นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 27 เม.ย. 2024 5:14 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 30 ก.ย. 2008 1:22 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 10:40 am
โพสต์: 369
เรื่องที่จะนำมาถ่ายทอดต่อไปนี้ คัดลอกมาจากหนังสือ "เสียงจากถ้ำ (นารายณ์) ฉบับพิเศษ : บนเส้นทางพระโยคาวจร" เขียนโดย "สายฟ้า" หลวงตาวัชรชัย เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) จ.สระบุรี จัดจำหน่ายที่วัดเขาวงเพียงแห่งเดียว โดยจะขอตัดตอนมาบางส่วนเฉพาะเรื่องของหลวงปู่บุดดาครับ

หลวงปู่บุดดามีจริยาวาจาตรงๆ ง่ายๆ ใครก็ทราบกันอยู่แล้ว ที่สำคัญก็คือ เป็นพระสงฆ์ที่รักผ้าครอง 3 ผืน ยิ่งนัก จะเห็นว่า ท่านจะพาดสังฆาฏิติดตัวอยู่เสมอไม่เคยขาด อีกอย่างก็คือไม่จับเงินทอง ไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้ตัวเลย เรื่องสนุกมากๆ ก็เกิดตรงจุดนี้ คือ เมื่อเสร็จจากงานวัดแล้ว พ่อก็จัดรถนำลูกหลานไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ที่ อ.สรรคบุรี ไปกันหลายคันรถ ศาลารับแขกของหลวงปู่ที่สำนักนั้นแน่นไปหมด พ่อก็บอกว่า
"ลูกหลานเอ๊ย...ช่วยหลวงปู่สร้างศาลาใหม่นะลูก ช่วยกันคนละเล็กละน้อย"
โธ่เอ๋ย...ถ้าหลวงพ่อออกปากอย่างนี้ ซ้ำยังบอกว่า
"หลวงปู่บุดดาเป็นพระทองคำทั้งองค์นะลูกนะ ทำบุญกับท่านก็คือทำบุญกับพระอรหันต์นะ" จากคนละเล็กละน้อยก็รวมเป็นก้อนใหญ่มากๆ จำไม่ได้ว่าเท่าไร หลวงพ่อสั่งให้นับจำนวนเงินมัดรวมเข้าเป็นปึกสวยเชียว
"ถวายหลวงปู่เข้าไป เอ๊า...โมทนาพร้อมๆ กันลูกเอ๊ย..."
คนถือเงินน้อมถวายปุ๊บ หลวงปู่ก็คว้าย่ามมาแหวกปั๊บ แหวกกว้างเลยกะให้เงินหล่นใส่ย่ามไม่ถูกมือท่าน เท่านั้นแหละท่านผู้อ่าน พ่อเราก็คว้าเงินทั้งปึกมาถือไว้... แย่งเอาเสียเองเลย
"หลวงปู๊....." พ่อทำเสียงยาวเลย
"นี่...ถ้าจับเงินไม่ได้ก็ไม่ต้องเอานะ... นี่ถ้าพระใจเป็นแก้วทั้งใจอย่างหลวงปู่ยังคิดว่าไอ้แบงก์กับธาตุดินมันยังมีค่าต่างกัน...ถ้าธาตุดินนี้มันทำให้ใจหลวงปู่เสียหายได้ ก็ไม่ต้องเอาน๊ะ...."
เท่านั้นแหละหลวงปู่ผู้ไม่จับเงินมาตลอดชีวิต ก็มีอันเปลี่ยนไป ท่านคว้าเงินมาจากมือพ่อ
"เอาของเขาคืนมานะ..." จับ 2 มือแน่นชูขึ้นตรงหน้าเลย
"นี่..นี่..นี่ บุดดาจับเงินแล้วนะ จับเงินแล้วนะ"
จับยัดใส่ย่ามวางบนตัก ชนิดใครก็มาแย่งไปอีกไม่ได้ พวกเราหัวเราะกันลั่นเลย หัวเราะไปใจเป็นสุขที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นสุขเพราะอะไร... พ่อบอกอยู่เสมอว่า ใจพระทองคำแท้ (พระอรหันต์) ท่านไม่ติดอะไรทั้งโลก แม้ร่างกายตัวท่านเอง แต่ท่านอยู่กับร่างกายและโลก เกี่ยวพันบริหารงานโลกโดยใจไม่มีทุกข์โทษเวรภัยใดๆ มาทำให้มัวหมองแปดเปื้อนได้ เมื่อใจไม่ติดแน่นอนแล้ว จริยาทางกาย วาจา ก็ลดลงมาหากระแสโลกเพียงเพื่อสงเคราะห์ จะได้พูดกันแนะนำกันรู้เรื่องแบบธรรมดาโลกเขา แต่จริยาท่านอยู่ในสมณมารยาท ในวินัยประเพณี ไม่มีบกพร่องด่างพร้อย เมื่อพ่อกล้าทำอย่างนั้น พ่อก็กล้าชักชวนให้หลวงปู่องค์อื่นออกมาทำงานแทนคุณพระพุทธเจ้าก่อนที่ร่างกายจะสลายหายประโยชน์ไป พระคุณหลวงปู่บุดดาท่านเข้าใจ เต็มใจทำอยู่แล้ว เมื่อมีเพื่อนผู้รู้ใจมารับรองประคองเชิญ ท่านก็ก้าวออกมา... นับแต่นั้น ! หลวงปู่บุดดาก็จับเงินทองได้ ให้ญาติโยมผู้หญิงผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้าใกล้ตัวท่านได้ ด้วยประการะฉะนี้ (เอาเข้าให้..)"

ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนเชื่อพ่อ ศรัทธาพ่ออย่างสนิทใจในคำสอนของท่าน แต่ต้องมีส่วนหนึ่งที่เชื่อเจืออยาก คืออยากรู้ว่าฤทธิ์อภิญญาที่พ่อเขียนไว้นั้น...มันอะไรล่ะ...ผู้เขียนก็เป็นโรคคันหัวใจประเภทนั้น จึงได้ถามหลวงปู่บุดดาถึงเรื่องนี้ ตอนนั้นท่านอยู่วัดอาวุธ บางพลัดวันเวลาในปี2519 หรือ 2520 จำไม่ถนัด ท่านตอบชนิดไม่ยั้งคำพูดเลย
"จะไปสงสัยอะไรล่ะ จะไปสงสัยพระธรรมทำไมเล่า พระพุทธเจ้าบอกทำได้ ถ้าเราทำถึงมันก็ทำได้นะซี้"
ท่านเอามือชี้หน้าอกตัวเอง 2 ที
"อย่างนี้นะทำได้มานานแล้ว มันจะไปยากทำไม วันนั้นเดินบิณฑบาตรอยู่ที่ฝั่งพระนคร นึกถึงบ้านโยมที่ฝั่งธนก็ปั๊ปเดียว ไปยืนอยู่หน้าบ้านเลย..เอ๊ย...รับข้าวเขาเสร็จแล้วก็นึกอีกที เรากลับฝั่งพระนคร..."
ท่านเล่าไปตาใสแป๋วเลย ท่าทางประกอบนี่เห็นแล้ว ต้องเชื่อเลยว่าท่านทำได้จริง
"อีกทีนึงนะ...สมัยอยู่ธุดงค์นะ...เดินบิณฑบาตรอยู่ที่ลำพูนโน้น ได้ข้าวอาหารพอใจแล้วก็นึกจะหาที่นั่งฉันสบาย นึกปั๊ปก็ไปนั่งฉันอยู่ดอยสุเทพเชียงใหม่โน่นแน่ะ เออ...ฉันแล้วก็นึกปั๊ปเดียวมาลำพูน จะไปยากอาไร๊"
พูดลากยาวเสียงหนักแน่น ใจผู้เขียนนี่พลอยมั่นคงไปด้วยเลย
"จะฟังอีกทีไหมล่ะ วันนั้นไปเขาวงพระจันทร์โน่นลพบุรีโน่น เดือนแรม 15 ค่ำ นี่มันมืดมองทางขึ้นไม่เห็นหรอก เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้าว่านี้มันสว่าง..โอ๊ย...มันก็สว่างเหมือนพระจันทร์เพ็ญ 100 ดวงขึ้นพร้อมกัน ไปถึงยอดเขาวงพระจันทร์มองลงมาข้างล่างนี่..เทือกเขาพื้นดินมันเห็นชัดถึงต้นหญ้านี่ มันอยากมันสว่างมันก็สว่างนี่..ไม่เห็นยาก"
ก็เลยถามถึงพ่อ ถามแบบเจ้าเล่ห์แสนกลปนจิตทราม ท่านตอบอย่างไรทราบไหม ท่านหัวเราะก่อนแล้วเอามือลูบศีรษะท่านเอง มองหน้าผู้เขียนแบบ...คือมานึกออกตอนหลัง ว่าท่านมองแบบสมเพชด้วยแปลกใจด้วย
"เออ...ถามเข้ามาด๊าย!...องค์นั้นทำไม่ได้...แล้วจะมีใครทำได้น๊อ..."

พวกเรารุ่นโน้น คือที่ไปซอยสายลมทันช่วงเวลาปี 2516 - 2522 คงจะจำความรู้สึกร่วมสมัยได้ว่า เราก็มั่นใจในพ่อ... พอใจพระนิพพาน ทำตามพ่อสอนเต็มใจอิ่มใจ แต่ไม่วายสงสัยว่า "แล้วจะไปพระนิพพานได้จริงๆ หรือนี่.."
พี่อ๋อยก็เคยคุยกันถึงเรื่องนี้ พอพี่อ๋อยตายพ่อก็บอกว่า
"ท่านอ๋อยสบายแล้ว ไปนิพพานเสียแล้ว..."
พวกเรา (ก็ขออนุญาตเชิญท่านเจ้ากรมเสริม..พี่หนุ่ย..คุณหน่อย..คุณโหน่ง คุณหน่าและคุณหน่อง..ครอบครัวพี่อ๋อยเป็นต้นแถว ไม่รู้ว่าจะอนุญาตไหม) ทุกคนเชื่อพ่อ ยิ้มแย้มแจ่มใสที่พี่อ๋อยชนะแล้ว คงจะเป็นสุขกันแบบคนไม่สนใจในโลกไปชั่วขณะ จนญาติมิตรที่มากันในงานศพพากันบ่นว่า
" คุณเสริมนี่จะยังไงเสียแล้ว เมียตายไม่ทันเผาก็ยิ้มย่อง คงอยากมีเมียใหม่ซีนะ..."
แต่ทั้งๆ ที่เชื่ออย่างนี้แล้วก็แหม... อยากจะให้มัน... ให้มันยังไงก็นึกไม่ออก ก็พอดีหลวงปู่บุดดามาเยี่ยมศพพี่อ๋อย พ่อก็นั่งอยู่ด้วย "หลวงปู่พระมหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์" ก็นั่งอยู่พร้อม คนอื่นเป็นยังไงไม่รู้ แต่ผู้เขียนน่ะตาลุกหูผึ่งเชียวละ อยากให้หลวงปู่บุดดายืนยัน นี่...สารภาพกันตรงๆ ไม่กลัวใครด่าแล้ว พ่อคงจะทราบถึงไข้ประจำสันดานของผู้เขียนและของใครๆ ด้วย ท่านเลยถามหลวงปู่บุดดาตรงๆ
"นี่หลวงปู่... คุณอ๋อยนี่ตอนมีชีวิตอยู่ท่านมีคุณต่อพระศาสนามาก ใจท่านก็รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตอนตายแล้วนี่อ๋อยอยู่ที่ไหน..."
หลวงปู่หันขวับมาทางหลวงพ่อ ตาก็อย่างเดิมนั่นแหละ
จ้องเป๋งใสแป๋วเลย... แล้วชี้ไปบนอากาศพูดเสียงดังฟังชัด
"จาไปไหน... ก็เป็นพระอรหันต์ไปอยู่ในนิพพานนะเช้ ตัวใสแจ๋วเป็นแก้วอยู่นั่นน่ะไม่เห็นเร้อ..."
เฮกันเลย... ฮากันในงานศพต่อหน้าแขกเหรื่อนั่นแหละ หน้ายังงี้ยิ้มระรื่นกันไปหมด ลืมดูไปว่าตอนนั้นแขกเหรื่อที่ไม่ใช่ศิษย์พ่อเขาทำหน้าตากันยังไง


ปฏิปทามารยาทของหลวงปู่บุดดาในบั้นปลายที่เห็นกันอยู่นั้น ใครๆ ก็จะเห็นท่านเทแป้งฝุ่นใส่หัว ใส่มือโยมผู้หญิง เขาขอให้ท่านจับหัว ท่านก็จับเสกเป่าให้บ้าง โยมผู้หญิงเขาขอนวดเท้า ท่านก็ยื่นให้เขานวดบ้าง นี่เป็นกริยาอาการสงเคราะห์ผู้มีศรัทธา ตามวาะบุญบารมีของญาติโยมเท่านั้น... ใครทำอะไร มีความสุขใจก็ทำไปเถิด ร่างกายท่าน วัตถุที่ร่างกายท่านเกี่ยวข้องอยู่ ส่วนไหนชิ้นไหนที่ทำประชาชนเข้าถึงความสุข ความปลื้มใจได้ ท่านพร้อมสละออกไปหมดแล้ว ชีวิตหลวงปู่ยืนยาวครบ 100 ปี มานี้ เคยมีใครรู้ใครเห็นว่า ท่านเคยทำความเดือดร้อนให้ใครบ้าง ท่านเองนั่นแหละที่ได้มอบชีวิตร่างกายและเวลาทั้งหมดรับใช้ให้ผู้อื่นเป็นสุขใจสะดวกกายมาโดยตลอด เหน็ดเหนื่อยมาโดยตลอด
บัดนี้หลวงปู่ก็จากเราไปแล้ว... โอกาสที่เราจะเห็นสังขารร่างกายของท่านทำประโยชน์สุขแก่ผู้คน ไม่มีอีกแล้ว
ผู้เขียนจำภาพสุดท้ายที่หลวงปู่มาเยี่ยมศพพ่อระหว่างงาน 100 วัน ที่ศาลา 12 ไร่ ท่านนั่งห่อตัวซึ่งเหลือนิดเดียว ตาจ้องโลงศพพ่อ ชี้มือไปที่ศพพ่อ พร้อมกับพูดเสียงเบาแผ่วว่า
"ยังไงเล่า... วันนี้ทำไมไม่ลุกขึ้นมาคุยกันเล่า... ทีก่อนโน้นล่ะพูดเก่ง ทีนี้ทำไมนอนเฉยเสียเล่า เอ๊อ...เก่งจริง ก็ลุกขึ้นมาเถียงกันอีกเช้..."
โธ่เอ๋ย...เจ้าประคุณ... แม้องค์หนึ่งตาย องค์หนึ่งร่างกายหมดสภาพแล้วก็ยังอุตสาห์ระลึกถึงลีลาที่เคยบ้นเทิงธรรมให้ลูกหลานชื่นใจ ใจเลวๆ ของเกล้ากระผม จะขอจารึกพระคุณทั้งสองไว้...ไม่มีลืม.


แนบไฟล์:
.jpg

3.jpg

ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 30 ก.ย. 2008 7:57 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
อนุโมทนาด้วยครับคุณbecknui เรื่องนี้ดีจริง ๆ สำหรับคนชอบธรรมและผู้เคารพในหลวงปู่บุดดา

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO