นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 07 พ.ค. 2024 7:40 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 11 ต.ค. 2008 10:09 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 5:09 pm
โพสต์: 1368
หลวงพ่อนพวรรณ วัดเสนานิมิต ตอน เก้าเฮหรือหุ่นพยนต์กับการยืนหยัดที่รากเหง้าของสิ่งที่ถูกต้องดีงาม
โดย ศิษย์กวง จาก
http://www.oknation.net/blog/sitthi/2008/06/13/entry-1
01.jpg

@....เฮกังกิงบาตูปุลุเกรอะเกราเกรา
บาตุลงงันคิวลูปะตูกะตุนตง…..@

ขึ้นต้นเรื่องมาด้วยคาถาบทนี้ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ นักนิยมพระเครื่องทุกท่านต้องทราบว่านี่คือวิชา “เก้าเฮ” ซึ่งเป็นวิชาที่มีชื่อของสำนัก “วัดพระญาติการาม” จังหวัดพระนครศรีอยุธยา...ซึ่งอดีตเคยมีพระเกจิอาจารย์อาคมขลังนามว่า “หลวงพ่อกลั่น”เจ้าของเหรียญแพงเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย เป็นอดีตเจ้าอาวาสผู้เกรียงไกร……….
02.jpg

ผมได้ติดตามคณะศรัทธาของคุณประจักษ์ เพื่อไปกราบนมัสการท่านหลวงพ่อนพวรรณ หรือพระครูสังฆรักษ์นพวรรณ คุณสาโร เจ้าอาวาสวัดเสนานิมิต ต.บ้านหีบ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งท่านเป็นพระเกจิอาจารย์อีกองค์หนึ่งในปัจจุบัน ที่มีเชี่ยวชาญในสรรพวิทยาคาถาอาคมอย่างหาตัวจับได้ยาก อีกทั้งประสบการณ์ของวัตถุมงคลที่ท่านสร้างออกมามีประสบการณ์แพร่หลายและเป็นที่เสาะหาของบรรดานักนิยมพระเครื่องทั่วไป….
03.jpg

หลวงพ่อนพวรรณท่านเป็นพระรูปร่างเกินอวบเล็กน้อย ผิวดำ สักยันต์เต็มตัว ด้วยความที่ท่านเป็นคนไทยแท้ๆ ลูกหลานชาวนา และพื้นเพเป็นคนท้องถิ่นนี้ เท่าที่พวกเราสังเกตดูหลวงพ่อนพวรรณ ท่านจะเป็นพระที่พูดจาเสียงดัง พูดตรงๆ หรือที่เราเรียกกันว่า “ขวานผ่าซาก” นั่นแหละครับ แต่บทที่ท่านคุยติดตลกซิครับ เรียกเสียงฮาดังๆ..ได้รอบวงสนทนาจริงๆ

ดังนั้นเมื่อท่านเข้ามาที่วัดเสนานิมิตแห่งนี้ จงอย่าแปลกใจเลยหากจะได้ยินการสนทนาซึ่งคล้ายๆกับคนกำลังทะเลาะกัน....ยิ่งกับชาวบ้านละแวกวัดและกลุ่มลูกศิษย์แล้วต่างถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าวันไหนไม่ได้ยินเสียงหลวงพ่อซิครับ จึงจะเป็นเรื่องที่แปลก...

ซึ่งผมคิดว่าการที่ต้องมีการพูดคุยเหมือนตะโกน อาจเกิดขึ้นจาก[b]”สภาพของพื้นที่และทำเลที่ตั้ง”[/b]ของวัดซึ่งอยู่กลางท้องนา ถามว่าระยะห่างจากถนนผ่านท้องนาเข้าไปที่วัดไกลแค่ไหน อยากให้เพื่อนๆ จินตนาการถึงสนามฟุตบอลซักหนึ่งสนาม แล้วลองเอากระป๋องโค้กไปตั้งไปตรงกลาง เปรียบเทียบดูว่าสนามฟุตบอลเป็นท้องนาและกระป๋องโค้กเป็นวัดซิครับ ไกลประมาณนั้นแหละครับ....

ซึ่งบริบทของการสนทนาแบบพูดตรงๆไม่เกรงใจญาติโยมอย่างนี้ หลวงพ่อเมตตาขยายความด้วยน้ำเสียงเหน่อๆ อันดังปนหัวเราะให้พวกเราฟังว่า..
04.jpg

“ทำไมกูต้องสนใจ ถ้าญาติโยมหรือลูกศิษย์จะชอบกู นับถือกู ก็ต้องชอบหรือนับถือที่กูพูดจริง ไม่ใช่เพราะกูพูดเพราะ...อีกอย่างกูก็ไม่ใช้พระรับแขก..”(หัวเราะ)

ครับสิ่งที่หลวงพ่อนพวรรณท่านพูดออกมา ลักษณะที่เป็นตัวของตัวเอง บางทีคล้ายกับเป็นการมั่นใจในตัวเองสูงแบบสุดโต่ง แต่หากเราพิจารณาให้ดีแล้ว สิ่งที่ท่านพูดคือความเป็นจริงล้วนๆ...ลองถามใจตัวเองดูซิครับว่าเราชอบคนแบบไหน ชอบคนที่พูดจริง หรือคนที่พูดจาไพเราะ..

บนโลกมนุษย์ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังชั่ง ตวง วัด คุณค่าของความเป็นคนจาก”รูปลักษณ์ภายนอก” ซึ่งหมายรวมถึงคำพูดหวานๆ มากกว่าความเป็นจริง แต่สำหรับหลวงพ่อนพวรรณ ท่านไม่ใช่...
05.jpg

“วันนี้ไอ้พวกผีบ้า มานิมนต์กูไปเหยียบบ้าน กูบอกมึงไม่ต้องมานิมนต์กูหรอก มึงไปนิมนต์หลวงพ่อ หลวงน้า วัดแถวบ้านมาเจิมเป็นสิริมงคล ไม่ต้องมาเอากู กูก็พระธรรมดา อ้อ..นี่พวกมึงมานิมนต์เพราะว่ากูมีชื่อใช่มั๊ย ศรัทธากูที่ชื่อ ที่กูมีชื่อเสียง ไม่ใช่ศรัทธากูที่เป็นพระ ไอ้พวกผีบ้า...เดี๋ยวกูถีบหน้าหงาย”(หัวเราะ)

อย่างไรก็ตามถึงหลวงพ่อนพวรรณ ท่านจะมีฝีปากที่ร้อนแรงดังมังกรพ่นไฟ แต่”สิ่งที่พวกเราเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปทั้งหมด”..โดยเฉพาะ...ถ้าคุณค่าความยิ่งใหญ่ของคนวัดกันที่ผลงาน ความยิ่งใหญ่ของพระสงฆ์รูปนี้ก็คงดูได้จากสิ่งที่พวกเราเห็น...
06.jpg

วัดเสนานิมิต ตามที่หลวงพ่อนพวรรณเล่าให้พวกเราฟัง ความว่าเป็นวัดร้างเก่าแก่สมัยตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ซึ่งตัวท่านเองก็ไม่สามารถย้อนระลึกชาติได้ว่าอยู่ในสมัยพระเจ้าอะไร จำได้ก็แต่ลืมตาเกิดมาก็เห็นวัดนี้แล้ว ความตั้งใจมุ่งมันที่จะบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้จึงฝังอยู่ในความคิดของท่านตั้งแต่เด็กๆ จนเมื่อท่านบวชและก้าวเข้ามาเป็นเจ้าอาวาสวัดเสนานิมิตแห่งนี้แหละครับ จากสภาพเดิมๆของวัดที่มีแต่เพียง

“โคกเจดีย์ ที่มีก้อนอิฐกระจายอยู่รอบๆ กับต้นมะขามเทศ สองต้น”

ปัจจุบันวัดแห่งนี้มีสถานที่สำหรับพระภิกษุสงฆ์ประกอบศาสนกิจค่อนข้างครบถ้วน ซึ่งหลวงพ่อบอกพวกเราว่า เงินที่นำมาบูรณปฏิสังขรณ์วัดก็มาจากการออกร่วมงานพุทธาภิเษก หรือออกวัตถุมงคลในนามของท่านเอง
07.jpg

ถึงตอนนี้คงเป็นการตอบคำถามที่คาใจนักนิยมสะสมพระเครื่องทุกท่าน ที่ได้ตั้งข้อสังเกตกันว่าหลวงพ่อนพวรรณ ท่านเป็นลูกศิษย์สายวัดพระญาติจริงหรือเปล่าหรือเป็นลูกศิษย์สายไหนกันแน่ นอกเหนือไปจากรอยสักรูปจิ้งจกที่ยืนยันการเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง...
08.jpg


“ไอ้ทิดพ่อกูยังเกิดไม่ทันหลวงพ่อกลั่นแล้วกูจะทันได้ยังไง แต่ปู่กูเกิดทันโว๊ย ย่ากูเป็นน้องสาวหลวงพ่ออั้น
09.jpg

ตอนหลวงพ่ออั้นมรณภาพ ย่ากูได้ตำราสืบต่อมาทั้งหมด เขาเรียกว่าเป็นสายกัน อาจารย์กูเป็นฆราวาสอายุเก้าสิบกว่าๆ เป็นลูกศิษย์ทันหลวงพ่อกลั่นแต่ตอนนี้ตายหมดแล้ว มีครูเลื่อน ที่เรียนวิชากระบี่กระบองและคาถาจากหลวงพ่อกลั่น…ครูใหญ่ กูก็ได้วิชาเก้าเฮ...ครูใหญ่ได้วิชาจากหลวงพ่อกลั่นตอนแกอายุยี่สิบกำลังจะไปทหาร...นี่กูพูดเอาแต่ความจริง ไม่ได้โกหกลวงโลก”

ซึ่งเกี่ยวกับวิชาเก้าเฮ..นี้หลวงพ่อนพวรรณ ได้อธิบายเพิ่มเติมให้พวกเราฟังพอประดับสติปัญญาน้อยๆว่า
10.jpg

“วิชาเก้าเฮ..ขึ้นต้นด้วย ....เฮกังกิงบาตูปุลุเกรอะเกราเกรา บาตุลงงันคิวลูปะตูกะตุนตง…. เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องของชาตรี คือเป็นวิชาที่ใช้ป้องกันอาวุธ เมื่อมีอะไรมากระทบตัวเราจะกลายสภาพเป็นของเบาดุจนุ่นทั้งหมด ต่างจากวิชาคงกระพัน ซึ่งเป็นวิชาที่ทำให้ร่างกายเหนียวและคงทนต่ออาวุธ”

นอกเหนือไปจากวิชาเก้าเฮ...แล้ว ผมเชื่อมั่นว่าอีกวิชาที่หลวงพ่อนพวรรณได้เล่าเรียนมาและอยู่ในความสนใจของกลุ่มชนที่นิยมไสยศาสตร์เช่นกันคือ “วิชาทำหุ่นพยนต์” ....หุ่นพยนต์คืออะไร ผมคงขอข้ามไปเพราะหลวงพ่อนพวรรณท่านไม่ได้อธิบายตรงจุดนี้แต่หากเพื่อนๆ สนใจลองค้นคว้าดูได้จากสื่อต่างๆ ที่เผยแพร่ออกมาก็คงพอจะได้ความ....หลวงพ่อนพวรรณเล่าเรื่อง”อาจารย์ที่สอนวิชาหุ่นพยนต์”ให้พวกเราทราบว่า...

“อาจารย์ที่สอนกูชื่อตาลอย แกชื่อลอย โพธิ์เงิน ลอยเรืออยู่ริมคลองหน้าวัดสุวรรณาราม ตาลอยแกเป็นหมอชาวบ้าน กวาดยา ดูหมอ ทำเสน่ห์ ทำหุ่นพยนต์ แกเรียนมาจากหลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ หลวงพ่อแป้น เรียนมาจากหลวงพ่อโนรี พระเขมร “
11.jpg


“กูก็เคยทำ สี่กรก็ทำได้ จะไปยากอะไร เอาหวายลูกนิมิตหรือหวายคล้องช้าง มาสานเป็นตัวหุ่น เสกนารายณ์เข้าไปให้มีฤทธิ์มีเดช หรือมึงจะให้กูสานเป็นเศียรฤษีก็ได้ แต่มึงเอ๊ยกว่าจะได้แต่ละตัวไมเกรนแทบขึ้น สานไป ว่าไป ตอนนี้กูหยุดทำแล้ว ไม่ไหววันหนึ่งสานได้แค่ตัวสองตัว ทำให้คนบูชากันทั้งประเทศ จะเอาไปทำอะไรกิน ยังไม่ทันซื้อปูนเทพื้นศาลากูก็ตายห่าซะก่อน”(หัวเราะ)
12.jpg

ครับ...ตามที่ผมเล่าเรื่องของ “วิชาเก้าเฮ” หรือ “วิชาหุ่นพยนต์” เพื่อนๆบางท่านอาจคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ในความเป็นจริงแล้ววิชาต่างๆเหล่านี้คือส่วนประกอบของคนไทยในยุคสมัยเก่าใช้ในการรักษาและกอบกู้เอกราชจากศึกสงคราม

ผมเองก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อย่างเลื่อนลอยเหมือนคนละเมอไร้จุดหมายทุกอย่างที่ผมพูดมีหลักฐานชัดเจน ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ สำนักดาบพุทไธสวรรค์ ที่สอนวิชากระบี่กระบอง ฟันดาบ หรือ
13.jpg

สำนักวัดประดู่ทรงธรรม ซึ่งเป็นตักศิลาทางไสยศาสตร์ของภาคกลาง เช่นเดียวกับ...
14.jpg

สำนักเขาอ้อที่เป็นตักศิลาไสยศาสตร์ของภาคใต้...ซึ่งทั้งสองวิชานี้ก็มีบรรจุอยู่ในหมวดวิชาเกี่ยวกับพุทธศาสตร์ของทั้งวัดเขาอ้อและวัดประดู่ทรงธรรม และสำนักที่ผมกล่าวอ้างมาทั้งหมดก็มีบทบาทในการต่อต้านศึกสงครามของไทยในอดีต...

ถึงแม้หลวงพ่อนพวรรณ ท่านจะเป็น”พระขวัญใจ”ของกลุ่มลูกศิษย์ ซึ่งมีหลายๆท่านเป็นนักธุรกิจร่ำรวย เป็นนายตำรวจ ยศใหญ่โต หรือเป็นชาวบ้านที่ประกอบอาชีพทำนาในละแวกอำเภออุทัย จนสามารถ”ว่ากล่าวตักเตือนหรือจะจิ้ม”ให้ลูกศิษย์คนไหนมาอำนวยความสะดวกได้ตลอดเวลา แต่หลวงพ่อนพวรรณ ท่านก็ไม่ได้ใช้”อภิสิทธิ์ตรงนั้น”มาบริการตัวท่าน บ่อยครั้งที่พวกเราจะเห็นว่าหลวงพ่อเลือกที่จะพาตัวท่านเองไปนอนพักอย่างเงียบๆ เพราะไม่สบายและไม่มีรถรับตัวท่านไปรักษา เช่นในวันที่เรามากราบนมัสการท่านในครั้งนี้ เพียงเพื่อไม่อยาก”รบกวนหรือเป็นภาระ”ของใคร....
15.jpg

“กูจะไปมีอะไรไอ้ทิด...กูไม่มีรถ เจ็บไข้ได้ป่วยกูก็นอนของกูอยู่ตรงนี้ จะไปว่าจ้างรถก็ลำบาก เดี๋ยวมันไม่คิดเงิน กูเสกพระสร้างพระได้ปัจจัยมาก็มาลงที่วัดทั้งหมด นี่ถ้ากูไม่สร้างวัดกูคงมีเงินเป็นสิบๆล้าน แต่มีแล้วจะมีประโยชน์อะไร ตายแล้วลูกหลานก็มาแย่ง นี่ของหลวงพ่อกู ของหลวงลุงกู หนักๆเข้ากรรมการวัดก็บอก วัดของกู หลวงพ่อของกูบ้าง แย่งกันไม่รู้จักจบสิ้น แย่งกันโคตรโคตร”

....ครับคำพูดนี้คือบทสรุปของคำว่าผลประโยชน์ ความโลภ หรือความตะกละ ที่ไม่เข้าใครออกใคร
16.jpg


จากที่มาของคำว่า “พุทธทาส” ในความหมายของ “หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ” ที่ว่า ข้าพเจ้ามอบชีวิตและร่างกายนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้า,ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า,พระพุทธเจ้าเป็นนายของข้า เพราะเหตุดังว่ามานี้ ข้าพเจ้าจึงชื่อว่า “พุทธทาส” ....เช่นเดียวกับ..”หลวงพ่อนพวรรณ” ที่ชีวิตนี้ท่านก็”อุทิศ”ให้กับพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ซึ่งในวันนั้นพวกเราได้เห็นท่านให้โอวาทกับพระภิกษุที่เข้ามานมัสการท่านว่า
17.jpg

“ท่านต้องจำไว้ พวกเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พวกเราห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ซึ่งเป็นเครื่องแบบของผู้บริสุทธิ์ หลวงพ่อคู่สวดพาเรามาพูดซักฟอกกลางกลุ่มพระสงฆ์ให้รับรู้ จนไม่มีมลทินเป็นที่รังเกียจของสังคม คณะสงฆ์จึงตกลงรับเราเข้าเป็นพระ ให้สวมเครื่องแบบบริสุทธิ์ เมื่อวานท่านยังตีไก่ นั่งร้องเพลง วันนี้ใครเห็นท่านก็กราบไหว้ เขากราบไหว้ใจบริสุทธิ์ของคนห่มผ้าเหลือง”

พวกเราฟังแล้วต้องนั่งกันเงียบ ด้วยไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นหลวงพ่อนพวรรณท่านพูดได้ลึกซึ้งขนาดนี้ ...ความรู้สึกของผมเริ่มเปลี่ยนไป..”ว่ากันว่าคุณค่าของความเป็นคนไม่จำเป็นต้องมานั่งประเมินด้วยคุณค่าของความยิ่งใหญ่” หลวงพ่อนพวรรณ ท่านอาจจะไม่ใช่พระที่สำรวม เก่งในเชิงคำสอนตามพระไตรปิฏก หรือเป็นพระผู้ประกาศธรรม แต่กระนั้นความคิดหรือความดีที่ท่านหมั่นทำหมั่นสอนอย่างไม่เคยว่างเว้น ก็ส่งผลให้พระที่มีผิวกายสีคล้ำเต็มไปด้วยรอยสักยันต์ เต็มเปี่ยมไปด้วย”แสงสว่างในตัวเองอยู่เสมอ...”
18.jpg

ที่ผมคิดอย่างนี้ก็เพราะว่าตลอดเวลาของการสนทนาหลวงพ่อนพวรรณ ท่านไม่เคยพูดถึงคุณวิเศษของวัตถุมงคลที่ท่านได้สร้างออกมาเลย ทั้งๆที่ตัวท่านเองก็สร้างออกมาหลายอย่างและทุกอย่างก็มีประสบการณ์บ่อยๆทำให้ของทุกอย่างหมดจากวัดไปอย่างรวดเร็ว เช่นหุ่นพยนต์ หรือนางกวักสำหรับค้าขาย…

“ไอ้ผีบ้า พวกมึงก็เชื่อกันไปได้มันเป็นอุปทาน มึงอยากขายดี มึงมาเอากูไปช่วยขายซิวะ”

หรือเหรียญและตะกรุด “พระนเรศวรปราบหงสา” ซึ่งได้ชื่อว่า “มีค่าควรเมือง”
19.jpg

“กูสร้างพระยันต์นี้ไม่ได้มีไว้ให้คนร่ำรวยกันหรือมีไว้ให้ป้องกันปืน ป้องกันระเบิด แต่กูสร้างเป็นอนุสสติรำลึกถึงคุณพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธองค์จะคุ้มครองได้ต่อผู้มีธรรมอยู่ในใจเท่านั้น ไม่ได้ไปหลอกคนให้ไปเช่าไม่ได้ไปหลอกให้คนหลงงมงาย แต่กูสร้างให้เป็นอนุสสติ รำลึก ให้นึกถึงบุญคุณแผ่นดิน นึกถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ผู้กล้าหาญ ที่ได้กอบกู้เอกราชกรุงศรีอยุธยาไว้ไม่ให้เป็นเมืองขึ้นประเทศพม่า”
20.jpg

ครับ....ถ้าเราจะเปรียบ “พระพุทธศาสนาของเราเป็นดั่งต้นโพธิ์” รากเหง้าของต้นโพธิ์ที่ชอนไชลงไป เปลี่ยนเสมือน “ศาสนาพุทธของเราชอนไชเข้าไปทุกหนทุกแห่ง ในทุกวัฒนธรรม” ไสยศาสตร์หรือตำราคาถาอาคมที่หลวงพ่อนพวรรณ ท่านร่ำเรียนมาก็คือ”ส่วนหนึ่งของการถูกชอนไชจากรากต้นโพธิ์ต้นนี้” ซึ่งวัฒนธรรมเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของ”วัฒนธรรมดั่งเดิมของคนไทย” และเมื่อเราย้อนมองไปดูวัฒนธรรมดั้งเดิมของเรา มันไม่ใช่เป็น ”การถอยหลังเข้าคลอง” หากแต่เป็น ”การยืนหยัดที่รากเหง้าของสิ่งที่ถูกต้องดีงาม”
21.jpg


ถึงตอนนั้นแหละครับพวกเราก็จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ”ความดี ความจริง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านหลวงพ่อนพวรรณ ท่านได้ทำมาตลอดชีวิตของท่าน.....สวัสดีครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 11 ต.ค. 2008 10:35 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
ไว้มีโอกาสจะแวะไปกราบท่านครับ..............ว่าแต่วันนี้ "นักลาก"มาแต่หัวค่ำเลยอ่ะครับ :lol: :lol: :lol:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 11 ต.ค. 2008 10:44 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 5:09 pm
โพสต์: 1368
แก่แล้ว ลากดึกๆ กลัวจะหลับใน แล้วเดี๋ยวหัวชนคอมพิวเตอร์ตายครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 12 ต.ค. 2008 12:23 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
:o
ขอบพระคุณพี่จิ้งจกมากครับ
ที่ช่วยลากเรื่องของผมมาที่นี่
ยังไงซะ เรื่องนี้คงจะไม่สมบูรณ์
หากขาด "ประสบการณ์" ของ
พี่จิ้งจก....เอ้า....
เล่ามาซะดีดี.... :mrgreen:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 12 ต.ค. 2008 12:27 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
มานั่งรอด้วยฮะ

รอดูเรื่องจริงผ่านจอ (คอม)

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 12 ต.ค. 2008 1:25 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 5:09 pm
โพสต์: 1368
บอกได้คำเดียวครับว่า สิ่งที่ได้รับและเรียนรู้จากการพบปะพูดคุยกับท่านก็คือ "ความเมตตา" "ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่" "การให้อภัย" "การเป็นคนมีจิตใจสูง" ฯลฯ เกินกว่าจะบรรยาย สำหรับเรื่องฮานั้นบอกได้เลยครับว่า นั่งฟังท่านพูดแล้วไม่ต้องอ้าปากอะไรเลย ฟังอย่างเดียวพอ หัวเราะกันจนเหนื่อย ฮาจนน้ำตาไหลเลย และถ้ามองข้ามเรื่องเสียงดัง มีงมาพาโวยของท่านแล้วบอกได้คำเดียวเลยครับว่า ท่านเป็นพระที่ "ใจดี" มาก
----------------------------------------
สุดท้ายก็ต้องขอขอบพระคุณท่านศิษย์กวงที่ได้พาไปพบกับพระสงฆ์แท้ที่ยังมีอยู่ในสังคมไทย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 12 ต.ค. 2008 10:19 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
อ้าว...คุณพี่จิ้งจกครับ
แล้วเรื่องที่กำตะกรุด วิ่งลุยจิ๊กโก๋ปากซอย
หรือการใช้สีผึ้ง แล้วสาวๆรุมกินโต๊ะคุณพี่

เล่าไปด้วยซิครับ...
:mrgreen: :mrgreen:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 12 ต.ค. 2008 10:31 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 5:09 pm
โพสต์: 1368
ศิษย์กวง เขียน:
อ้าว...คุณพี่จิ้งจกครับ
แล้วเรื่องที่กำตะกรุด วิ่งลุยจิ๊กโก๋ปากซอย
หรือการใช้สีผึ้ง แล้วสาวๆรุมกินโต๊ะคุณพี่

เล่าไปด้วยซิครับ...
:mrgreen: :mrgreen:


จ๊ากกกกกกกกก เรื่องอย่างนี้มันไม่มีครับ ท่านศิษย์กวง อย่าโฆษณาเกินจริง เดี๋ยวจะโดน อ.ย. เล่นเอานะเนี่ย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO