นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 29 มี.ค. 2024 5:43 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 103 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 02 ต.ค. 2008 3:34 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586


naka1_res.jpg


     เรื่องลึกลับในโลก  โดยมากก็มักเป็นเรื่องลึกลับกันมานาน  อาจจะนับได้เป็นพันปี หรือ ร้อยปี  หรือสิบปี  หากถึงกระนั้น  ณ  วันนี้เรื่องราวเหล่านั้นก็ยังคงลึกลับอยู่  เพราะคนที่จะไขได้ย่อมต้องเป็นผู้รู้จริง  แตกฉานในศาสตร์นั้น ๆ  เรื่องราวนั้น ๆ จริง  

          และเมื่อรู้จริงก็มักไม่ยอมพูดเสียด้วย

     เรื่องของสิ่งมีชีวิตในอีกมิติหนึ่งซึ่งยากที่คนทั่วไปจะรู้ตาม  เป็นสิ่งอันยากต่อการพิสูจน์  ด้วยเพียงปรารภขึ้นว่า  ‘อีกมิติหนึ่ง’  คนทั้งหลายก็ล้วนตั้งป้อมรอท่าไว้ก่อนแล้วว่ากำลังจะได้รับฟัง  ‘นิยาย’   

     ทว่านิยายนี้  พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกของโลกก็ทรงรับรองถึงความมีอยู่จริง  ในอีกมิติหนึ่งที่เราเข้าไปไม่ถึงและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า  ปรากฏสิ่งมีชีวิตซึ่งมีรูปกายอันประณีต  ละเอียดเล็กจนตาเนื้อไม่อาจเล็งแลได้ดุจเดียวกับ  ‘เชื้อจุลินทรีย์’  เชื้อจุลินทรีย์ก็ดี  เชื้อไวรัสก็ดี  เชื้อบักเตรีก็ดี   ชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้นักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วโลกล้วนยอมรับว่ามีอยู่จริงและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า  ต้องใช้เครื่องมือที่ควรกันเพื่อมอง

          กล้องจุลทรรศน์จึงถือกำเนิดขึ้น

     เช่นเดียวกัน  เมื่อเราอยากเห็น  ‘สิ่งมีชีวิต’   ที่อยู่ต่างภพภูมิก็จำเป็นต้องปรับจูนตาของเราให้มีประสิทธิภาพดีพอเยี่ยงกล้องจุลทรรศน์  เพื่อให้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น  แต่มิใช่ที่ตานอก  หากเป็น  ‘ตาใน’  ตาในที่แจ่มใสด้วยอำนาจฌาน-ญาณ  ของสมเด็จพระบรมศาสดาและพระอรหันตสาวก  รวมไปถึงผู้ออกเดินในเส้นทางแห่งภาวนาทั้งหลาย  สายตาย่อมแจ่มชัดกว่าปุถุชนผู้หนากิเลสทั่วไป

     ย่อมเห็นในสิ่งที่คนทั้งหลายไม่อาจเห็น  และแม้จะพูดว่าได้เห็นอะไร  ความหนาในใจก็ยังปิดกั้นให้นั่งรับฟังได้แต่ไม่ยอมเชื่อถือ  คนจึงไม่กลัวบาป  เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่านรกมี  อสุรกายมี  เปรตมี  คนจึงไม่ทำบุญ  เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่าสวรรค์มี  พรหมโลกมี  และไม่ปฏิบัติธรรมภาวนา   เพราะไม่เชื่ออย่างถึงใจว่า  พระนิพพานมี  ดินแดนแห่งบรมสุขมีอยู่จริง

          เหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรง  ‘ห้ามพูด’
          ห้าม....แม้ว่าจะได้เห็นจริง

     ดังนั้น  ปริศนาของสิ่งลี้ลับในโลกเร้นลับ  จึงยังคงครองความลี้ลับต่อไปได้อย่างสง่าผ่าเผย  คนผู้พยายามไขหรือชี้แจงจึงมักเป็นเพียง  ‘ตัวตลก’  ในสายตาของคนทั้งโลก

          แต่ไม่เชื่อ  ก็ใช่ว่าจะทำให้สิ่งนั้นไม่มี

     หลวงพ่อกัสสปมุนี  วัดปิปผลิวนาราม  ต.หนองบัว  อ.บ้านค่าย  จ.ระยอง  จึงให้ศิษย์ติดป้ายปริศนาอันหนึ่งไว้ในวัดข้างแท้งค์น้ำว่า

          ‘สิ่งไม่มี  ไม่มีในโลก’
lpkassapa03.jpg



     พญานาค  เป็นอีกหนึ่งสัตว์โลกที่อาศัยอยู่ด้วยบุญ บาป เช่นเดียวกับเรา  เป็นผู้อยู่ในอีกมิติหนึ่งอันใกล้ชิดกับมนุษย์อย่างยิ่ง  จนบางคราวก็ได้ปรากฏออกมาให้พบเจอกันซึ่งก็มีทั้งโดยเจตนาและโดยบังเอิญ

     พญานาค  มีด้วยกันหลายตระกูล  ถือกำเนิดด้วย  ‘อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก’  คือบุญที่มีบาปพัวพัน  หลวงปู่ชอบ  ฐานสโม  วัดป่าสัมมานุสรณ์  อ.วังสะพุง  จ.เลย  เคยปรารภว่า  ใครที่อยากเกิดเป็นนาคต้องอธิษฐานเอานะ  ทำบุญแล้วอธิษฐานจิตให้มั่นคง  แต่หากทำบุญภาวนาอย่างเดียวก็ไม่ได้เกิดเป็นนาคอีก  ได้เป็นเทวดาไปเสียเมื่อตาย  คนที่ได้เกิดเป็นนาคนั้น  มักเป็นผู้บุญก็ทำบาปก็ทำและมีความยินดีในภพของนาค  เมื่อตายลงไปบุพกรรมนั้นก็ชักนำให้ได้เป็นเกิดเป็นนาค

     นาคบางพวกมีฤทธิ์น้อย  เหล่านี้จึงตกเป็นอาหารของ  ‘ครุฑ’  นาคบางพวกมีฤทธิ์มาก  ครุฑจับกินไม่ได้  ซ้ำดีร้ายก็ยังต้องหนีเพราะนาคมีพิษที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเพลิงกาฬ  เมื่อครั้งที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น  ภูริทัตโต  นำคณะพระกรรมฐานหลายรูปเที่ยววิเวกอยู่ในป่าลึก  ครั้นถึงบึงน้ำใหญ่ในป่าแห่งหนึ่งก็ดำริกันว่าจะพักกลดภาวนากัน  ณ  สถานที่นี้

namo_res.jpg



     แต่ท่านพระอาจารย์มั่นนั้นทราบล่วงหน้าแล้ว  เห็นล่วงหน้าแล้วแต่ไกล  ถึงสิ่งลี้ลับที่อาศัยอยู่ในบึงแห่งนี้  นั่นคือ  ‘พญานาค’  ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน  3  ตน  นาคทั้งสามเมื่อเห็นคณะพระธุดงค์เดินทางเข้ามาใกล้  ก็ให้อัศจรรย์กับรัศมีที่รุ่งเรืองแผ่ซ่านออกมาด้วยบุญบารมี  นาคทั้งสามจึงเกิดความคิดอยากทดลองกำลังบุรุษผู้มีบุญเหล่านี้  จึงพากัน  ‘คาย’  พิษที่รุนแรงยิ่งลงในน้ำ  จากนั้นก็พากันหลีกหนีไปซุ่มดู

