบราบคาบมาแล้วหลายคน ได้นำข้าวสารประหลาดชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า “ข้าวสารดำ” เพราะมีสีดำสนิทเป็นมันไม่เหมือนข้าวสารธรรมดาซึ่งมีสีขาว ข้าวสารดำนี้จะต้องเป็นพืชดึกดำบรรพ์ที่มีอายุกว่าพันปีมาแล้วแน่นอนจึงสามารถเปลี่ยนสภาพได้

ต่อมา ร.ต.อ. ยอดยิ่งได้นำข้าวสารดำไปมอบให้กับหลวงชำนาญนิติเกษตร อดีตรัฐมนตรีและอดีตเอกอัครราชทูตไทยเป็นจำนวน 9 เมล็ด ซึ่งเมื่อรับไว้แล้วคุณหลวงก็ได้นำข้าวสารดำ 9 เมล็ดนั้น แบ่งใส่ผอบทอง 2 ผอบ ๆ หนึ่งบรรจุไว้จำนวน 5 เมล็ด อีกผอบหนึ่งบรรจุไว้จำนวน 4 เมล็ด วางไว้บนโต๊ะหมู่บูชาภายในห้องพระ และเพราะหตุที่ท่านอดีตรัฐมนตรีได้เป็นผู้คุ้นเคยกับอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการพรหมศาสตร์

จึงเมื่อประมาณ 3 เดือนมานี้(พฤศจิกายน พ.ศ. 2511) ท่านได้ขอร้องให้อาจารย์ทองแถมไปตรวจอาณาบริเวณบ้านซึ่งอยู่ ณ ซอยสันติสุข ถนนสุขุมวิท พระนคร ให้สักหน่อย อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการพรหมศาสตร์จึงเดินทางไปพร้อมกับอาจารย์สำเภา สมะวรรธนะ อาจารย์ผู้รักษาขนบในทางวิชาการพรหมศาสตร์ร่วมไปด้วย เมื่อถึงบ้านท่านอดีตรัฐมนตรี อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการพรหมศาสตร์จึงได้พิจารณาบริเวณบ้านจนทั่วแล้วได้จุณเจิมโต๊ะหมู่ประดิษฐานองค์พระพุทธปฏิมากร รวมทั้งเปลี่ยนแปลงโยกย้ายสิ่งต่าง ๆ เพื่อความเหมาะสม มุ่งให้เกิดความมงคลต่ออาณาบริเวณ รวมทั้งท่านเจ้าของบ้าน ขณะเดียวกันอาจารย์สำเภาได้นำดินที่ปรุงแต่งให้บังเกิดความเป็นมงคลไปคืนในอาณาบริเวณดังเดิม

ปรากฏต่อมาว่า ภายหลังพิธีกรรมให้ความเป็นมงคลผ่านไปประมาณ 2 เดือน คุณหลวงชำนาญนิติเกษตร ได้ชี้แจงให้อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการพรหมศาสตร์ทราบว่า ข้าวสารดำที่มีอยู่ในผอบทอง 2 ผอบได้รวมกลุ่มกลายเป็นพระธาตุ ซึ่งมีสีเหมือนเมล็ดในพุทราไปแล้ว และในผอบยังมีผงข้าวสารดำที่ป่นละเอียดตกค้างอยู่บ้าง โดยท่านอดีตรัฐมนตรีได้แสดงความเห็นประกอบว่า การที่ข้าวสารดำกลายเป็นพระธาตุเช่นนี้คงเนื่องจากอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ ได้ประกอบพิธีกรรมความเป็นมงคลให้ และความเป็นมงคลนั้นจึงได้อุบัติมาเป็นความอัศจรรย์ให้ปรากฏ และยังได้เล่าต่อไปอีกว่า ได้นำเอาพระธาตุทั้งสององค์ไปถวายพระภิกษุสองรูปตรวจดูแล้ว ต่างก็ยืนยันว่าเป็นพระธาตุแน่นอน สำหรับอดีตรัฐมนตรีเองก็ได้เปิดตำราพระธาตุดูก็พบข้อความว่า หากพระธาตุมีสีสันเหมือนเมล็ดในพุทราก็คือ พระธาตุของพระสิวลี

จากการเข้าพบกับอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการพรหมศาสตร์ ได้รับคำชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า...

“อันการจะเป็นพระธาตุนั้นย่อมเป็นปาฏิหาริย์และอัศจรรย์ได้ เพราะเกิดจากความเป็นมงคลที่ท่านเจ้าของปฏิบัติไปด้วยความศรัทธา แต่จะให้ยืนยันว่าเป็นพระธาตุพระฉิมพลีหรือของท่านมหาสาวกองค์ใดองค์หนึ่งซึ่งเป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ขอตอบและยืนยัน เพราะพระธาตุทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นพระธาตุของพระอรหันต์ ดังนั้นความเป็นพระอรหันต์เท่านั้นจึงจะทราบว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพระอรหันต์ อาจารย์พรหมศาสตร์ทองแถมเป็นปุถุชนคนธรรมดา มีกิเลส ตัณหา ราคะ แม้พระภิกษุทุกวันนี้ (พ.ศ. 2512) และอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณชื่อดังทั้งหลายก็เป็นปุถุชนคนธรรมดามีกิเลส ตัณหา ราคะ หยาบบ้างบางบ้างทุกผู้ทุกนาม จะปลงใจว่าพระธาตุองค์นั้นองค์นี้เป็นของพระอรหันต์มีนามดังนั้นดังนี้ฟังไม่สนิทหูมากนัก หากจะถือเอาในตำราโดยรูปพรรณสัณฐานแล้วก็ใครเล่า ? มิใช่ปุถุชนดอกหรือที่สร้างสรรค์ตำรานั้น ๆ ขึ้นมา..."

สำหรับในด้านลาภผลที่เกิดขึ้นกับท่านอดีตรัฐมนตรีภายหลังจากข้าวสารดำกลายเป็นพระธาตุแล้วนั้น อาจารย์ทองแถมชี้แจงว่า คุณหลวงชำนาญนิติเกษตรได้ประสบความสุขความเจริญทั้งทางส่วนตัวและกิจการทางการค้าเป็นอันมาก ซึ่งเป็นผลอันเกิดจากได้พระธาตุไว้บูชาทั้งสิ้น

อีกท่านหนึ่งที่ได้ไปพบเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ พระภิกษุหลวงนรกิจกำจร หรือ หลวงพ่อนร์ วรญาโณ คณะ 1 วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ ผู้เชี่ยวชาญทางตรวจพระเครื่องและเป็นอาจารย์นั่งปรกพุทธาภิเษก ได้ชี้แจงว่าท่านเป็นผู้ที่คุณหลวงชำนาญนิติเกษตรนิมนต์ให้ตรวจดูข้าวสารดำกลายเป็นพระธาตุ ซึ่งเมื่อตรวจพิจารณาดูแล้วท่านก็ยืนยันว่าเป็นพระธาตุแน่ และชี้แจงถึงกรณีที่ข้าวสารดำกลายเป็นพระธาตุว่า เป็นเพราะท่านอดีตรัฐมนตรีปฏิบัติถูกต้องตามพิธีกรรมของพระธาตุ จึงบังเกิดให้พระธาตุเสด็จมาให้บูชาโดยกลายสภาพจากข้าวสารดำดังกล่าวแล้ว.