     ท่านอาจารย์ใหญ่แม้เห็นดังนั้นแล้วก็นิ่งเฉยเสีย  จนเดินทางมาถึงบึงน้ำจึงมีคำสั่งแก่หมู่คณะว่าห้ามตักน้ำในบึงมาใช้สอยดื่มกินเป็นอันขาด  แล้วหันไปทางพระน้อยรูปหนึ่งสั่งความ  ปรากฏว่าพระน้อยรูปนั้นก็ทราบมาแต่ไกลแล้วเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ใหญ่  จึงรับบัญชาอาสาไป  ‘ทรมาน’  นาคมิจฉาทิฏฐิเหล่านั้นให้คลายพยศลดมานะ

     และท่านก็ทำสำเร็จได้ในเวลาไม่นานนัก  ท่านพระอาจารย์ใหญ่จึงออกปากชมเชยถึงอำนาจจิตและคุณธรรมในพระน้อยองค์นี้เป็นที่ยิ่ง  ไม่อาจทราบได้ว่าพระหนุ่มรูปนั้น  ‘ปราบ’  พญานาคทั้งสามด้วยวิธีใดจนเขามายอมรับนับถือพระรัตนไตรและยอม  ‘ถอน’  พิษที่รุนแรงนั้นออกจากน้ำ  แต่ทราบแน่นอนว่าพระน้อยรูปนั้นชื่อ....

          พระอาจารย์ชอบ  ฐานสโม

ฐานสโม.jpg



     จึงเห็นได้ว่าพิษนาคนั้นมีอานุภาพมาก  แม้คายลงไปผสมปนเปกับน้ำปริมาณมหาศาลก็ยังไม่อาจเจือจางได้  หากคณะท่านพระอาจารย์มั่นไม่สูงส่งด้วยอำนาจญาณ  ก็อาจต้องถึงแก่มรณภาพด้วยพิษนั้น  และใครจะรู้ได้เล่าว่าพระธุดงค์ก็ดี  ชาวบ้านก็ดี   ที่ต้องถึงแก่ชิวิตด้วยการดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติบางแห่งจะไม่ได้ตายเพราะพิษนาค !

     เพราะความที่อยู่บนพื้นฐานของความไม่เชื่ออย่างสุดโต่งนี้เอง  จึงสันนิษฐานทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญบ้าง  เป็นเหตุสุดวิสัยบ้าง  เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ บ้าง  แม้ครูบาอาจารย์จะกล่าวเตือนหรือท้วงติงอย่างไร  ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจคนมีทิฏฐิมานะสูงเหล่านั้นได้

          จนกว่าจะได้รับผลของการกระทำ

     ปัจจุบันคนทั่วโลกตื่นตัวกันมากและโจษจันไปทั่วกับสิ่งที่เรียกว่า  ‘ภาวะโลกร้อน’  โลกร้อนขึ้น  ทำให้ฝนตกหนักและตกผิดฤดู  ทำให้หิมะละลาย  ทำให้น้ำท่วม  ทำให้แผ่นดินไหว  เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ จากธรรมชาติขึ้นไม่เว้นวัน  คนที่เชี่ยวชาญในวิทยาศาสตร์ก็ออกมาอธิบายแบบวิทยาศาสตร์  คนที่เชี่ยวชาญในภูมิศาสตร์ก็ออกมาอธิบายแบบภูมิศาสตร์   แต่วันนี้จะขออธิบายแบบที่ผู้คนชอบเรียกกันว่า  ‘ไสยศาสตร์’  แม้จะไม่ได้เชี่ยวชาญก็เถิด

     เป็นที่รู้กันในกลุ่มคนที่ศึกษาพระพุทธศาสนาแบบทั่วไปและคนที่ศึกษาในระบบเทววิทยา  ว่าเทวดาผู้ควบคุมฝนคือ  พระพิรุณ  และยังมีอีกพวกหนึ่งคือ  นาค  

     อันฝนตกนั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ  หาใช่การดลบันดาลจากใครไม่  แต่เชื่อไหมว่าแม้กระนั้นก็ยังมีผู้ที่คอยควบคุมอยู่เบื้องหลังอีกชั้นหนึ่ง  การตกแบบธรรมชาติเขาก็ปล่อยให้ตกไป  แต่บางคราวการตกแบบไม่ธรรมชาติ  เขาก็ต้องทำ  เช่น  เมื่อมีการบวงสรวงร้องขอ  เมื่อมีการประกอบพุทธาภิเษกสำคัญ ๆ ซึ่งอันนี้จะทำให้โปรยปรายเป็นฝอยละเอียดเพื่อเป็นศุภนิมิตถึงความชุ่มเย็น  หรือตกหนักก่อนหน้าเพื่อ  ‘ชะล้าง’  สิ่งสกปรกดังเช่นเมื่อตอนหลวงปู่ดู่จะปลุกเสกเหรียญเปิดโลก  เป็นต้น

     ดังนั้นเรื่องลม  ฝน  แผ่นดิน  นอกจากจะจัดว่าเป็นสิ่งอันธรรมชาติรังสรรค์แล้วก็ยังแน่นอนได้ว่ามีผู้สามารถบังคับได้ทำงานอยู่อย่างที่เราไม่รู้ไม่เห็น

          บอกแล้วว่าไม่รู้ไม่เห็น  ไม่ได้แปลว่าไม่มี

     ย้อนไปในปี พ.ศ. 2472  ยังมีพระมหาเถระผู้ทรงธรรมอันเลิศอยู่ด้วยกันหลายองค์  แต่ละรูปละองค์ก็ล้วนตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัยเป็นอันดี  อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยอำนาจฌาน-ญาณซึ่งเกิดจากการฝึกฝนจิตอย่างชนิดที่เรียกว่า  “ไม่ตายก็ให้มันดี  ไม่ดีก็ให้มันตาย”  

     พระมหาเถระดังกล่าวจึงนิยมในความสงบไม่พลุกพล่านวุ่นวาย  ดังนั้น ภายใต้การนำของ  พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์  (จันทร์  สิริจันโท)  พระอริยเจ้าแห่งวัดบรมนิวาส  พระนคร  กับท่านพระอาจารย์มั่น  ภูริทัตโต  แม่ทัพธรรม  จึงนำพระภิกษุสามเณรจาริกไปยังเมืองเชียงใหม่  และได้พักจำพรรษาอยู่  ณ  วัดเจดีย์หลวง  ในปี พ.ศ. 2472  นั้นเอง

ubalee1_res.jpg



     ปีนั้นได้เกิดภัยแล้งแก่เมืองเชียงใหม่อย่างน่าเวทนาเป็นที่สุด  ทั้งชาวไร่และชาวนาต่างได้รับความทุกข์เดือดร้อนอย่างสาหัส  เพราะฝนไม่ตกเอาเสียเลยทั้งที่เข้าพรรษามานานแล้ว  ทุกวันมีแต่แสงแดดแผดจ้าจนไม้ใหญ่ก็ล้มตายไม้เล็กก็ไม่ได้เกิด  หนำซ้ำพืชผลที่พอได้ใช้อยู่ใช้กินก็พลอยตายกันหมดสิ้นมิพักต้องพูดถึงพืชเศรษฐกิจใด ๆ 

     ความทุกข์นี้ครอบงำไปทั่วนครเชียงใหม่ไม่เว้นแม้โดยรอบปริมณฑลอำเภอต่าง ๆ  เสียงพร่ำบ่นถึงความทุกข์มีให้ได้ยินกันทุกวันจนแทบกลายเป็นคำทักทาย  ในที่สุดเสียงทุกข์คร่ำครวญก็ดังเข้าสู่วัดเจดีย์หลวง

wan1.jpg



     วันหนึ่งในตอนบ่าย  ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ  ได้ออกจากกุฏิมาเรียกพระอาจารย์แหวน  สุจิณโณ  ว่า 

          “แหวน ๆ มานี่หน่อย”  

     เมื่อพระอาจารย์แหวนเข้าไปหาแล้วกราบลงเป็นที่เรียบร้อย  ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็สั่งความว่า

          “วันนี้ทำทางจงกรมให้หน่อยนะ  ฝนแล้งเหลือเกิน  จะเสก  อิ ติ ปิ โส  สักเจ็ดวัน  เอาให้ฝนตกท่วมเมืองเชียงใหม่เลย...!!”

     ครั้นพระอาจารย์แหวนกราบลาออกมาแล้วก็ไปเรียกสามเณรมาให้ช่วยดายหญ้าปรับพื้นที่ให้นูนสูงเป็นทางเดินยาวประมาณ  30  ก้าวเดิน  เกลี่ยและปรับหน้าดินข้างบนให้เรียบเนียน  เสร็จแล้วก็ไปกราบเรียนให้ท่านทราบ

     และในเย็นวันนั้น  เมื่อท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ  สรงน้ำเรียบร้อยแล้วก็เป็นหัวหน้านำหมู่คณะไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนา  ครั้นเสร็จธุระจากหมู่  ท่านก็เดินตรงไปยังทางจงกรมที่พระอาจารย์แหวนรับบัญชาไปทำไว้

     จากนั้นท่านก็ขึ้นทางจงกรมพนมมือภาวนารำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย  เมื่อออกก้าวเดินท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ ก็หาได้กำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมบริกรรมพุทโธแต่อย่างใดไม่  หากท่านสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย คือ  อิติปิโส ฯลฯ  จนจบ  แล้วต่อด้วย  สวากขาโต ฯลฯ  แล้วต่อด้วย สุปฏิปันโน  ฯลฯ  อันเป็นบทสวดมนต์ธรรมดาที่เราสวดกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

     แต่เมื่อจบบทพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  แล้วท่านได้สวดต่อว่า...

     “อากาสัฏฐา  จะ  ภุมมัฏฐา  เทวา  นาคา  มหิทธิกา  ปุญญัง  โน  อนุโมทันตุ  รักขันตุ  โน  สะทา”  แล้วท่านก็ตั้งสัจจาธิษฐานด้วยเสียงอันดังว่า

     “ขอให้มหาเมฆอันใหญ่  จงตั้งขึ้นในทิศปัจจิม  ข้ามศีรษะของข้าพเจ้าไปยังทิศอุดร  แล้วยังฝนให้ตกลงมายังพื้นปฐพีอันแห้งแล้งนี้  เพื่อบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในปฐพี  จะได้ดื่มกิน  เพื่อยังพืชพันธุ์ธัญญาหารและมูลผลาหารทั้งหลายให้สมบูรณ์บริบูรณ์ในพื้นปฐพี  เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในน้ำ  มีน้ำแห้งกำลังจะตายให้รอดพ้นจากความตาย.....”

     จากนั้นท่านก็สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยขึ้นใหม่อีกรอบหนึ่งแล้วสวด  “อากาสัฏฐา....”  จนจบต่อด้วยการตั้งสัจจาธิษฐานด้วยบุญญาบารมีของท่าน  เป็นแต่เปลี่ยนทิศเรื่อยไปจนครบทิศทั้งสี่

     ท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ  เดินจงกรมและบริกรรมอย่างนี้ไปล่วงได้แล้ว  5  วัน  พอย่างเข้าสู่วันที่  6  ขณะที่องค์ท่านกำลังเดินจงกรมภาวนาอยู่  ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ  18.00  น. เศษ  ได้บังเกิดอัศจรรย์มีเสียงดังสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นมาจากทุกทิศทุกทาง  มีลมพัดกรรโชกมาอย่างรุนแรงหอบเอาใบไม้แห้งและฝุ่นคลีปลิวคลุ้งทั่วไปในอากาศ  บนท้องฟ้าปรากฏหมู่เมฆพยับปกคลุมให้อากาศมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว  เมฆดำทะมึนกระจายตัวล้อมไปทั่วบริเวณ  เสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วกระทั่งแผ่นดินสะเทือน  แสงฟ้าแล่บแปลบปลาบปรากฏอยู่ไม่ขาดระยะจนสว่างไปทั่วนครเชียงใหม่

.jpg



     แล้วฝนก็เริ่มสาดเม็ดโปรยปรายลงสู่แผ่นดินอย่างรุนแรงชนิดที่เรียกว่าใบไม้โงหัวไม่ขึ้น  เสียงของสายฝนที่ตกกระหน่ำในวันนั้นหลวงปู่แหวนเล่าว่าดังราวกับรถไฟโบกี้ยาวที่วิ่งไปตามรางด้วยความรวดเร็ว

     ฝนได้ตกหนักอย่างนี้อยู่ตลอดเวลามิได้หยุดเลยนับตั้งแต่เวลาหกโมงเย็นเศษของวันวาน   จวบจนรุ่งเช้าจึงค่อย ๆ ซาลงและขาดเม็ด  

     ปรากฏว่าน้ำฝนจากภูสูงที่อยู่ล้อมเป็นปราการทั่วเมืองเชียงใหม่ได้ไหลหลั่งลงมาจากทุกทิศทุกทางท่วมตัวเมืองเชียงใหม่จนหมด  เฉพาะภายในวัดเจดีย์หลวงเองน้ำทะลักท่วมสูงเกือบถึงโคนขา  ทำให้พระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตไม่ได้  ศรัทธาญาติโยมต้องลุยน้ำหาบ-เทิน  นำภัตตาหารเข้ามาส่งถึงภายในวัด

     และในวันเดียวกันนี้  ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น  ภูริทัตโต  ผู้ซึ่ง  ‘เฝ้าดู’  อาจารย์ของท่านกระทำอริยวิธีเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกอยู่ตั้งแต่หกวันก่อนแล้ว  ก็ได้พูดกับท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ  ผู้เป็นอาจารย์ว่า...

     “เมื่อคืนนี้กระผมนั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิ  กระผมกำหนดดูไปทางบริเวณดอยสุเทพก็ดี  บริเวณดอยบวกห้าก็ดี  เห็นมีพญานาคจำนวนล้านจำนวนโกฏิมิใช่จำนวนแสนจำนวนหมื่น  พากันพ่นน้ำอยู่เต็มดอยทั้งสองจนหาที่ว่างไม่ได้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน...”

          นี่คือความอัศจรรย์ !!

     อัศจรรย์ใจจากพระมหาเถระนาม  พระอุบาลีคุณูปมาจารย์  (จันทร์  สิริจันโท)  ผู้ทรงอรรถทรงธรรมและทรงคุณวิเศษอย่างยากจะหาผู้ใดเทียบได้  ท่านแตกฉานทั้งปริยัติและปฏิบัติมิได้หนักเอาเพียงข้างใดข้างหนึ่งจนเอียง  ทรงไว้ซึ่งภูมิรู้โดยที่ไม่ต้องอวดแต่สามารถนำออกเมื่อถึงคราวอันควร

     อัศจรรย์ใจกับบุญบารมีขององค์ท่านที่ไม่ต้องใช้เวทย์มนต์คาถาใด ๆ เสกเป่า  ไม่ต้องตั้งขันครูหัวหมูบายศรี  หรือ ประกอบพิธีแห่นางแมว  หากท่านสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยแล้วอ้างเอาบุญบารมีขององค์ท่านเองเป็นที่ตั้ง  ดังความว่า...

     “อากาสัฏฐา  จะ  ภุมมัฏฐา  เทวา  นาคา  มหิทธิกา  ปุญญัง  โน  อนุโมทันตุ  รักขันตุ  โน  สะทา”

หมายความว่า  ข้าแต่ภุมมเทวดา  แล  อากาศเทวดา ทั้งหลาย  เทพ  แล  หมู่นาค  ผู้ทรงมหาอิทธิฤทธิ์  ขอจงได้พากันอนุโมนาซึ่งบุญที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้กระทำ  แล้วจงช่วยกันพิทักษ์รักษาพวกข้าพเจ้าด้วย...

     ดังนั้น  หมู่เทพและนาคที่แห่แหนกันมาดลบันดาลเมฆ  ลม  และฝน ให้ตกอย่างหนักนั้น  จึงมิได้มาด้วยถูกบังคับจากเวทย์มนต์คาถา   มิได้มาเพราะต้องการเครื่องเซ่นสรวงบูชา  หากมาเพราะประสงค์จะ  ‘อนุโมทนา’  ซึ่งบุญของพระอริยเจ้าเหล่านั้น  และเพื่อ  ‘บูชา’  ซึ่งพระอริยเจ้าเช่นท่านเจ้าคุณอุบาลี ฯ    ก็เมื่อ  ‘พระอรหันต์’  ร้องขอ  มีหรือทวยเทพจะไม่ยินดียิ่งต่อการทำถวายเพราะหวังบุณย์อันไพบูลย์

     นี่คือเหตุการณ์หนึ่งที่อาจพิสูจน์ได้ด้วยตาและด้วยใจของคนผู้ร่วมเหตุการณ์หรือมีความศรัทธาเป็นฐานอยู่แล้วให้หนักแน่นเข้าว่า  ‘นาค’  สามารถควบคุมน้ำได้ตามใจปรารถนา  หากเพียงน้ำและฝนส่วนใหญ่นั้นหมู่นาคก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเอง  แต่เมื่อต้องการจะควบคุม  ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินทำ

     หลวงปู่คำพัน  โฆสปัญโญ  วัดธาตุมหาชัย  เคยบอกว่า  “นาคมีสามธาตุ  โดยมีธาตุน้ำเป็นหลัก”  น้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นของนาค  เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง  เป็นที่อยู่อาศัย  หลวงปู่ชอบ  ฐานสโม ถึงปรารภว่า  “ที่ใดมีแหล่งน้ำธรรมชาติ  ที่นั่นก็มีนาค”

     ครั้งที่ประเทศจีนประกาศจะระเบิดเกาะแก่งแหล่งหินในลำน้ำโขงตลอดสาย  เพื่อเบิกทางให้น้ำลึกมากที่สุดเท่าที่จะทำได้  เพราะต้องการเป็นเจ้าเป็นใหญ่ในทางเศรษฐกิจด้วยการนำเรือเดินสมุทรวิ่งขึ้นล่องไปตามแม่น้ำโขงโดยไม่ต้องอ้อมเวียตนาม  กัมพูชา

          ระเบิดเกาะแก่งในแม่น้ำโขง

     คิดได้อย่างไร ?   แม่น้ำโขงนั้นถือได้ว่าเป็น  ‘มหานทีแห่งชีวิต’  เพราะเป็นแม่น้ำนานาชาติ  ทุกประเทศที่อยู่ติดลำน้ำมิได้อาศัยแม่น้ำโขงเพียงเพื่อสัญจรไปมา  หากยังใช้ชีวิตพึ่งพิงอิงอยู่กับน้ำ  ทั้งอาบ  ดื่ม  ซัก  ล้าง  และหาอยู่หากิน  คือทอดแห  ตกปลา  แม้กระทั่งเลี้ยงปลาในกระชังก็ทำ

     ปลาบึก  ปลาเนื้ออ่อน  ปลาตะโกก  ฯลฯ  ปลาต่าง ๆ สัตว์น้ำต่าง ๆ ในแม่น้ำโขงได้อาศัยเกาะ  แก่งแอ่งหินต่าง ๆ เป็นที่หลบภัยและวางไข่  ทำให้ระบบนิเวศน์และชีวิตในลำน้ำโขงยังปรากฏอยู่ตามธรรมชาติตราบจนทุกวันนี้

          แต่จีนอยากระเบิดทิ้ง !!

     เพียงเพื่อสนองความอยากใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ  อยากเป็นผู้นำแห่งเอเซียทั้งด้านการทหารและการค้า  โดยลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้น  ไม่เว้นแม้กระทั่งมารยาทและคุณธรรม

     จีนบอกกับทุกประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่านว่าให้ร่วมมือกันระเบิดเกาะแก่งเพื่อล่องเรือใหญ่  เมื่อหลายประเทศพากันคัดค้านไม่เห็นด้วยจีนก็ออกไม้ตายว่าถ้าไม่ยอมตามก็จะทุ่มงบประมาณขุดแม่น้ำสายใหม่ขึ้นมาในจีนให้ไหลไปออกอีกทางนัยว่าเซี่ยงไฮ้  แล้วจะทำการสร้างเขื่อนใหญ่กั้นแม่น้ำโขงไว้ให้ไหลไปตามทางสายใหม่ไม่ไหลมาทางเดิม  

     และจีนก็นำร่องด้วยการระเบิดเกาะแก่งแหล่งหินดอนในแม่น้ำโขงไปหลายจุดแล้วในส่วนที่ไหลอยู่ในเขตประเทศจีน  เป็นเหตุให้เกิดดินโคลนและตะกอนพัดพากันมาทับถมอยู่ตามแนวตลิ่ง  และหาดทราย  ตลอดทางที่แม่น้ำไหลนับจากใต้ตำแหน่งที่ระเบิดลงมา  คนที่มีพื้นเพอยู่ตามแนวแม่น้ำโขงต่างพบกับปัญหานี้กันถ้วนหน้า

          นี่คือจีน

     แม่น้ำโขงที่มีมาเป็นพันเป็นหมื่นปีก่อนคนที่คิดอย่างนี้จะเกิด  ต้องมาจบลงด้วยวิธีการอย่างนี้ล่ะหรือ ?  หลายคำถามประดังใส่ผมจากคนที่คุ้นเคย

     ผมตอบไปตามความ  ‘งมงาย’  ส่วนตัวทันทีว่า  ไม่มีทางหรอก  ผมเชื่อโดยส่วนตัวของผมเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ ว่าในแม่น้ำโขง  เป็นที่อาศัยของหมู่นาค  เป็นทางออก ทางเข้า  ทางขึ้นลงที่ใหญ่ที่สุดแล้วในโลกของปวงนาค  เขาหรือจะยอมให้จีนประเทศมหาอำนาจแบบโลก ๆ แต่ไม่ใช่มหาอำนาจแบบธรรมชาติอย่างที่พวกเขาเป็นมาทำลาย

     ผมพูดกันตั้งสองปีมาแล้วว่าถ้าจีนยังดันทุรังจะทำอย่างที่บอก  รับรองได้ว่าจีนจะได้พบกับความ  ‘วิบัติ’  อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน  เพราะนาคไม่ใช่จะควบคุมได้เพียงแค่น้ำ  แต่ถ้าจำต้อง  ‘บังคับ’  ธาตุทั้งสี่เขาก็ทำได้เช่นกัน

          แล้วไม่นานจีนก็น้ำท่วมหนัก...
          แล้วก็แผ่นดินไหวอย่างหนัก...!!


     ราวสองสามปีก่อนผมได้คุยกับอาจารย์เวทย์  อาจารย์บอกว่าพวกนาคโกรธมากที่คนทำให้แหล่งน้ำธรรมชาติสกปรก  ไม่ว่าจะทิ้งขยะ  ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงไปมากมาย  ซ้ำคนบนโลกส่วนมากก็ไม่มีศีลธรรมกัน  ไม่เชื่อบุญเชื่อบาป  หนำซ้ำพวกเขาลอยประทีบบูชาคุณพระพุทธเจ้าก็พากันหาว่าเป็นธรรมชาติสร้างบ้าง   คนสร้างขึ้นมาบ้าง  เพราะพญานาคไม่มีอยู่จริง  เป็นเรื่องแต่ง  สรุปคือไม่เชื่อ  ไม่นับถือนาค  แล้วเขาก็บอกกับอาจารย์เวทย์ว่า  ให้เตรียมตัวให้ดี  

          “มนุษย์ทำให้พวกเราเดือดร้อน  คราวนี้เราจะทำให้มนุษย์เดือดร้อนบ้าง”

     ด้วยคำปฏิญาณที่น่ากลัวเช่นนี้   อาจารย์เวทย์จึงถามถึงหนทางที่จะพอบรรเทาได้  นาคบอกว่าหากเป็นคนดีมีศีลมีธรรม  ก็จะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัย  นอกนั้นตายหมด  และยังบอกอีกว่าถ้านับถือพวกเรา  เราก็จะช่วยให้รอด  ใครที่มีสิ่งอันเป็นเครื่องระลึกถึงเรา  เราก็จะขึ้นมาช่วย

     ดังนั้น  อาจารย์เวทย์จึงหารือกับครูอำพล  เจน  จนได้เกิด  ‘พญานาคาธิบดี’  ขึ้นมาทั้งสองรุ่น  และรุ่นที่  3  กำลังจะออกให้บูชาในเร็ววันนี้

     ผมคุยกับครูอำพลถึงเรื่องน้ำท่วมหนักอย่างไม่เคยมีมาก่อน  บ้านที่ไม่เคยท่วมก็ยังท่วม  หนักขึ้นเรื่อย ๆ หนักขึ้นทุกปี  และกระจายตัวไปทั่วโลกอย่างน่าประหลาด  เกิดขึ้นทุกทวีป  ทุกประเทศ      แม้ประเทศที่อยู่บนแผ่นดินสูงหรือที่ราบเชิงเขาอย่างสวิสเซอร์แลนด์ก็ยังมีน้ำท่วมหนักจนเสียหายไปหลายล้านได้แบบไม่น่าเชื่อ  ครูอำพลพูดสั้น ๆ  ว่า

          “นี่แค่หนังตัวอย่าง  หนังจริงยังไม่ฉาย…!!”

     ผมก็อ้าปากค้างไปเท่านั้น  และครูยังย้ำอีกว่า  “ต่อเอ๋ย  ถ้ามีปฐวีธาตุก็ให้นำมาใส่  ถ้ามีพญานาคาธิบดีอยู่แล้วจะรุ่นไหนก็ให้เอามาใส่  เรารักใครชอบใครเป็นห่วงใครก็หาให้เขาใส่  ส่วนใครที่จะไม่เชื่อก็เป็นกรรมของเขา  ให้เจ้าใส่ไว้  ให้นับถือบูชาไว้  แล้วจะได้รู้”

     ปกติครูอำพลจะไม่ค่อยพูดถึงการใส่วัตถุมงคลในเชิงแนะนำหรือบังคับ  มักปล่อยให้เป็นไปตามอัธยาศัยของหมู่พวก   แต่สำหรับเรื่องนี้ดูท่าครูอำพลท่านจะมี  ‘ข้อมูล’  ดี ๆ เชิงลึกที่คนอื่นยังไม่รู้ซ่อนเร้นอยู่ในใจอีกมาก   ทว่าเล่าไปคงไม่สะดวกจึงใช้วิธีพูดเชิงแนะนำว่าให้ใส่ไว้  ให้บูชาไว้

          เพราะเขาสร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้โดยเฉพาะ

     หากใครเป็นผู้ที่สนใจในเรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และครูบาอาจารย์ผู้วิเศษคงเคยได้ยินชื่อเสียงกิตติคุณของท่านผู้นี้แม้จะไม่เคยเห็นตัว

          หลวงปู่สรวง

sung1_res.jpg



     ท่านจะเป็นใครและเป็นอะไรกันแน่ทุกวันนี้ก็ยังหาคนรู้ชัดได้ยาก  แต่ที่เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือความอัศจรรย์ที่ท่านทำ  เป็นอัศจรรย์ที่เมื่อเผยแพร่ออกไปก็กลายเป็น  ‘นวนิยาย’  หรือ  ‘หนังอินเดีย’  ไปทันที  เพราะมีความมันส์อยู่ในเนื้อเรื่องเหมือนได้เห็นตัวละครเหาะเหินเดินอากาศ

     เดินตากฝนไม่เปียก  นั่งอยู่ใต้น้ำได้หลายชั่วโมงโดยไม่มีอุปกรณ์ดำน้ำและไม่ตาย  ปรากฏตัวได้ในเวลาเดียวกันถึงสามแห่ง  กระทืบแผ่นดินทีเดียวตัวเลขดัชนีดาวน์โจนส์ในสหรัฐก็เลื่อนไปตรงกับตัวเลขที่บอกชาวบ้านว่าจะเป็นหวย  เอามือคลึงท๊อฟฟี่ให้คนขับรถที่ง่วงจนเหลือทนอมแล้วหายง่วงขับรถได้อีกนับสิบชั่วโมง  เอามือไปลูบหน้าอกผู้หญิงที่เป็นมะเร็งระยะที่สามแค่นั้นก็หายขาดไม่ต้องผ่าตัดรักษาใด ๆ   ศิษย์บ่นยากกินต้มปลาก็เอามือล้วงลงในย่ามหยิบเอาปลาดุกปลาช่อนสด ๆ ออกมาหลายตัวให้ไปต้มกิน  จะไปไหนขึ้นรถแล้วชี้นิ้วบอกทางอย่างเดียวทั้งที่ท่านไม่เคยไปคนขับรถก็ไม่เคยไปแต่ก็ไม่เคยหลงไม่เคยพลาดไปมาแล้วทั่วประเทศไทย  ฯลฯ

     สิ่งเหล่านี้คือ  ‘ปาฏิหาริย์’  เพียงส่วนหนึ่งในหลายร้อยเรื่องที่หลวงปู่สรวงบันดาลให้เกิด  คนที่ใกล้ชิดพบเห็นกันอยู่เป็นประจำจนเกิดศรัทธาอย่างไม่คลอนแคลน  หากคนไกลกลับมองเป็นสิ่งงมงายและสร้างขึ้นเพื่อลวง  ส่วนจะลวงกันเพื่อเหตุผลอะไรก็คิดค้นกันได้ตามอัตภาพ

     จากการที่คุณอาสุธน  ศรีหิรัญ  ได้ตามเก็บข้อมูลเรื่องราวของหลวงปู่สรวงเพื่อนำมาเผยแพร่  ได้ไปพบกับพระเถระรูปหนึ่งซึ่งเคยเจอหลวงปู่สรวงและมีข้อมูลบางอย่างที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก  จึงขออนุญาตนำความนั้นมาบอกเล่าเพื่อให้พวกเราได้พิจารณากัน

     ท่านพระครูจันทธรรมานุโยค  (ลมัย  จันทโร)  อายุ  80  ปี  เจ้าอาวาสวัดโคกตาเขียว  อ.สังขะ  จ.สุรินทร์ เป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่หลวงปู่สรวงเดินทางมาพบโดยที่ท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  เมื่อมาถึงแล้วหลวงปู่ก็ได้กระทำกฤษดาภินิหารให้ท่านพระครูได้เห็นหลายอย่างเป็นที่น่าอัศจรรย์  เช่น  ตีฆ้องใหญ่ด้วยไม้นวมจนปุ่มตียุบเข้าไป  เรียกเงินธนบัตรและเหรียญให้หล่นลงมาจาก  ‘อากาศ’  แล้วมอบให้ท่านพระครูเก็บไว้สร้างวัด  ฯลฯ  

     อภินิหารเหล่านี้ท่านแสดงให้ท่านพระครูได้พบเห็นเพื่อเป็นการปลูกศรัทธา  หลวงปู่สรวงมาหาท่านพระครูนับได้ทั้งสิ้นราว  7  ครั้ง  ครั้งที่  6  เป็นสิ่งที่มาสัมพันธ์กับเรื่องราวของพวกเรา  กล่าวคือหลวงปู่สรวงได้พูดกับท่านพระครูลมัยเป็นภาษาเขมรราวกับคำสั่งเสียมีใจความว่า

     “ในปีพ.ศ. 2550  ถึง  พ.ศ. 2555  หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว  กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก  จะเกิดน้ำท่วมโลกใหญ่  คนไม่ดีไม่มีศีลธรรมจะตายไปมาก  ส่วนคนดีคนมีศีลธรรมจะอยู่รอดปลอดภัยได้  

     ปี 2555 นะ  คนที่ว่าเก่งอยู่ในเมืองไทยจะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่มุมไหนของประเทศก็แล้วแต่  พ่อแม่ญาติพี่น้องไม่ต้องสู้นะ  จะตายหมด  น้ำทะเลตีข้างล่างได้ครึ่งโลกแล้ว  ไม่ใช่ครึ่งประเทศนะ  ครึ่งโลกแล้ว  มาบอกให้หยุดทะเลาะกันนะ  ไม่ต้องอยากชนะกันให้ออกไป  อย่ามีเวรมีกรรมต่อกันเลย     

     แล้วพวกที่ทำลายชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์นี่นะ  ไปก่อน  นางนาคเป่าน้ำทะเลเต็มหมด  มันจะไปแต่พวกนี้  ประมาณสองชั่วโมงกว่า ๆ น้ำก็ตีเข้ามาท่วมภูเขา  มีทั้งขี้ดินขี้โคลนเข้ามา  พวกทำไม่ดีตายหมด  

     เทวดาตัดสินเอง  เจ้ากรรมนายเวรตัดสินเอง  ไม่ต้องกลัวเลย 2555 นางนาคเป่าน้ำท่วมทั้งน้ำทั้งดินตายวอด  คนที่ไม่ดีตายหมด  คนดีไม่ตาย  คนดีมันเป็นเอง  ไม่ตาย  จะรอด  คอยดูเถอะ  นางนาคจะกลับเอาน้ำขึ้นข้างบนสามวันสามคืน  มีลูกเห็บ  ถูกใครตายระเนระนาดนะ  ถ้าคนมีศีลห้าไม่ถูก  เพราะเราไม่ได้กบฎพระเจ้าอยู่หัวนะ  คนที่กบฏ  คนที่อยากชนะผืนแผ่นดินตายแน่”


     หลวงพ่อลมัยนั้นมีความเชื่อในหลวงปู่สรวงเป็นทุนอยู่แล้ว  เมื่อท่านพูดขนาดนี้จึงมีความตระหนกอยู่มิใช่น้อย  ได้บอกกับหลวงปู่สรวงว่า  

     “ถ้าน้ำท่วมมากขนาดนั้น  อย่าว่าแต่คนไม่ดีไม่มีศีลธรรมเลย  แม้คนดีก็คงจะไม่รอดเหมือนกัน  จะทำอย่างไรได้  พอมีหนทางช่วยเหลือไหม”

     หลวงปู่สรวงนิ่งอยู่อึดใจจึงบอก  ‘คาถา’  เพื่อเป่าน้ำไม่ให้ท่วมตัวมีใจความที่ออกเสียงตามภาษาเขมรจริง ๆ ว่า

          “อ้ม  เกร๊อะ  เกร๊อะ  เกร๊อะ  เตียงตึ๊ก  เกร๊อะ  ตึงได  อ้มสติสวาหะ”

     เมื่อผมรับทราบถึงคาถานี้ก็ได้โทรศัพท์ทางไกลหาครูอำพล   เจน ทันที  แล้วลงมือเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง  ปรากฏว่าครูค่อนไปทางเชื่ออยู่มาก  เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกับครูเป็นตำรวจอยู่ที่อุบล ฯ  หลวงปู่สรวงได้เดินทางมาหาถึงโรงพักโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแล้วบอกว่านายตำรวจคนนี้เคยเป็นลูกของท่านเมื่อในอดีต  จึงเดินทางมาเพื่อเยี่ยมเยียน

     แล้วได้แสดงอภินิหารหลายอย่างหลายประการจนเป็นที่น่าอัศจรรย์และเป็นที่น่าปวดหัวแก่ตำรวจทั้งสถานี  อาทิ ถามเขาว่าขังคนพวกนี้ไว้ทำไมน่าสงสาร  เมื่อตอบท่านว่าเขาทำผิดกฎหมาย  ท่านฟังแล้วก็นิ่งอยู่  แผลบเดียวท่านไปเป่ากุญแจเขาหลุดออกหมดปล่อยผู้ต้องหาออกมาเดินเฉย  อย่างนี้เป็นต้น

     เมื่อผมเล่าเรื่องคาถานี้ให้ครูอำพลฟังท่านก็รีบต่อสายไปถึงเพื่อนสนิทที่มีเชื้อสาย  ‘เขมร’  จริง ๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ  เพื่อนก็บอกว่าคาถาที่พูดมาในทีแรกนั้นในภาษาเขมรแล้วไม่มีเหตุเพราะออกเสียงผิด  ที่ถูกควรต้องออกเสียงอย่างนี้จึงถูกต้อง  แล้วก็พูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำให้ฟัง  ซึ่งทุกคำที่ถูกต้องผมก็ได้นำมาลงไว้แล้วดังบรรทัดบน  พร้อมกับแปลเป็นภาษาไทยให้ฟังว่า

     “อ้ม  แปลว่า  ลุง  เกร๊อะ  แปลว่า  ดื่ม  ซึ่งโดยมากมักหมายถึงการดื่มสุราเป็นหลัก  เตียง คือ บึงน้ำ  บ่อน้ำใหญ่  ตึ๊ก หมายถึง น้ำ แหล่งน้ำ  ตึงได  หมายถึง  แขนขา ในที่นี้แปลว่า สาขาที่แตกย่อยออกไปของแม่น้ำลำคลองลำธารต่าง ๆ  สติ  ก็คือสติ  สวาหะ  เป็นคำคาถา  ดังนั้นโดยรวมจึงหมายความว่า  คุณลุงดื่มน้ำ  แล้วก็ดื่ม ดื่ม  ดื่ม  ได้อย่างกับบึงบ่อที่ไม่รู้จักอิ่มน้ำ  เหมือนมีสาขาย่อยแยกน้ำออกไปไม่รู้จักเต็ม  แต่ถึงดื่มขนาดนั้นก็ยังมีสติ”

          มองไม่เห็นว่าจะศักดิ์สิทธิ์ตรงไหน
          แต่เชื่อเถิดว่า  ‘ศักดิ์สิทธิ์’  จริง  

     เพราะที่บ้านน้อยผมนั้นน้ำท่วมได้ท่วมดีทุกปีจริง ๆ  แฟนหนังสือศักดิ์สิทธิ์หลายท่านที่เคยเข้าไปหาผมถึงบ้านในหน้าน้ำ  ได้เคยมีประสบการณ์ร่วมกันมาแล้วว่า  น้ำท่วมบ้านผมมันน่าสงสารขนาดไหน  มันท่วมหนักมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538  ไม่มีปีไหนที่น้ำจะไม่ท่วมท้นล้นเข้ามาจนถึงห้องนอนเลยแม้สักปีเดียว

     แต่นับจากวันที่ได้รู้จักกับคาถานี้แล้วทดลอง  ‘เป่า’  ด้วยตัวเองตามมีตามเกิด  เชื่อเถิดครับสามปีติดกันแล้วน้ำไม่เคยท่วมบ้านผมอีกเลย  ทำให้ผมต้องขวนขวายหาพระของหลวงปู่สรวงมาแขวนติดตัว

          ผมเชื่อของผมเองไม่ได้คิดเชิญชวนใคร

     เพราะโดยสภาพของหลวงปู่สรวงนั้นย่อมเป็นการยากที่จะชักชวนใครให้ศรัทธา  นอกจากว่าเขาคนนั้นจะคิดเห็นสิ่งพิเศษที่อยู่ในตัวท่านด้วยตัวเขาเอง

     และจากเรื่องราวที่ท่านพระครูลมัยได้เล่าให้ฟัง ย่อมเห็นประจักษ์ชัดว่าหลวงปู่สรวงก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่หยั่งรู้เรื่องราวลี้ลับของโลกที่มองไม่เห็นอย่างพวกพญานาค

          ท่านรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่...
          ท่านรู้ว่าเขากำลังคิดทำอะไรกับคนบนโลก...


     ท่านเห็นแก่ประชาชนตาดำ ๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่ได้บ้าอำนาจ ไม่ได้ทำให้แหล่งน้ำสกปรก ไม่ได้คิดคดทรยศต่อแผ่นดินเกิดและพระมหากษัตริย์ว่าต้องมารับเคราะห์ร่วมชะตากรรม

     ท่านจึงเมตตาบอกเล่าเรื่องราวลึกลับซึ่งคนทั่วไปยังไม่รู้ไม่เห็น ให้ได้ระวังตัวกัน บอกถึงวิธีการป้องกันว่าต้องทำอย่างไรจึงจะอยู่รอดปลอดภัยได้

     สิ่งที่พญานาคเสนนาคราชพูดกับคุณหงส์ สิ่งที่พญานาคพูดกับอาจารย์เวทย์ และสิ่งที่หลวงปู่สรวงนำมาบอกพวกเราโดยผ่านท่านพระครูลมัย ล้วนต่างกรรมต่างวาระ หากตรงกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ จะจริงหรือไม่อยู่ที่ใจของทุกท่านกับรอวันที่จะเกิดแล้วครับ

     ณ  วันนี้แม้เราจะไม่เชื่อในหนทางอย่างที่ลี้ลับ  แต่กลับอยากเชื่อในสิ่งอันเป็นวิทยาศาสตร์ก็มิได้แปลว่าจะเสียหายแต่อย่างใด  เพราะเมื่อเชื่อแล้วก็ควรเอาใจใส่ต่อโลกและสภาพแวดล้อมให้จงดี  สิ่งใดที่ผู้รู้แนะนำว่าจะเป็นการช่วยโลก  รักษาโลกก็ให้พากันเร่งทำ  เพราะรักษาโลก  ก็คือรักษาเรา

     แต่สำหรับผู้มีใจโน้มไปทางสิ่งลึกลับ  มีความเชื่อเป็นล้นพ้นอยู่ในใจ  ก็ควรรักษาโลกด้วยวิธีการอันเป็นวิทยาศาสตร์และเป็นรูปธรรมดังที่เขารณรงค์ให้ทำกัน  แต่อีกทางหนึ่งนั้นก็แสวงหา  ‘สิ่งพิเศษ’  ที่ศรัทธาว่าอาจช่วยได้เมื่อภัยมี  ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถของพวกเราดอกครับ  หากว่าศรัทธาจริง

     ขออวยพรให้ปลอดภัยทั่วกัน.


naka2_res.jpg


nakn3_res.jpg



_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 02 ต.ค. 2008 4:54 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
ทำไงดี ทำไงดี

รุ่นหนึ่งก็มีน้อย รุ่นสองก็มีน้อย รุ่นสามก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง

โอ้ย กลุ้มใจ

ชีวิตอันแสนลำเค็ญของเด็กลึกลับ

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 02 ต.ค. 2008 5:09 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 5:09 pm
โพสต์: 1368
อยากเรียนถามเพื่อขยายความกับอาจารย์รณธรรมเพิ่มเติมครับว่า ผมเชื่อในเรื่องนี้และผมศรัทธาในองค์หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ด้วยคติความเชื่อเดียวกันนี้ ผมสามารถใช้รูปหล่อบูชาหรือห้อยคอองค์หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ได้ช่นเดียวกับเครื่องรางรูปพญานาค หรือพญานาคาธิบดีได้หรือไม่


แนบไฟล์:
01.jpg

ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 02 ต.ค. 2008 5:13 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
เอ่อ...ที่บ่นมานั่นมันน่าเห็นใจตรงไหนครับนี่ ?? :roll:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 02 ต.ค. 2008 5:14 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
จิ้งจก เขียน:
อยากเรียนถามเพื่อขยายความกับอาจารย์รณธรรมเพิ่มเติมครับว่า ผมเชื่อในเรื่องนี้และผมศรัทธาในองค์หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ ด้วยคติความเชื่อเดียวกันนี้ ผมสามารถใช้รูปหล่อบูชาหรือห้อยคอองค์หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ได้ช่นเดียวกับเครื่องรางรูปพญานาค หรือพญานาคาธิบดีได้หรือไม่



ถ้าเป็นเรื่อง "หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์" ของอาจารย์สอ ต้องโทรคุยกันเป็นส่วนตัวครับ

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 02 ต.ค. 2008 5:18 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 5:09 pm
โพสต์: 1368
ครับผมไว้จะโทรไปกวนครับอาจารย์รณธรรม
---------------------------------
ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 02 ต.ค. 2008 5:52 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 16 ก.ย. 2008 11:16 am
โพสต์: 94
เด็กลึกลับ เขียน:
ทำไงดี ทำไงดี

รุ่นหนึ่งก็มีน้อย รุ่นสองก็มีน้อย รุ่นสามก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง

โอ้ย กลุ้มใจ

ชีวิตอันแสนลำเค็ญของเด็กลึกลับ



รณธรรม ธาราพันธุ์ เขียน:
เอ่อ...ที่บ่นมานั่นมันน่าเห็นใจตรงไหนครับนี่ ?? :roll:


อาจารย์รณธรรมครับ ผมว่าที่คุณเด็กลึกลับกลุ้มใจ อาจเป็นเพราะมีไม่พอแบ่งให้ใครอื่นแน่เลย

ผมว่าก็น่าเห็นใจอยู่นะ ถ้าเขามีเยอะ ผมจะได้ขอแบ่งบ้างสักองค์ก็ยังดี :) :) :)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 03 ต.ค. 2008 1:54 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
:o
เออ ท่านพี่รณ นอกจาก "ของ" ที่น่าสนใจแล้ว
รูปภาพยังได้ใจอีกด้วย แหมฟ้าผ่าแบบหวานแหวว
:lol: :lol:

:P
ยอดเยี่ยมครับท่านรณธรรม คุ้มกับการรออ่านจริงๆ
นับถือ นับถือ...
เออ..ขอปิดทองหน่อยจิ :lol: :lol:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 03 ต.ค. 2008 1:56 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ล้างแข้งรอแล้วครับ... :lol: :lol:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 03 ต.ค. 2008 2:04 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
เออ..ขอประชาสัมพันธ์ให้พ่อแม่พี่น้องทราบหน่อยครับ

ท่านใดที่เคยบนปิดทอง อาจารย์รณธรรม
ขอเชิญนะครับ ทราบมาว่าท่าน "ล้างแข้ง" รอ
อย่าแย่งกันนะครับ งานนี้รับรองว่าได้ปิดครบทุกคน
:lol: :lol:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 03 ต.ค. 2008 2:06 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
:lol: :lol:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 03 ต.ค. 2008 12:23 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
รับประกันไหมฮะ ว่าตอนปิดทองแล้ว แข้งจะไม่สะบัด

คริ คริ คริ

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 03 ต.ค. 2008 2:57 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 1:41 pm
โพสต์: 215
ยอดเยี่ยมจริงๆอาจารย์เรา อ่านบทความไหนก็สุดยอด ต้อง save ด่วน :mrgreen:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 03 ต.ค. 2008 4:01 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
เด็กลึกลับ เขียน:
รับประกันไหมฮะ ว่าตอนปิดทองแล้ว แข้งจะไม่สะบัด

คริ คริ คริ



ก้อปิดเบา ๆ สิครับ :lol: :lol:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 03 ต.ค. 2008 5:05 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
เออ..คุณ jojo ครับ
จะไม่แวะปิดทอง สักหน่อยเหรอครับ
ไหนๆ ก็เข้ามาแล้ว :lol:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 03 ต.ค. 2008 7:09 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
7C01_b.gif



เป็นอีกปีที่อยากไปชมบั้งไฟพญานาค แต่ก็มิได้ไป

นอกจากแม่น้ำโขง แล้วยังมีคำชะโนดอีก ที่ยังเป็นสถานที่ลึกลับของเหล่านาค



ใครเคยไปมั่งฮะ

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 03 ต.ค. 2008 11:59 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
อ่านแล้วบอกได้สองคำ คำแรก "มันส์พะย่ะค่ะ"
คำที่สอง "เสียดายพะย่ะค่ะ" ที่เก็บไว้น้อยเหลือเกิน หาใหม่ราคาเช่าหาก็จับไม่ค่อยจะลง คงต้องแขวนรุ่นสองไปพลางก่อน แล้วต่อด้วยรุ่นสาม (หากแม้นมีวาสนา).........ส่วนเรื่องบั้งไฟพญานาคอยากไปมากกกกกกกกกกกกกก หลังจากได้ดูเรื่อง ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ แล้ว ไว้มีโอกาสปีไหนเหมาะ ๆ เราไปกันนะพ่อเด็กลึกลับ

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 04 ต.ค. 2008 1:49 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
อยากไปบอกได้เดี๋ยวเฮียจัดให้
แล้วจะได้รู้จัก.. "ด้วยฤทธิ์แห่งกวง"

:lol: :lol:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 04 ต.ค. 2008 1:50 am 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
ถามจริงพี่...........สน สน สน อยาก อยาก อยาก

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ด้วยฤทธิ์แห่งนาค
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 04 ต.ค. 2008 2:00 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
ถามใจตัวเองก่อนดีกว่ามั้ง..
:lol: :lol:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 103 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO