นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 25 เม.ย. 2024 3:24 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 03 มิ.ย. 2009 10:29 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
บันทึกประหลาด
โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๔


บทความนี้เป็นอีกบทความหนึ่งซึ่งผมอ่านแล้วชอบเป็นพิเศษครับถึงจะยาวสักนิดแต่รับรองว่าวางไม่ลงครับ ให้ประโยชน์แง่คิดต่างๆดีมากครับ. :P

บ่ายวันหนึ่งได้มีสุภาพบุรุษสูงอายุหนีบแฟ้มเอกสารเข้ามาใน บ้านแต่ผู้เดียว เป็นผู้ที่ข้าพเจ้าผู้เขียนไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่เมื่อเห็นท่าทางบุคลิกลักษณะเป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือ และท่านผู้นั้นได้แนะนำตัวเองและเราก็เริ่มสนทนากันในห้องรับแขก เมื่อได้สนทนากันครู่ใหญ่ ได้รู้เจตนาดีในการมาหาข้าพเจ้าผู้เขียน แล้ว ท่านผู้นั้นก็เริ่มเปิดแฟ้มเล่าเรื่องบันทึกประหลาดให้ข้าพเจ้าผู้เขียนทราบ ถึง รักอมตะของหนุ่มสาวคู่หนึ่งเป็นชีวิตที่แปลกประหลาด

ท่านผู้นี้ได้เอกสารบันทึกนี้มาเก็บไว้นาน เป็นเวลาสามสิบกว่าปีแล้ว แม้จะได้พยายามปฏิบัติตามคำขอร้องของผู้เป็นเจ้าของบันทึกประหลาดฉบับนี้ แต่ก็จนด้วยปัญญาเพราะไม่สามารถจะสืบหาหญิงที่มีชื่อในบันทึกฉบับนั้นได้ การสืบหาก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ฉะนั้น ต่อมาก็หมดความพยายามเก็บบันทึกไว้ในที่ปลอดภัย แต่จิตใจไม่มีความสบายเมื่อเวลานึกถึงเรื่องนี้ว่า ยังขาดสิ่งสำคัญที่ยังไม่ปฏิบัติให้สมบูรณ์ในความรู้สึกตลอดมา ความจริงก็ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ หากเมื่อเห็นแก่มนุษยธรรมก็อยากจะทำให้ถูกต้องเรียบร้อย ให้หมดห่วงในบันทึกประหลาดนี้

ต่อมาเมื่อไม่นานท่านผู้นี้ได้รับหนังสือชุด “กฎแห่งกรรม” ซึ่งแจกในงานพระราชทานเพลิงศพท่านผู้มีชื่อผู้หนึ่ง ก็เกิดความสนใจขึ้นมาทำให้กลับไปนึกถึง “บันทึกประหลาด” ฉบับนั้นขึ้นมา นึกว่าหากได้นำเรื่องราวมาให้ผู้เขียนแล้ว คงจะปลดเปลื้องภาระที่หนักอยู่ในอกไปได้ จึงใช้เวลาเที่ยวสืบหาผู้เขียน “กฎแห่งกรรม” ท่านผู้นั้นได้สืบหาถามผู้ที่คุ้นเคยก็ไม่มีใครรู้จัก แม้จะสืบหาตามสถานที่ชาวพุทธชอบไปศึกษาหาความรู้หลายแห่ง ตลอดจนพระสงฆ์ตามวัด เข้าใจว่าคงจะรู้จัก สืบถามดูก็ไม่ใครรู้จักตัวและที่อยู่คงได้ยินแต่ชื่อ

ด้วยความพยายามท่านผู้นี้ได้ติดตามสืบหาจนพบผู้เขียน และมีความดีใจ แจ้งความประสงค์เพื่อให้ผู้เขียนช่วยจัดการให้สมตามความปรารถนาของผู้เป็น เจ้าของบันทึกประหลาดฉบับนี้ ให้สมบูรณ์ถูกต้องตามคำขอร้อง แม้ว่าเวลาล่วงเลยมานานแล้ว เข้าใจว่าผู้ที่มีชื่อในบันทึกประหลาดนั้น คงจะล่วงลับไปหมดแล้ว คิดว่าการปฏิบัติตามคำร้องนั้นแม้จะช้าเกินไปก็ยังดีกว่าไม่ปฏิบัติเสียเลย เพราะความรู้สึกเตือนอยู่เสมอว่ายังมีสิ่งที่บกพร่องเพราะเรารับรู้ในบันทึก ประหลาดฉบับนั้นยังไม่ได้ปฏิบัติตามให้สมบูรณ์

บัดนี้เรื่องราวในบันทึกนั้น ได้จัดการให้เป็นที่เรียบร้อย วิญญาณเจ้าของบันทึกได้ทราบก็คงปีติยินดียิ่ง ฉะนั้น เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ได้จากคำบอกเล่าและบันทึกประหลาดฉบับนั้น การที่ผู้เขียนเล่าเรื่องนี้ ก็ไม่ประสงค์จะให้ท่านเชื่อ การเชื่ออะไรง่ายๆ โดยไม่พิจารณาหาเหตุผลนั้น ย่อมผิดจากคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอนให้พิจารณาเหตุผลเสีย ก่อน อย่าเชื่ออย่างงมงาย

ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่อให้ท่านรู้ว่าโลกมนุษย์เรานี้ ยังมีเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์อีกมากมายที่เรายังไม่รู้และไม่เห็น เรื่องต่างๆ ที่น่าสนใจเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ได้สูญสิ้นไป เพราะไม่มีผู้บันทึกไว้แม้จะมีผู้เก็บมาเล่าสู่กันฟังด้วยปากต่อๆ กันไป ก็ไม่ถาวรยั่งยืนเหมือนควันบุหรี่ที่พ่นออกจากปาก ไม่ช้าก็เลือนจางหายไปในอากาศ ฉะนั้น เรื่องนี้ผู้เขียนไม่สนใจว่า ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แล้วแต่ท่านจะคิดว่าเป็นเรื่องนิยาย หรือนิทาน หรือสารคดีชีวิต หรือสิ่งใดแล้วแต่ละท่านจะพิจารณาคิดเอาเอง ผู้เขียนเป็นเพียงแต่ผู้เล่าให้รู้เท่านั้น ไม่มีความคิดเห็นเพิ่มเติม

บ่ายวันหนึ่งนานมาแล้ว วันนั้นจำได้ว่าเป็นวันอาทิตย์ในเดือนเมษายน อากาศร้อนอบอ้าว ข้าพเจ้าได้ขับรถผ่านถนนไปหลายสายในเขตพระนคร ตั้งใจจะไปเที่ยวที่ปาร์คนายเลิศซึ่งเป็นที่หนุ่มสาวและประชาชนพากันไป เที่ยวผ่อนคลายอารมณ์ร้อน หาความร่มเย็นเป็นที่สนุกสนานในสมัยนั้น เมื่อผ่านถนนที่มีชาวต่างประเทศ และย่านผู้ดีมีทรัพย์อยู่กันมากๆ เพราะเป็นที่เรียงรายไปด้วยตึกอันโอ่โถง ตามบ้านมีบริเวณกว้างใหญ่ มีสนามหญ้า มีต้นไม้ ภายในบ้านร่มรื่นทุกบ้าน เมื่อผ่านบ้านใหญ่หลังหนึ่งด้านติดถนนใหญ่เห็นมีธงตาหมากรุกปักไว้ที่ประตู ใหญ่ทางเข้าบ้าน มีป้ายบอกกำหนดเวลาที่จะทำการเลหลัง แสดงว่าได้มีการขายทอดตลาดภายในบ้านนั้น

ราจึงตกลงขับรถเลี้ยวเข้าไปดูโน่นในบ้านโรยด้วยหินละเอียด สองข้างทางเขาปลูกต้นไม้ดอกเรียงราย มีต้นไม้ใหญ่ๆ ภายในบ้านหลายต้น แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นที่ร่มเย็น ข้างตึกใหญ่เป็นโรงรถ ในเขตบ้านมีคูและมีบัววิกตอเรีย ซึ่งไม้ใบใหญ่แผ่ออกขนาดกระด้งและใหญ่กว่า มีบัวดอกใหญ่หลายดอกที่โผล่พ้นน้ำ ข้าพเจ้านำรถเข้าไปจอดชิดขอบถนน แลเห็นมีรถยนต์หลายคันจอดอยู่ก่อน เห็นคนยืนคุยกันเป็นหมู่ๆ ส่วนมากเป็นคนจีนที่จะรวมหุ้นส่วนเพื่อประมูลสู้ราคาที่ขายทอดตลาด โดยปล่อยให้คนหนึ่งเป็นผู้แทนไปประมูล

มีรถเข็นขายมะพร้าวอ่อนแช่น้ำแข็งอยู่ในบริเวณบ้าน กำลังมีผู้คนมุงชื้อกันหนาแน่น แสดงถึงการขายดีเพราะอากาศค่อนข้างร้อน เสียงบนตึกกำลังประมูลราคากันอย่างเอ็ดอึง ข้าพเจ้าจำได้ว่า เสียงของฝรั่งขาพิการข้างหนึ่งเป็นผู้เลหลัง กำลังใช้เสียงตะโกนดังกว่าธรรมดา ได้ยินจนถึงข้างล่างอย่างคุ้นหู ไม่ว่าแกจะไปไหน เมื่อมีค้อนไม้อยู่ในมือแล้วก็ไม่พ้นคำพูดมีไม่กี่ประโยคที่แกใช้หากินตลอด มา

“เบอร์นี้ใครจะให้เท่าไร ของดีๆ ทั้งนั้น อ้าวยี่สิบ ยี่สิบห้า ยี่สิบห้า อ้าวสี่สิบแล้ว สี่สิบใครให้สูงกว่านี้ไม่มีใครให้สูงกว่านี้หรือ อ้าวมีคนให้ห้าสิบแล้ว ห้าสิบหนึ่งห้าสิบมีใครให้มากกว่านี้ มีคนให้หกสิบแล้ว ใครจะสู้ราคาสูงกว่านี้ หกสิบ หกสิบ ราคานี้ถูกมาก ของใหม่สองสามร้อยซื้อไม่ได้ไม่ใครจะให้สูงกว่านี้หรือ หกสิบหนึ่งหกสิบสอง หกสิบสามท แล้วแกก็เคาะค้อนลงไปในวัตถุสิ่งนั้นหรือที่โต๊ะ หรือไม่ก็ข้างฝาตามแต่สะดวกพอเป็นพิธีแสดงว่า สิ่งนั้นเบอร์นั้นมีผู้ประมูลไปได้แล้ว หลังจากนั้น จะมีเสมียนดูเบอร์ที่สิ่งของนั้น และจดชื่อเสียงของผู้ประมูลได้ลงไปพร้อมราคา ต่อจากนั้นแกก็จับสิ่งอื่นขายทอดตลาดต่อไป”

ตามปกติข้าพเจ้าชอบไปดูเวลาแกเลหลัง สวนมากเป็นบ้านฝรั่งที่จะกลับไปเมืองนอก บางครั้งแกก็ชอบพูดจาตลกคะนองแสดงท่าทางทำให้คนหัวเราะได้ พูดภาษาอังกฤษในเมื่อมีฝรั่งไปประมูล แกก็จะร้องบอกการประมูลเป็นภาษาอังกฤษสลับกับภาษาไทย ที่สุดแกก็จะจบลงด้วยการเคาะค้อนด้วยเสียง วัน ทู ทรี เมื่อเสร็จแล้วแกก็จะควักผ้าขนหนูผืนเล็กในกระเป๋าออกมาเช็ดเหงื่อตามที่ใบ หน้า แกมีนาฬิกาพกสายเงินไว้ในกระเป๋าเหน็บไว้ข้างหน้า ที่กางเกงมีสายเงินห้อยอยู่ข้างนอก แกขอบดึงออกมาดูเวลาเสมอ

วันนั้นข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ เพียงแต่โผล่ขึ้นไปแล้วก็ลงมา ไม่ได้ขึ้นไปยืนดูการเลหลังของแก เพราะบนตึกอากาศร้อน ทั้งในห้องบนก็มีท่านผู้ดีทั้งชายหญิงอยู่มากอัดแอ เพิ่มความร้อนมากขึ้น แม้จะมีพัดลมเพดานและพัดลมทั้งก็ดี แต่ความเย็นของลมไม่พอกับจำนวนคนมากด้วยกัน ตามธรรมดาข้าพเจ้าเคยปากอยู่ไม่สุข ชอบตะโกนร้องประมูลแรกๆ เพื่อช่วยการประมูลราคาให้เร็วขึ้น บางครั้งนึกสนุกก็ร้องขึ้นราคาเผลอเพลินไป คนอื่นเขาหยุดกันหมดปล่อยข้าพเจ้าตะโกนหลงอยู่คนเดียว ที่สุดก็ต้องหอบของที่ไม่ต้องการซื้อและไม่อยากจะได้ กลับบ้านนึกแช่งด่าตัวเองเพราะปากอยู่ไม่สุข

แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยจะเข็ด วันนั้นหลังจากประมูลของข้างบนตึกแล้ว มีคนพากันลงมาข้างล่างบางคนก็ขึ้นรถกลับบ้าน เห็นหลายคนมายืนอยู่หน้าโรงรถ เมื่อมีคนเปิดประตูเข้าไปก็เห็นรถยนต์คลุมผ้าดิบอยู่ เมื่อเปิดผ้าคลุมออกก็มองเห็นรถกลางเก่ากลางใหม่ ๔ สูบ สีเขียวใบไม้ เป็นรถประทุน ผ้าใบยกขึ้นยกลงได้พับได้ มีบางคนเปิดกระโปรงดูเครื่องต่างพิจารณาคุณภาพเพื่อจะตีราคาเท่าที่พอใจ แล้วแต่ทุนทรัพย์ของตน

ในไม่ช้าฝรั่งผู้เลหลังก็ถือค้อนไม้เดินโขยกเขยกลงบันไดมาจากตัวตึก เพราะขาแกสั้นข้างหนึ่งเวลาเดินก็เถียงไปทางขาสั้น แม้แกพยายามจะเกร็งย่อขาข้างยาวให้เสมอข้างสั้น ก็ไม่วายเดินขาทิ่มกะโผลกกะเผลก บางเวลาแกก็ใช้ไม้เท้าพยุงร่างอันไม่สมประกอบรูปร่างแกอ้วนๆ ไม่สู้จะเหมือนคนส่วนมาก จมูกแกโต ภายหลังแกต้องใช้แว่น แกเป็นคนสนุก จึงเป็นที่ชอบพอทั้งคนจีนคนไทยทั่วไปรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย เมื่อลงมาเห็นข้าพเจ้ายืนอยู่ แกเอาค้อนไม้ทางด้ามแหย่หยอกล้อที่ข้าพเจ้าพูดว่า “ทำไมไม่ขึ้นไปดูข้างบนมีของดีๆ มาก เครื่องลายครามเก่าๆ ราคาไม่แพง”

ข้าพเจ้าบอกว่า “ขี้เกียจเบียดคนอากาศร้อนและก็ไม่อยากได้อะไร” แกก็เดินเขยกลากขาเข้าไปในโรงรถ ข้าพเจ้ากับเพื่อนเดินตามเข้าไปด้วย นอกจากรถประทุนกลางเก่ากลางใหม่ ๑ คันแล้ว ยังมีเครื่องตัดหญ้าสนามอีก ๑ เครื่อง ลึกเข้าไปก็ยังมีเปียโนอีก ๑ อัน มีคนสนใจรถยนต์กันมาก มีคนหมุนเครื่องที่หน้าหม้อเพราะเป็นรถใช้แม็กนิโต เมื่อเครื่องเรียบร้อยเร่งเร้าและผ่อนให้ข้าได้ แกก็เริ่มพูดเอาการเอางานว่า

“รถคันนี้เห็นแล้วว่าทุกสิ่งเรียบร้อย เอาไปแล้วใช้ได้เลยใครจะให้เท่าไหร่” แกถามหลายครั้งก็ไม่มีใครขึ้นราคา แกเลยเอาค้อนชี้มาทางข้าพเจ้า ซึ่งยืนห่างพอประมาณแล้วพูดว่า “ยูจะให้เท่าไหร่”

ข้าพเจ้าปากคันตามเคยร้องบอกไปว่า “ห้าสิบบาท” แกเลยเริ่มรถคันนั้นด้วยราคาห้าสิบบาท ห้าสิบบาทต่อมาก็มีคนอื่นให้กันต่อไป “หกสิบบาท ” เจ็ดสิบบาท” “แปดสิบบาท” “เก้าสิบบาท” ข้าพเจ้ารีบเดินเลี่ยงออกมาให้ห่างไม่อยากยืนเสนอหน้า กลัวจะคันปากภายหลังได้ความว่า รถยนต์คันนั้นมีคนประมูลไปได้ไม่ถึงสามร้อยบาท ต่อจากนั้นก็เลหลังเครื่องตัดหญ้าสนาม เมื่อประมูลเสร็จแล้วราคาเท่าใดข้าพเจ้าไม่สนใจ

เริ่มลงมือประมูลเปียโน ข้าพเจ้าเกิดสนใจขึ้นมา เดินแทรกคนเข้าไปเปิดดูและกดช่องเปียโนนี้ความจริงอยู่นอกบัญชี เมื่อจัดอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าของบ้านเพิ่งจะบอกภายหลังว่าอยากจะเลหลังให้เสร็จวันนี้ แกกระซิบว่า “เดิมเจ้าของไม่ยอมขาย เพราะเปียโนอันนี้เป็นของรักของหวงของลูกชายที่ตายมาก จึงอยากจะเก็บไว้ดูต่างหน้าลูก แต่เมื่อเข้าไปในห้องเห็นเปียโนครั้งไร ก็ต้องร้องไห้คิดถึงลูก ต้องให้คนใช้ยกลงมาเก็บไว้ในโรงรถ จะได้ห่างจากความเศร้าเสียใจ แล้วปล่อยไว้ในโรงรถไม่มีใครดูแล เจ้าของบ้านเพิ่งจะตัดสินใจให้ขายเมื่อครู่นี้เอง จึงทำความสะอาดไม่ทันก็เลยตามเลย เปียโนอันนี้ดีมากเป็นของเก่าเสียงดี แต่เจ้าของไม่รักษาทิ้งไว้โทรม ถ้าคุณได้ตกแต่งใหม่จะมีราคามาก”

ข้าพเจ้าเป็นคนขอบยอ และเมื่อได้รู้ประวัติเจ้าของเดิมเป็นที่รักและหวงแหนก็นึกรักเปียโนอันนี้ ขึ้นมาทันที พอเริ่มต้นแกก็ใช้ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ให้ราคาก่อน ข้าพเจ้าก็เริ่มต้นให้ห้าสิบบาท แต่แล้วก็มีผู้อื่นขึ้นสู้ราคากันจนถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าบาท ข้าพเจ้าเกิดคันปากขึ้นมาร้องบอกไปร้อยแปดสิบบาท แล้วก็เงียบไม่มีเสียงใครขึ้นต่อจากร้อยแปดสิบบาทขึ้นไปอีก นึกในใจว่าคราวนี้เราคงจะหนีเจ้าเปียโนสับปะรังเคเก่าๆ วันนี้ไม่พ้นแน่

พอฝรั่งขากะเผลกแกถือค้อนเงื้อก่อนจะเคาะลงไป แกหันไปดูหน้าคนในหมู่นั้นคล้ายจะสำรวจดูว่า ใครจะบ้าพอที่จะประมูลแข่งกันเพื่อเปียโนเก่าๆ ที่เขาจะทิ้งอยู่แล้วไปบ้าง เมื่อมองดูหน้าคนที่เคยขึ้นราคาประมูลแข่งกันมา แกเอาค้อนเที่ยวชี้ให้คนนี้ให้เขาขึ้นราคา ก็เห็นเขาพากันสั่นหัวก้มหน้าไม่ยอมสบสายตากับแก บางคนก็รีบเดินหลบไป ตกลงแกก็ต้องเอาค้อนชี้มาที่ข้าพเจ้า เป็นอันว่าข้าพเจ้าดิ้นไม่หลุดในการเป็นเจ้าของเปียโนเก่าๆ อันนั้น

แล้วแกก็ยกค้อนขึ้นแล้วร้องว่า “เปียโนร้อยแปดสิบบาทหนึ่ง สอง สาม แล้วเอาค้อนเคาะลงที่ตัวเปียโนเบาๆ แล้วชี้มาทางข้าพเจ้าบอกว่า “เป็นของคุณแล้ว” เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้เป็นเจ้าของครอบครองกรรมสิทธิ์เปียโนสับปะรังเคอัน นั้น ด้วยเงินสองชั่งกับยี่สิบบาทเป็นการแลกเปลี่ยน การเลหลังวันนั้น ก็สิ้นสุดลงด้วยการประมูลเปียโนเก่าๆ เป็นอันสุดท้าย เช่นวันนั้นข้าพเจ้าต้องวุ่นวายอยู่กับเปียโนเก่าๆ แทนที่จะพาเพื่อไปเที่ยวตามที่มุ่งหมายกันไว้ ต้องเสียค่ารถม้าบรรทุกเจ้าเปียโนเก่าๆ ไปบ้าน

ใจนั้นนึกวุ่นวาย นึกว่าจะต้องไปหาเจ๊กซ่อมเปียโนที่ถนนสี่พระยา เพราะแกเป็นคนชำนาญในการแก้ซ่อมเปียโนที่ข้าพเจ้ารู้จัก แต่แกเล่นเปียโนไม่เป็นได้แต่แก้อย่างเดียวน่าขัน ทั้งข้าพเจ้าจะต้องคอยแก้ตัว เมื่อคุณแม่ดุทุกครั้งที่เลหลังได้ขนของเข้าบ้านข้าพเจ้าจะต้องแสดงท่าทาง ยั่วให้คุณแม่หัวเราะเสียก่อนการดุจะน้อยลง วันนั้นจึงขับรถวิ่งรีบกลับไปบ้านก่อนไปรับหน้าบอกให้รู้ เพื่อให้คุณแม่อารมณ์ดีก่อนที่เปียโนจะไปถึง ถึงแม้การดุของคุณแม่ไม่รุนแรง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่อยากให้คุณแม่มีอารมณ์เสีย

แต่คราวนี้หนักใจเพราะของมันใหญ่และราคามันสูง ทั้งเก่าคร่ำคร่า คงจะยั่วให้หัวเราะไม่ได้ง่ายนัก จริงอย่างนึกเพราะเมื่อคุณแม่เห็นรถม้าบรรทุกเปียโนเข้ามาในบ้านก็หัวเราะ ไม่ออก หันมาตาเขียวตวาดว่า

“ตาจ้อย แม่บอกแล้วว่า อย่าไปเอาของเก่าๆ มา แล้วลูกเอามาทำไม เต็มบ้านเต็มช่องไปหมดแล้ว เสียอัฐเสียเงินโดยใช่เหตุ”

ข้าพเจ้าได้แต่ทำตาเศร้าๆ แบมือยักไหล่เอียงคอแล้วพูดเสียงเครือๆ อย่างเศร้าๆ ว่า

“มันช่วยไม่ได้นี่ครับคุณแม่ ผมปากมันไวจนเคยตัวแล้ว แต่คุณแม่ครับเปียโนหลังนี้ ผมชอบมันมากเหลือเกิน คุณแม่คงไม่ว่านะครับ เมื่อลูกของคุณแม่ชอบว่าแล้ว ข้าพเจ้าก็ตรงเข้าอุ้มคุณแม่ยกเอวชูตัวขึ้นสูงอย่างประจบและยั่วให้หายโกรธ แต่แล้วคุณแม่ร้องเสียงหลง ว่า

“อย่าตาจ้อย แม่จั๊กจี้ อย่า ประเดี๋ยวจะหกล้ม”

ข้าพเจ้าบอกว่า “คุณแม่ตัวเล็กนิดเดียวไม่หกล้มหรอกครับ”

คุณแม่หัวเราะออกมาได้ เมื่อหายโกรธแล้ว ตามธรรมดาถึงข้าพเจ้าจะโตเป็นผู้ใหญ่บวชเรียนแล้ว มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ มีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาไม่น้อย แต่ข้าพเจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แต่นอกบ้าน เมื่อกลับเข้าในบ้านข้าพเจ้าก็เหมือนเด็กเล็กๆ ที่แม่เลี้ยงไม่รู้จักโต ชอบนอนกลิ้งเกลือกบนตัว เพราะข้าพเจ้านึกว่าคุณแม่เป็นพระที่สูงสุดของข้าพเจ้าองค์หนึ่ง ที่ควรจะทำให้แม่สบายใจ คุณแม่เคยพูดว่า ลูกผู้ชายเมื่อเวลาเล็กๆ ก็รักแม่เวลาโตแล้วก็รักเมียลืมแม่

ข้าพเจ้าเคยเถียงว่า “คุณแม่อย่าดูผมผิดไปนะ ผมถือว่าแม่บังเกิดเกล้าเลี้ยงผมมาแต่แดงๆ เมียมาภายหลัง จะให้รักเมียมากกว่าแม่ คนนั้นไม่ใช่ผม”

คุณแม่หัวเราะแล้วพูดว่า “แม่จะคอยดูต่อไป”

วันนั้นเมื่อหายโกรธเรื่องเปียโนแล้วคุณแม่ก็พูดว่า “บ้านเราจะเป็นพิพิธภัณฑ์ของเก่าอยู่แล้วละ คราวก่อนก็ไปเอาเตียง โต๊ะประดับมุกไม้ประดู่หรือไม้แดงของจีนมาไว้เกะกะบ้าน ต่อไปนี้พอนะลูก แม่ขอเสียทีเถิด คราวหน้าถ้าไม่เชื่อแม่จะเฆี่ยนให้เนื้อแตกเหมือนเด็กๆ” คุณแม่ชอบพูดเล่น เมื่อเวลาหายโกรธ

ข้าพเจ้าหัวเราะแล้วพูดว่า “ชุดไม้ประดู่ฝังมุกนั้นเป็นของพวกจีนชั้นเจ้าสัวเขานะครับคุณแม่ คนจีนธรรมดาไม่มีใช้ เวลาฤดูร้อนนอนเย็นสบายดี”

คุณแม่บอกว่า “ช่างเถิดลูก แม่รู้ว่าเป็นของเจ้าสัวแต่เขาเอาไว้สำหรับนอนสูบฝิ่นเป็นส่วนมาก แล้วก็มีหมอนกระเบื้อง พอทีต่อไปแม่ห้ามไม่ให้เอามาอีกนะลูก”

ข้าพเจ้าก็ตอบได้เพียง “ครับ ผมจะจำไว้ก่อน”

ความจริงคุณแม่ก็เป็นคนรักลูก แม้ปากจะดุแต่ใจนั้นรักลูกมาก ฉะนั้นเพียงแต่ข้าพเจ้ายั่วให้หัวเราะได้ก็หายโกรธ

บัดนี้ เปียโนหลังนั้นก็เข้ามาอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป แม้มันจะไม่ใช่เปียโนขนาดใหญ่แต่มันก็หนักเอาการ จึงต้องเอาไว้ในโรงรถก่อน เพราะใรงรถของเรานั้นใหญ่พอที่จะไว้ได้ทั้งเปียโนและรถยนต์พร้อมกันอย่าง สบาย ข้าพเจ้าคิดว่าจะไปตามช่างแก้เปียโนซึ่งเป็นชาวจีน ชื่อของแกเมื่อแปลเป็นไทยก็ไม่เพราะนัก ก่อนจะเรียกช่างมาดูข้าพเจ้าก็ควรจะตรวจดูก่อน จึงเปิดโน่นเปิดนี่สำรวจดูว่ามันจะเสียมากน้อยเท่าใด ว่าค้อนสักหลาดจะสึกหรือหลุด และเส้นลวดว่ามันมีเส้นไหนที่ขาดบ้าง

ก็มองเห็นข้างในมีกระดาษโน้ตเพลงหลายแผ่นคล้ายกับมีผู้เจาะจงจะยัดใส่ไว้ภาย ใน ข้าพเจ้าก็รื้อออกมา เพราะมันทำให้เมื่อกดเสียงไม่เคาะ เส้นลวดค้างเพราะกระดาษยัดไว้จนเคาะไม่ถึงลวดเสียง เมื่อล้วงเอากระดานออกหมดแล้วก็ลองดีดฟังเสียงดู เสียงก้องกังวานไพเราะดีทุกเสียง ดีใจที่ไม่ต้องเสียเงินค่าซ่อม แล้วให้คนล้างเช็ดถูภายนอกภายในที่ฝุ่นจับ หยากไย่และใยแมงมุม เพราะทำให้ดูเก่าค่ำคร่ำเช็ดถูออกหมด แล้วก็ขัดด้วยน้ำมันทำความสะอาดมองดูเหมือนของใหม่

ข้าพเจ้าตะลึงดูเปียโนอันนี้ทั้งสวยทั้งเสียงดี นึกภูมิใจว่าโชคดีซื้อของได้ถูกเหมือนได้เปล่า สงสัยว่าทำไมเวลาเลหลังจึงเห็นเป็นของเก่ามาก ผู้อื่นยังพูดว่าไม่น่าจะเลหลังได้ราคาดีเช่นนี้เลย นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อล้วงกระดาษขึ้นมานั้น รู้สึกว่าข้างในเปียโนมีอะไรปะไว้ข้างกระดานด้านใน จึงอยากรู้ว่าเป็นอะไรที่ต้องปะไว้แต่แล้วก็ประหลาดใจที่เมื่อล้วงลงไปพบ อะไรนูนๆ เป็นแผ่นปะไว้ภายในมองดูไม่ถนัด

เมื่อเอามือคลำดูผู้รู้ว่าเป็นซองกระดาษใหญ่ กรุไว้ด้วยหมุดทองเหลืองสี่ด้านติดกับกระดาษด้านหน้าข้างในเปียโน ได้พยายามเอาไขควงเล็กๆ ลงไปงัดแกะมุมหัวหมุดที่ตรึงซองไว้ ข้าพเจ้าก็สามารถดึงเอาซองสีน้ำตาลใบใหญ่ออกมาได้ เมื่อได้พิจารณาดูก็เห็นเป็นซองอยู่ในที่มิดชิด แดดลมเข้าไม่ได้จึงยังดูใหม่ไม่เก่าเท่าที่ควร เมื่อหยิบมาพิจารณาดูเห็นจ่าหน้าซองว่า

“บันทึกเรื่องของชีวิต ผู้ใดได้บันทึกนี้ไปกรุณาอ่านดู หากได้ทราบว่าหล่อนยังมีชีวิตอยู่ โปรดกรุณามอบให้หล่อนผู้เป็นยอดดวงใจของฉัน และช่วยเหลือเพื่อขอให้หล่อนได้มีโอกาสได้อ่านบันทึกอันนี้ โปรดกรุณาเพื่อเอาบุญ”

เมื่อข้าพเจ้าอ่านจ่าหน้าซอง ทำให้อดนึกไม่ได้ว่าเปียโนอันนี้คงจะมีประวัติชีวิตความรักของหนุ่มสาว ข้าพเจ้าจึงได้ทะนุถนอมเปิดซองสีน้ำตาลใหญ่ หยิบกระดาษภายในออกมา เมื่อเปิดดูก็เห็นมีบันทึกปึกหนึ่งใช้กระดาษฟุลสแก๊ปล้วนเขียนไม่เว้นหน้า ไม่เว้นบรรทัดตัวอักษรได้ระเบียบสวยงาม หวัดแกมบรรจง อ่านง่ายสีหมึกยังสดใส ข้าพเจ้ายกกระดาษขึ้นมาส่องดูกับแสงสว่างก็เห็นรอยพรายน้ำเป็นตรารถลากทุก แผ่นกระดาษฟุลสแก๊ป ตรารถลากหรือรถเจ๊กเป็นกระดาษชั้นดีในสมัยก่อน ข้าพเจ้าได้อ่านข้อความบันทึกในซองด้วยความระมัดระวังเหมือนของมันมีค่ายิ่ง ข้อความในบันทึกมีดังต่อไปนี้

“ฉันเกิดมาในตระกูลที่ยากจน แม่บอกว่าพ่อมีอาชีพเป็นช่างไม้ แต่ไม่สู้จะเป็นล่ำเป็นสันนัก เพราะรายได้ไม่แน่นอน แต่ก็เพียงพอกินพอใช้ พ่อได้จากโลกนี้ไปเมื่อฉันมีอายุเพียง ๙ ขวบ แม่ต้องไปทำงานหนักด้วยการรับจ้างซักเสื้อผ้า เพื่อเลี้ยงลูกคนเดียวให้เล่าเรียนศึกษาขั้นต้น เพื่อชีวิตในอนาคตจะได้เทียมหน้าตาคนทั้งหลาย แม่เล่าให้ฉันฟังว่า ก่อนที่แม่จะตั้งครรภ์คืนหนึ่งก่อนสว่างแม่ได้ฝันเห็นเมฆลอยต่ำมีสีต่างๆ ลอยมาอยู่รอบตัว แม่เอามือจับก้อนเมฆดูรู้สึกว่าอ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้าย แม่ตื่นขึ้นมาเล่าความฝันให้พ่อฟัง พ่อว่าฝันดีจะได้ลูก”

ต่อจากนั้นแม่ก็ตั้งครรภ์ เมื่อคลอดออกมาเป็นชาย พ่อกับแม่ช่วยกันตั้งชื่อว่า “เมฆ” แม้ ชื่อนี้จะไม่เพราะแต่ก็มีความหมาย ภายหลังพ่อตายแล้วไม่นาน แม่ได้ไปทำงานที่บ้านฝรั่ง มีหน้าที่ซักผ้ารีดผ้า ฝรั่งสองคนผัวเมียเป็นคนใจดี ได้อนุญาตให้ฉันเข้าไปอยู่ในบ้านพร้อมกับแม่ นายฝรั่งสองคนรักเด็กเราจึงกินอยู่อย่างสบาย ฉะนั้น เมื่ออยู่บ้านของนายฝรั่งฉันก็นึกถึงบุญคุณที่ให้อยู่อย่างมีความสุข ทำให้ฉันเกิดมีความขยันช่วยงานบ้านทุกอย่างที่ฉันพอจะทำได้ ทำให้นายฝรั่งเกิดเอ็นดูสงสารฉันมากขึ้น ได้ส่งให้ฉันเข้าเรียนหนังสือด้วยการออกค่าเล่าเรียนให้ ฉันเคารพนับถือท่านว่าเป็นผู้มีบุญคุณยิ่งผู้หนึ่ง

ฉะนั้น อะไรที่ฉันทำได้ฉันทำทุกอย่างเพื่อความกตัญญูเป็นกำลังใจ ไม่ยอมเป็นคนเกียจคร้าน แม่สอนให้ฉันมีความกตัญญูเพราะฝรั่งสองผัวเมียนี้ฉันรักและเคารพเหมือนพ่อ แม่ ฉันได้เอาใจใส่รับใช้อยู่ใกล้ชิด เมื่อฉันกลับจากเรียนมีเวลาว่างจากทำการบ้าน หรือเวลาโรงเรียนหยุด ใช้เวลาทำงานให้นายแหม่มและนายฝรั่งทุกอย่างที่ควรจะทำ มิได้ดูดายบางครั้งนายฝรั่งเกิดการเจ็บป่วย ฉันก็อยู่ใกล้ชิดด้วยเอาใจใส่คอยพยายามทำทุกอย่าง ทำให้นายแหม่มและนายฝรั่งเห็นใจรักใคร่ฉันกับแม่มากขึ้น เพราะแม่ก็เป็นคนขยัน ไม่ได้รังเกียจงาน

ทั้งนายฝรั่งและนายแหม่มชอบเรียกฉันว่า “นายแม็ก” เรา อยู่ภายในร่มไม้ชายคาของฝรั่งสองสามีภรรยาอย่างผาสุก ทั้งฉันได้อาศัยทุนได้พึ่งบุญเล่าเรียนศึกษาจนจบหลักสูตรจากโรงเรียนฝรั่งมี ชื่อในพระนคร ฉันเองได้พยายามเตือนตัวเองเสมอว่า เราเป็นคนจนต้องอาศัยร่มไม้ชายคาของนายฝรั่งทั้งสอง อยู่มาด้วยความร่มเย็นเป็นสุข อย่าทำสิ่งใดให้เป็นที่กระทบกระเทือนให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งสองเป็นอันขาด อย่าลืมข้าวแดงแกงร้อนของท่าน เราเป็นตัวตนขึ้นมาก็เพราะท่าน

แม้ท่านจะเป็นคนต่างชาติ แต่ก็เป็นผู้มีพระคุณอันล้นเหลือเปรียบเหมือนพ่อบังเกิดเกล้า ท่านเอาใจใส่ฉันเหมือนลูก ในชาตินี้ฉันไม่สามารถจะทดแทนบุญคุณท่านได้ เพราะนอกจากให้การศึกษาจนจบแล้ว ก็ยังฝากฝังให้ฉันเข้าฝึกหัดทำงาน ที่อยู่กับห้างฝรั่งที่มีรายได้พอควร สำหรับผู้อยู่ในฐานะเช่นเรา วันเวลาได้ผ่านไปชีวิตก็ต้องประสบกับสิ่งแปลกๆ ตามวัย ฉันก็หนีไม่พ้นดวงชะตาชีวิตทั้งร้ายและดี เหตุที่จะเกิดขึ้นในครั้งแรกเมื่อฉันได้ประสบนั้น คือ

วันหนึ่งเป็นหยุด ฉันอยู่บ้านกำลังช่วยนายหมัดแขกชวาคนสวน ตัดกิ่งตบแต่งต้นไม้ให้เป็นพุ่มสวยงามหันหลังให้รั้วต้นขาไก่ข้างบ้าน ทันใดนั้นได้ยินเสียงมาจากข้างรั้วว่า

“คุณคะ ช่วยจับสุนัขมาให้อีฉันทีเถิดค่ะ มันกำลังจะกวนคุณ”

ฉันหันไปทางเสียง ก็เห็นลูกสุนัขขนปุยแกมเหลืองตัวขนาดแมว กำลังเดินไปดมโน่นดมนี่อยู่ข้างหลัง มันเป็นลูกสุนัขที่น่ารักมาก ที่คอผูกโบว์สีชมพูแถบใหญ่ ฉันจึงได้จับมันขึ้นมา มันเองยอมให้จับง่ายๆ ไม่วิ่งหนีจึงรู้ว่า สีเหลืองนั้นเป็นกลิ่นขมิ้น ได้อุ้มมันไปที่ข้างรั้วเพื่อจะมอบให้เจ้าของตามร้องขอ พอฉันแหวกรั้วจับลูกสุนัขสองมือช้อนใต้ขาหน้าชูส่งไปให้ ทันใดมีหญิงสวยผู้หนึ่งยื่นมือมารับเอาตัวไป

พอฉันได้เห็นหน้าหญิงสาวผู้ นั้นก็ต้องตะลึง ที่ฉันตาไม่ฝาด สติยังดีอยู่หรือ จึงเห็นผู้หญิงที่สวยสดงดงามเหมือนนางฟ้าเวลากลางวัน หล่อนเห็นฉันจ้องตะลึง หล่อนก็รู้สึกขวยอายจนแก้มแดง แต่ก็รีบกลบเกลื่อนพูดว่า

“ต้องขอโทษนะคะ ทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย


พอฉันรู้สึกตัวก็อายจนหน้าชา พลางพูดอ้อมๆ แอ้มๆ ไม่เต็มปากไปว่า “ไม่เป็นไร..... ไรครับ” แล้วก็อยากจะหาเรื่องพูดต่อไป จึงถามว่า “คุณทาขมิ้นให้ลูกสุนัขหรือครับ”

หล่อนตอบด้วยเสียงกังวานแจ่มใส ฉันรู้สึกเป็นเสียงที่จับใจว่า “ค่ะ ที่บ้านมดคันมันชุม ทาขมิ้นป้องกันมด มันชื่อนางสำลีค่ะ”

แต่แล้วฉันก็นึกอะไรไม่ออก นึกไม่ทันว่าจะพูดอะไรอีกได้แต่จ้องมองดู เห็นหล่อนหันมายิ้มอย่างหวานแล้วพูดว่า “ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งนะคะ”

แล้วหล่อนก็ยกนางสำลีขึ้นชูแล้วเอาลงมาแนบไว้ข้างแก้มของหล่อน แล้วก็ลงอุ้มแนบอกอย่างทะนุถนอมเดินขึ้นตึกใหญ่ไป ทำให้ฉันอิจฉาเจ้าสุนัขตัวนั้น ฉันได้แต่มองหล่อนเดินจากข้างรั้วด้วยท่าทางสง่าอย่างนางพญานั่นเอง ไม่ เคยสนใจและไม่ทราบมาก่อนว่าข้างบ้านมีหญิงสาวสวยที่สุดที่ฉันเคยเห็นมา นับแต่นั้นตึกข้างบ้านก็มีความหมายสำหรับฉันขึ้นมา แลดูทุกอย่างมันมีชีวิตจิตใจขึ้นมา

ฉันคอยแต่มองดูบนตึกและห้องทาสีแตงอ่อนคอยดูหล่อนว่า เมื่อไหร่จะโผล่หน้ามาให้เห็น กลางคืนห้องนั้นเปิดไฟสีนวลแสงไฟจับม่านหน้าต่างและฝาห้อง ทำให้เห็นเหมือนวิมานในฝัน มีฉันผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ต่ำต้อยแหงนมองดูไม่รู้สึกเบื่อ

บางคืนเดือนหงายฉันได้ยินเปียโนดีดเพลงไทย ฉันแทบจะเคลิ้มคลั่งไปด้วยความไพเราะซาบชึ้งด้วยเสียงและเจ้าของผู้ดีด นึกเห็นภาพภายในบ้านทั้งแสงจันทร์และเสียงเพลง และนึกถึงนิ้วอันเรียวงามของหล่อน รูปร่างของหล่อน มันเข้าถึงจิตใจ หล่อนชอบเล่นเพลง “ลาวดวงเดือน” แม้เพลงอื่นๆ ก็ไพเราะมาก บางครั้งเธอก็เล่นเพลงฝรั่ง แต่ฉันชอบเพลงลาวดวงเดือนมาก ฟังแล้วอยากจะร้องไห้เพราะมันเข้าสิงในจิตใจของฉัน ต่อมาไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ใดเมื่อได้ยินเสียงเพลงนี้แล้ว ฉันต้องนึกถึงหล่อนขึ้นมาทันที เพลงนี้มันมีอำนาจอยู่ในตัวฉันตลอดมา เห็นจะลืมไม่ได้คงจะติดตัวฉันไปตลอดชีวิต

จิตใจของฉันเปลี่ยนแปลงไป ฉันรู้สึกตัวว่ากำลังจะหลงรักหญิงสาวข้างบ้านเข้าแล้ว จะยืน เดิน นั่ง นอน ฉันนึกถึงแต่ใบหน้ากิริยาท่าทางของหล่อน ฝันถึงรูปร่างท่าทางอันสง่าสวยงาม คำพูดก็ไพเราะอ่อนหวานฟังไม่รู้เบื่อ มันจับจิตจับใจหลงใหลอย่างพูดอะไรไม่ถูก บางครั้งฉันได้ทำจิตใจให้เข้มแข็งสลัดความหลงใหลใฝ่ฝันให้ออกไปจากความ รู้สึกจากจิตใจ ให้รู้ผิดชอบเตือนตัวเองว่า อย่ามักใหญ่ใฝ่สูงให้เกินไป

เราเป็นคนยากจน บ้านช่องก็ไม่มีต้องอาศัยฝรั่งสองสามีภรรยาผู้ใจดีอยู่ หากไม่ได้ความกรุณาของนายฝรั่ง ฉันก็ไม่รู้ว่าเราสองแม่ลูกจะไปซุกหัวนอนอยู่ที่ไหน ฉันควรจะเจียมเนื้อเจียมตัว ควรหรือที่ฉันจะมานั่งใจลอยคอยจ้องมองดูดวงจันทร์บนฟากฟ้าห่างไกลจากความ หวัง แต่ฉันก็เพียงแต่นึกได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

แล้วฉันก็กลับมานึกถึงใบหน้าของหญิงสาว ฉันไม่สามารถจะตัดความรู้สึกให้ขาดจากกันได้ สิ่งใดในโลกนี้พอจะห้ามกันได้ แต่ความรักที่เกิดขึ้นภายในจิตใจนั้นเป็นอิสระไม่อยู่ในอำนาจใดๆ และไม่มีขอบเขตที่จะป้องกันไม่ให้รักได้ เห็นจะเป็นไปตามธรรมชาติที่หญิงกับชายเป็นของคู่กันในโลก ความรู้สึกในชีวิตเป็นครั้งแรกที่ฉันเกิดความรักขึ้นนับเริ่มแต่ย่างเข้าใน วัยหนุ่ม เห็นจะเป็นเพราะหญิงสาวชาวไทยบ้านเรา เมื่อมีอายุวัยรุ่นพวกพ่อแม่ก็จะเก็บกักตัวไว้ในบ้านไม่ยอมให้ติดต่อชาย หนุ่มที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง

ฉะนั้น ชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสที่จะทำความรู้จักหญิงสาว เมื่อเกิดรักใคร่ก็กระดากอาย พูดอะไรไม่ถูก พอจะเอ่ยว่ารักก็กระดากปาก จะเกิดอดสูใจขึ้นมา เมื่อรักผู้หญิงก็ต้องระวังกิริยาท่าทางคำพูดกลัวจะแสดงพิรุชออกมาให้ ผู้ใหญ่จับได้ จึงพยายามซ่อนความรู้สึกไว้ในใจ ความจริงผู้ใหญ่รู้ก็ไม่เกิดโทสะอะไรร้ายแรง นอกจากจะกล่าวตักเตือนสั่งสอนในทางที่ดีเท่านั้น การห้ามไม่ให้รักนั้นคงไม่ใครห้ามได้ แต่ความรักจะอัดกดนิ่งอยู่นานไม่ไหว ย่อมจะดิ้นรนเปลี่ยนแปลงไป ไปตามอำนาจพลังแห่งอารมณ์ความรัก อาจทำให้คนขลาดกลายเป็นคนกล้า เพื่อดิ้นรนให้ถึงจุดของความปรารถนา

ฉันก็เช่นเดียวกัน จะหนีความรู้สึกตามธรรมชาติไม่พ้น แม้จะรู้ว่าความรักของฉันไม่มีทางจะแจ่มใสสดชื่น ทั้งรู้ตัวว่าอาจเป็นผู้หลงรักหล่อนฝ่ายเดียว แม้ฉะนั้นก็ยังไม่สามารถจะหักห้ามความรู้สึกทางใจได้ เพราะได้ปล่อยให้ความรักเข้าสิงอยู่ในใจแล้ว จึงขาดสติยับยั้งทำให้เกิดประมาท เหมือนคนตาบอดหลงทางปล่อยให้โชคชะตาพาชีวิตผ่านไปตามยถากรรม ชีวิตของฉันก็ตกอยู่ในห้วงรักเช่นเดียวกัน

นานการสืบทราบว่า หญิงสาวข้างบ้านที่ฉันหลงรักนั้นชื่อ นวลน้อย ผู้ปกครองเป็นคนมั่งคั่ง มีชื่อเสียง หล่อนกำลังเป็นนักเรียนกินนอนอยู่โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่งในพระนคร ๆ ผู้ปกครองของหล่อนจะรับกลับมาบ้านสักครั้งหนึ่ง สังเกตได้ว่าหาก หล่อนมาอยู่บ้านก็จะได้ยินเสียงเปียโนบนตึก ได้ยินทั้งเพลงไทยและเพลงฝรั่งเพลงไทยที่หล่อนชอบเล่นและฉันก็ชอบก็คือ เพลงลาวดวงเดือน เมื่อได้ยินเสียงเปียโนฝีมือดีดอย่างไพเราะ ก็รู้ว่าหล่อนได้กลับมาอยู่บ้านแล้ว ฉันได้มีความตื่นเต้นอีกหลายครั้งที่ได้จับนางสำลีลูกสุนัขตัวโปรดส่งข้าม รั้วไปให้หล่อน ทำความสนิทสนมมากเท่าใด ฉันก็ยิ่งเพิ่มความหลงใหลใฝ่ฝันในตัวหล่อนมากเท่านั้น

บางครั้งฉันตั้งใจจะเขียนจดหมายสารภาพรักต่อหล่อน แต่เมื่อลงมือเขียนก็รู้สึกตื่นเต้นเกินไป จะเขียนด้วยบรรจงหาคำพูดที่เหมาะสมก็ยังไม่ถูกใจ จึงต้องเขียนแล้วฉีกทิ้งแผ่นแล้วแผ่นเล่า อ่านดูแล้วก็รู้สึกไม่เหมาะสมที่จะส่งให้หล่อน นึกหวาดเกรงกลัวว่าหล่อนจะรู้ความจริงว่า เรามีฐานะเป็นคนยากจนต้องมาอาศัยนายฝรั่งอยู่ นึกหวาดกลัวไปทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคในความรัก เมื่อหล่อนรู้แล้วหล่อนจะดูถูก อาจเยาะเย้ยว่าไม่ตักน้ำดูเงาหัวของตัวเอง ฉันกลุ้มใจทำอะไรไม่ถูก นึกถึงคำของแม่ว่า

“แม้เราจะยากจนเข็ญใจทรัพย์สินเงินทอง แต่เรายังมีความชื่อสัตย์สู้ความจริงไม่ยอมหลอกลวงใคร เป็นสมบัติที่เหนือทรัพย์สินเงินทอง”

แม่บอกว่า วันหนึ่งแม่เข้าไปทำความสะอาดในห้องรับแขก นอกจากงานประจำซักรีดแล้ว แม่ชอบงานทุกอย่างเมื่อมีเวลาว่าง แม่ได้พบแหวนเพชรของแหม่มลืมวางไว้ เพราะแหม่มถอดส่งให้เพื่อนดูแล้วลืมเก็บแม่ตกใจ เก็บเข้าไว้ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องของแหม่ม ตกตอนบ่ายแหม่มหน้าตาตื่นเข้ามาบ้าน บอกกับแม่ว่า

“แอนนาจ๋า วันนี้ฉันไม่รู้ลืมแหวนไว้ที่ไหน เอาออกมาให้เพื่อนชมแล้วก็ลืม ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันควรไปถามเพื่อนไหม ถ้าไปถามเขาคงโกรธ หาว่าฉันดูถูกก็ได้ ฉันเป็นคนขี้ลืม นึกไม่ออก ฉันไปบ้านเพื่อนหลายแห่งกลับไปเที่ยวหาก็ไม่พบ ลมจะจับแล้ว”

นายแหม่มและฝรั่งชอบเรียกแม่ว่า “แอนนา” เพราะแม่ชื่อ “นา” นายจึงต่อเติมข้างหน้าเป็นแอนนาว่าเรียกง่ายไม่ลืมและเพราะดี แม่ได้ยินก็รีบบอกว่าไม่หาย แหม่มลืมไว้ในห้องรับแขก ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าก็ลำบาก แม่ได้เก็บเอาไปไว้ในห้องแต่งตัวแล้ว แหม่มรีบเข้าไปดูก็พบแหวนเพชรตามที่แม่บอก แหม่มดีใจยิ้มแป้นออกมาบอกขอบใจแม่ยกใหญ่ แล้วก็กอดจูบแม่เป็นรางวัลจากน้ำใจ เมื่อฉันนึกเรื่องของแม่แล้ว ฉันแม้จะยากจนก็นึกหยิ่งในตัวที่ไม่จนในความชื่อสัตย์สุจริต พูดความจริงทุกอย่าง พูดความจริงคือความสบายใจ

ทีแรกฉันจะเริ่มต้นจดหมายอย่างไรดี ตั้งใจจะหาคำเพราะๆ แต่บัดนี้ฉันตัดสินใจเขียนเล่าเรื่องชีวิตจริงโดยไม่มีอะไรปิดบัง จดหมายฉบับนี้ก็เป็นประวัติของฉันมากกว่าจะเป็นจดหมายรัก ฉันเล่าถึงแม่ได้มาเป็นลูกจ้างชักรีดในบ้านฝรั่ง และฉันก็ได้ฝรั่งสองสามีภรรยามีความเอ็นดู ให้ฉันได้เล่าเรียนศึกษาในโรงเรียนที่มีชื่อในเมืองไทย ตลอดได้ให้ที่พักอาศัยสุด ท้ายก็บอกว่าเพียงให้หล่อนรู้ให้ทราบถึงจิตใจและความเป็นอยู่ของฉัน และไม่ขอร้องวิงวอนให้หล่อนรักตอบ เพราะรู้ว่าต่ำต้อยขอเพียงแต่ให้ฉันได้เพ้อฝันนึกถึงหล่อนไปคนเดียวเหมือน กระต่ายคอยจ้องมองดูดวงจันทร์

เมื่อจดหมายรักประหลาดได้ส่งไปถึงมือหล่อนแล้ว ฉันก็เฝ้าคอยคืนคอยวันจิตใจปั่นป่วน ยิ่งวันเดือนหงายก็ยิ่งกลุ้มใจไม่ได้หลับนอน ได้แต่จ้องมองดูห้องบนตึกสีตองอ่อนชั้นบนก็ปิดเงียบ เสียงเปียโนก็มิได้ยิน จิตใจมันว้าวุ่นไม่มีความสงบ นึกกลัวโน่นกลัวนี่ ให้กระสับกระส่าย อยากจะเห็นหน้าของหล่อนใจแทบขาดใจ

ความรักมันมีอานุภาพเช่นนี้ อีก ใจหนึ่งก็นึกไปว่าบัดนี้หล่อนได้รู้ความจริงแล้วว่า เราเป็นคนหลักลอยต้องมาอาศัยบ้านเขาอยู่ อาศัยข้าวเขากิน หล่อนคงดูถูกฉัน ไม่เจียมตัวยังจะมีหน้าเสมอมารัก หล่อนคงเห็นฉันเป็นตัวไส้เดือน กิ้งกือเป็นที่น่ารังเกียจ น่าขยะแขยงหล่อนคงหัวเราะเยาะเย้ยต่อหน้าฉันว่า รู้ตัวว่าเป็นคนยากจนแล้วไม่เจียมตัว หวังเอื้อมมาเด็ดดอกฟ้า

ฉันนึกเช่นนี้แล้วฉันหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา คล้ายกับว่าหล่อนมายืนอยู่ข้างหน้า หัวเราะใส่หน้าฉันจริงๆ เพียงแต่ความนึกคิด ทำให้ฉันเกิดหยิ่งในศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายขึ้นมา ฉันจะไม่ยอมง้อผู้หญิงที่เย่อหยิ่งจองหองบูชาเงินเป็นพระเจ้า ดูถูกคนยากจน ในชาตินี้ฉันจะหนีผู้หญิงพวกนี้ไปให้ไกลที่สุด ฉันจึงคิดว่าจะปรับความรู้สึกให้ออกไปเสียก่อนที่จะถอนตัวไม่ขึ้น

ฉันได้พยายามหักใจเมื่อนึกถึงเหตุผล แม้ว่าความรู้สึกได้เกาะกินหัวใจ และภาพของหล่อนได้หลอกฉันอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันก็พยายามปลดออกคล้ายกับปลดรูปออกจากข้างฝาแต่มันก็ไม่ง่ายนัก เพราะฉันกลับมาคิดนึกว่า นี่กำลังจะบ้าคิดหลอกตัวเอง หล่อนต้องเป็นคนดี หล่อนจะไม่ทำอย่างนั้น เรายังไม่ได้ทราบความจริงจากหล่อนเลย เราเพ้อไปคนเดียวเหมือนคนเสียสติ

ต่อมาก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับตัวฉัน คือ วันหนึ่งฉันจำได้ว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาในเขตบ้านที่ฉันอาศัย ถามหาฉันว่ามีธุระสำคัญอยากจะพบ เมื่อฉันได้เดินออกไปพบ เขาก็วางท่าทางใหญ่โตแล้วพูดแนะนำตัวเองว่า เขาเป็นพี่ชายของนางสาวนวลน้อยหญิงสาวข้างบ้านที่ฉันหลงรัก เขาแสดงกิริยาและท่าเป็นนักเลงเต็มตัว ความจริงฉันไม่สนใจในท่าทาง

แต่ฉันก็ไม่สบายใจ กลัวจะมีเรื่องกระทบกระเทือนถึงนายฝรั่งทั้งสองที่มีพระเดชพระคุณต่อฉัน ที่ฉันเคารพนับถือ ทั้งกิริยาท่าทางของนายคนนี้ก็หยาบคายขาดความสุภาพ ไม่สมกับเป็นพี่ชายหญิงสาวชึ่งเป็นผู้มีกิริยานุ่มนวลอ่อนหวานเรียบร้อย ฉันจึงพูดไปว่า

“คุณมีธุระอะไรกับผมหรือ”

เขาตอบห้วนๆ ว่า “ธุระมีแน่ ถ้าฉันไม่มี ฉันก็ไม่ลดตัวมาหาคนอย่างแกหรอก ฉันมาที่นี่ก็จะมาเตือนแกให้รู้ไว้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายว่า ฉันห้ามแกอย่างเด็ดขาดไม่ให้ไปยุ่งกับน้องสาวของฉัน ถ้าแกไม่เชื่อคำเตือนของฉัน แกจะเจ็บตัวจำเอาไว้ อย่าได้นึกว่าฉันขู่และคนอย่างแกก็ควรดูสารรูปเสียก่อน ไม่มีปัญญาจะเลี้ยงตัวเองอยู่แล้ว บ้านช่องยังต้องอาศัยเขาอยู่ ยังบังอาจเอื้อมรักน้องสาวของฉัน มันน่าขัน เราผิดกันราวฟ้ากับดิน จำเอาไว้นะฉันไม่พูดมาก”

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 03 มิ.ย. 2009 10:30 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
พูดแล้วชายผู้นั้นเดินออกไปจากบ้านอย่างยโส ไม่เหลียวหลังมามองดูฉันอีก ฉันฟังคำพูดแล้วตะลึงและเจ็บแสบในใจฉันได้แต่ฟัง มิได้โต้ตอบประการใดเพราะทุกอย่างเป็นความจริง ฉันมันก็ยากจนจริงๆ แล้วทั้งยังมีความรักต่อสาวนวลน้อย ทั้งๆ ที่อาศัยบ้านเขาอยู่สมกับเขาดูถูกแล้ว แต่บางครั้งใครมาพูดความจริงเราก็โกรธ

แม้เราจะยากจนเราก็ไม่ต้องการให้ใครมาดูถูกว่าใส่หน้า อยากจะชกหน้าสั่งสอนคนปากโว แต่ฉันโกรธไม่ได้ เพราะฉันเห็นแก่เจ้าของบ้านที่ฉันและแม่อาศัยอยู่ ไม่อยากนำความเดือดร้อนมาสู่ผู้มีพระคุณ ที่ได้ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่เราสองคนแม่ลูกตลอดมา เป็นบุญคุณที่ล้นเหลือที่ฉันไม่สามารถจะตอบแทนได้

ฉะนั้น ฉันจึงต้องอดทนไม่อยากมีเรื่องขึ้น จึงเป็นฝ่ายนิ่งต้องหวานอมขมกลืน คิดว่าฉันจะหักใจไม่นึกถึงหล่อนและรักหล่อนอีก เพราะเรื่องที่พี่ชายหล่อนมาต่อว่า และบังคับให้ฉันอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับหล่อนเด็ดขาดเช่นนี้ ก็เห็นจะทายไว้ว่า หล่อนต้องเอาจดหมายของฉันส่งไปถึงหล่อนนั้น ไปฟ้องพี่ชาย หรือให้พี่ชายของหล่อนอ่าน

ต้นเหตุก็อย่างที่ฉันคิดนี่คงไม่ผิดแน่ เคราะห์ดีในวันที่พี่ชายของหล่อนมานั้น บังเอิญนายฝรั่งทั้งสองสามีภรรยาไม่อยู่บ้าน และคงไม่รู้เรื่องอะไร มิฉะนั้นฉันก็คงอับอายขายหน้าจนไม่อยากมองหน้าใคร เพราะฉันนึกว่ามันเป็นเรื่องบัดสี น่าอดสูใจ

คนในบ้านก็มีแม่ฉันเป็นคนซักรีด และเป็นคนใกล้ชิดนายทั้งสอง นอกจากนั้นก็ยังมีป้าแฟงเป็นคนมีหน้าที่ทำกับข้าวหรือเรียกว่ากุ๊ก และมีเด็กแจ๋วเป็นคนมีหน้าที่ยกอาหารและทำงานเช็ดกวาดหรือเป็นกุลี นอกนั้นก็ยังมีนายหมัดแขกชวาเมื่อก่อนขับรถม้าเลี้ยงม้า แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นรถยนต์แกก็ขับรถยนต์และเป็นคนทำสวน ตัดหญ้าสนาม อาหารการกินต่างหากเพราะเป็นอิสลาม ส่วนฉันเป็นผู้ช่วยเหลืองานทั่วไป ทุกคนรักใคร่เอ็นดูฉัน

นายฝรั่งทั้งสองสามีภรรยาเป็นคนดี มีความรู้ทางภาษาไทยทางหนังสือและศัพท์สูงๆ ตลอดการพูดจาอ้างเหตุผลทุกอย่างมีคติ อย่างน่าเคารพนับถือ และคอยหาเหตุผลสั่งสอนจึงทำให้คนในบ้านอยู่กันด้วยความสุขไม่เบียดเบียนกัน ต่างก็มีความเคารพนับถือรักใคร่ เพราะไม่มีคนขี้อิจฉาริษยาและอยู่กันด้วยความเห็นอกเห็นใจ ฉะนั้น ถ้าใครได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในร่มไม้ชายคาของนายฝรั่งทั้งสองแล้วก็ไม่มีใคร อยากจะไปอยู่ที่อื่น เพราะที่นี่มีความร่มเย็นเป็นสุข ทุกคนจึงมีความรักใคร่เคารพบูชาในความดีของนาย

ฉะนั้น สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดก็คือสิ่งใดที่จะทำให้นายเดือดร้อนเป็นที่กระทบ กระเทือนแล้วฉันไม่ยอมทำเป็นอันขาด และฉันคิดว่า การที่ฉันถูกพี่ชายของสาวที่ฉันหลงรักต่อว่าเอานั้น คงจะไม่เดือดร้อนถึงนาย หากฉันจะพยายามเลิกติดต่อกับหล่อน แต่แล้วเย็นวันหนึ่งนายฝรั่งกลับมาบ้าน บอกว่า “นายแม็กหลังอาหารแล้วฉันอยากจะพูดอะไรกับเธอสักหน่อย”

พอนายพูดเท่านั้นฉันก็ตกใจคิดว่า คราวนี้คงมีเรื่องแน่ นายเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะ ปลอบฉันด้วยการตบหลังเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไรร้ายแรงสำหรับเธอ มีแต่เรื่องดี”

ฉันได้ฟังเช่นนั้นก็เบาใจ เมื่อถึงเวลาฉันก็ขึ้นไปห้องชั้นบน เพื่อพบกับนายตามต้องการ นายได้ยิ้มให้กำลังใจฉันแล้วพูดขึ้นว่า “เราเห็นจะต้องสนทนากันนานสักหน่อย นั่งบนเก้าอี้ให้สบาย”

เมื่อฉันได้นั่งลงด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้ว่านายจะมีเรื่องอะไรพูด แต่ก็ยังเข้าใจที่นายรับรองว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เมื่อนายยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า

“ฉันรู้สึกว่า นายแม็กหมู่นี้มีกริยาแสดงความไม่สบายใจ ฉันจึงอยากทราบต้นเหตุที่ทำให้นายแม็กไม่มีความสบายใจเนื่องจากอะไร ถ้าฉันช่วยได้ก็บอกมาฉันยินดีจะช่วยเหลือ เพราะเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เมื่อมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นก็ควรจะได้รับรู้ อย่าปล่อยให้สายเกินไป”

ฉันได้ฟังนายฝรั่งพูดขึ้น รู้สึกว่านายได้เอาใจใส่สังเกตดูแลฉันอย่างใกล้ชิด อดที่จะนึกถึงพระคุณมิได้ฉันจึงพูดว่า “ผม ไม่รู้ว่าจะขอบคุณนายอย่างไรถูก ที่คอยเอาใจใส่ทุกข์สุขในตัวผม ทั้งให้ความอุปการะเราสองแม่ลูก ได้พึ่งบุญอยู่เย็นเป็นสุขในบ้านแล้ว ผมยังจะนำความเดือดร้อนมาสู่ผู้มีพระคุณมากผมพูดอะไรไม่ออก”

นายฝรั่งยิ้มแล้วยกมือขึ้นห้าม “นายแม็กพูดเช่นนั้นไม่ถูก ฉันอยากจะพูดว่านายแม็กเข้ามาอยู่ร่วมครอบครัวของเรานี้ ก็เพราะความดีของนายแม็กกับแม่ผู้มีความดีอยู่ในตัวเอง ทั้งแม่ของนายแม็กก็เป็นคนดีมีความซื่อสัตย์สุจริต และขยันในการงานความดีอันนี้ จึงเป็นการชักนำให้เราได้มาอยู่ร่วมกัน เพราะฉันชอบนิสัยยกย่อง นิยมผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความขยันอดทนคุณสมบัติอันนี้มีอยู่ในตัวของนายแม็กกับแม่ของเธอ ฉันจึงเกิดชอบและเกิดมีความเมตตาและสงสาร แหม่มและฉันรักเธอมาก เธอเป็นเด็กดี ฉะนั้น เธอจะไว้ใจเราได้ว่าไม่เป็นภัยกับเธอ เมื่อมีสิ่งใดเล่าบอกให้เราทราบ อย่าปิดบัง คิดว่าเธอคงเข้าใจในคำพูดของฉันดี”

เมื่อได้ยินคำพูดของนายฝรั่งผู้หวังดีและได้มาไตร่ตรองดูแล้ว จึงหักห้ามความอายและความอดสูใจ เล่าความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายฝรั่งฟังจนหมดสิ้น เมื่อนายฝรั่งฟังแล้วก็นั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอามือตบบ่าฉัน แล้วพูดว่า

“ไม่เป็นไร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรอาย และเสียหายอะไร คนไทยส่วนมากชอบคิดอย่างเดียวกัน ขอบใจที่เล่าให้ฉันฟัง”

นายฝรั่งทำท่าคิดแล้วพูดว่า “นายแม็กยังมีอายุน้อยเกินไป พวกเราฝรั่งเรียกว่ายังเด็กมาก ความคิดรับผิดชอบทางครอบครัวยังน้อยมาก แต่มากด้วยอารมณ์ที่รุนแรงเหมือนชายหนุ่มทั่วๆ ไป เมื่อรักแล้วก็มุ่งหวังจะให้ได้ตามอารมณ์ ไม่ได้คิดถึงชีวิตอนาคตว่าจะเกิดความลำบากยากแค้นติดตามมาภายหลัง เรามีแต่ความรักอย่างเดียวเห็นจะไม่รอดแน่ ฉะนั้น พวกฝรั่งก่อนที่เขาจะมีครอบครัว ก็จะต้องคิดมากคิดถึงอนาคตจะต้องมีลูก ต้องสร้างฐานะให้มั่นคงมีรายได้พอเลี้ยงครอบครัว เป็นเวลาไม่ใช่น้อย


ฉะนั้น พวกฝรั่งเราส่วนมากจึงแต่งงานกันเมื่ออายุมากแล้วไม่ต่ำกว่าสามสิบปี เพราะส่วนมากใช้เวลาที่ก่อสร้างตัวเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอที่จะเลี้ยงดูครอบ ครัวได้ตลอดไปไม่ให้รับความลำบาก ฉะนั้น ถ้านายแม็กเชื่อฉัน จงสร้างฐานะของเราให้มั่นคงก่อน มิฉะนั้นเราก็จะมองดูอนาคตไม่สดใสเราจะเสียใจภายหลังว่า ความรักอย่างเดียวไม่ทำให้เรามีความสุข มีแต่ความทุกข์

ฉันรู้ว่านายอนันท์พี่ชาย ของนางสาวนวลน้อยได้มาพูดดูถูกนายแม็ก แม้เขาพูดไปโดยไม่มีความหมาย แต่ก็ตรงความจริง อันคนจนถ้าทำอะไรเกินควรก็เป็นที่ดูถูกดูหมิ่น นายแม็กเอาไปคิดดูว่าคำพูดของฉันมีประโยชน์บ้างไหม ถ้านายแม็กเห็นจริงอย่างฉันพูดก็รีบสร้างฐานะให้มีหลักฐานเป็นปึกแผ่นเสีย ก่อน อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องมีเมีย

ถ้าอยากทำงานเพื่อสร้างหลักฐาน นายแม็กก็ต้องมีความอดทนไม่เห็นแก่ความยากลำบาก ฉันจะฝากงานแนะนำให้นายแม็กไปทำงานอยู่กับฝรั่งเพื่อนรักของฉัน เขาอยู่ทางใต้เป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัททำยางทำเหมืองแร่เป็นคนใจดี เขาเคยจดหมายมาปรับทุกข์กับฉันว่า หาคนดีๆ ใช้ไม่ค่อยได้

เขาเคยขอให้ฉันหาคนดีๆ มีความรู้และซื่อสัตย์สุจริตขยันและมีความอดทน เขาว่าถ้าได้คนอย่างนี้สำหรับเงินเดือนเขาบอกว่าไม่ต้องพูดถึงเขาจะ จ่ายอย่างงาม ฉันว่านายแม็กเหมาะสมกับงานนี้มาก เพราะมีทุกสิ่งที่เขาต้องการ คิดว่านายแม็กไปอยู่ ๔-๕ ปี ก็คงจะมีหลักฐานทั้งตัวได้ คิดดูให้ดี ถ้าสนใจบอกให้ฉันรู้”

เมื่อฉันได้มาคิดดูคำพูดของนายฝรั่งแล้ว ล้วนแต่มีเหตุผลที่จะชักนำไปทางที่ดี เมื่อหวนไปคิดถึงความรักว่าหากฉันจะหุนหันพลันแล่น สมมุติว่าได้ตัวหล่อนมาเป็นคู่ครองแล้วหากเป็นไปได้ หากได้อยู่ด้วยกันเมื่อไม่มีเงินมีทองจะเลี้ยงดูกันเราคงไปไม่รอด ฉันคิดทบทวนดูหลายครั้งหลายหน ความรักที่ไม่มีเงินจะใช้จ่ายพอที่จะบำรุงบำเรอการครองชีพ เป็นความรักที่ต้นไม่โปร่งไม่ถาวรยั่งยืน ต้องเกิดความทุกข์ภายหลังแน่นอน แม้จะรู้เช่นนี้ฉันยังตัดสินใจไม่ถูก

แม่ของฉันก็ได้ถามว่า “นายพูดอะไรกับลูกบ้าง” ฉันได้เล่าให้แม่ฟังถึงเรื่องนายชี้แจงเหตุผลให้ฉันนำมาคิด

แม่จึงพูดว่า “นายฝรั่งท่านมีความรู้ จะพูดอะไรแล้วย่อมมีเหตุผล ฉะนั้น ควรจะเชื่อถือเป็นครูบาอาจารย์ ทำตามคำของท่านเพราะเป็นความหวังดีและเป็นผู้มีบุญคุณต่อเรามาก แม่อยากให้ลูกพิจารณา อย่าชิงสุกก่อนห่ามอย่างโบราณว่า ถ้ามีความรักอย่างเดียว แต่ท้องมันหิวเราก็หาความสุขมาไม่ได้”

ฉันฟังแม่พูดแล้วก็นิ่ง เป็นธรรมดาหนุ่มสาวเอาแต่อารมณ์ถือความรักเป็นอมตะ แม้มีความรักแล้วแม้จะอยู่ร่วมกันจะยากจนกัดก้อนเกลือกินกับข้าว ก็คิดว่ามีความสุขสมกับว่าความรักทำให้ตาบอด ไม่ลืมหูลืมตางมงายกล้าเอาชีวิตอนาคตเป็นเดิมพันเป็นการเสี่ยงภัย ฉันเองก็เคยคิดถึงความรักและความสุข เห็นหล่อนสวยงามหยดย้อยที่สุดในชีวิต คิดว่าหากจะได้อยู่ร่วมห้องกับหล่อนเพียง ๗ วัน แม้ตัวจะตายก็สุขใจเป็นความหลงใหลงมงายในความรัก

บัดนี้ฉันรู้สึกเหมือนตื่น จากความฝัน เมื่อมีผู้มาปลุกให้ตื่นจากความฝัน เมื่อมีผู้มาปลุกให้ตื่นจากความงมงาย รักษาตาให้หายบอด มองเห็นเหตุผลแจ่มแจ้งจากภัยอนาคตที่จะเกิดขึ้น สำหรับผู้ยังไม่พร้อมที่จะมีครอบครัว ขาดสิ่งส่งเสริมความสุข ฉันจึงได้พยายามหักใจที่จะลืมหล่อน เพื่อชีวิตในอนาคตที่ฉันจะก่อตั้งหลักฐานมั่นคง เป็นหลักประกันก่อนที่จะมีครอบครัว และเดินทางไปผจญชีวิตตามที่นายฝรั่งได้แนะนำ จึงอยู่ในระหว่างตัดสินใจ ฉันได้จำคำเตือนเป็นหลักไว้สองคำ “จงพยายามตั้งหลักฐานให้มั่นคงก่อนจะมีครอบครัว” และ “อย่าชิงสุกก่อนห่าม”

วันต่อมาฉันได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เป็นจดหมายของนางสาวนวลน้อยที่ฉันหลงรัก ควรจะเป็นจดหมายที่ฉันตื่นเต้นดีใจ เพราะเป็นจดหมายฉบับแรกในชีวิตของฉัน ที่ได้รับจากหญิงที่ฉันรักและหลงใหลใฝ่ฝันถึงแทบจะไม่เป็นอันกินอันนอน แต่บัดนี้ความดีอกดีใจนั้นได้ลดน้อยถอยลง ไม่มากเท่าที่ควร ฉันยั้งความรู้สึกไว้เพราะคำเตือนของนายฝรั่งที่ว่า “ควรสร้างหลักฐานให้มั่นคงเสียก่อนค่อยมีครอบครัว” และคำเตือนของแม่ก็บอกว่า “อย่าชิงสุกก่อนห่าม”

ฉันได้พิจารณาดูตัวเองแล้ว ฉันยังไม่พร้อมที่จะมีภรรยา ไม่พร้อมที่จะต้อนรับเหตุการณ์ เพราะฉันยังยากจนไม่มีหลักฐาน ฉันขืนตามใจตามอารมณ์ตัวเองก็เท่ากับทำลายวิถีชีวิตในอนาคตที่จะรุ่งเรือง ต่อไป ให้อับเฉาย่อยยับลงไปความรักที่ร้อนแรง เมื่อแรกๆ ก็ค่อยๆ เย็นลงเพราะนึกถึงฐานะ ถึงเช่นนั้นก็ยังรู้สึกดีใจมากที่สุดในชีวิต ในจดหมายมีใจความตอนหนึ่งว่า

“.....ฉันรู้สึกเสียใจที่พี่อนันท์ได้ไป หาคุณ กล่าวคำที่ไม่สุภาพตามนิสัยของเขา ฉันเพิ่งจะรู้ และฉันไม่ทราบว่าเขาละลาบละล้วง เอาจดหมายฉันซุกซ่อนไว้ไปอ่านได้อย่างไร การมาของพี่อนันท์นั้น ฉันไม่รู้เห็นด้วยเลย เมื่อฉันทราบว่าพี่อนันท์ได้ไปหาคุณ และแสดงกิริยาเกรี้ยวกราดต่อคุณซึ่งไม่บังควร ทำให้ฉันเกิดความสงสารคุณขึ้นมา ต้องขอโทษที่ฉันไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน

ฉันชอบที่คุณเล่าความจริงให้ฟังไม่มีอะไรปิดบัง ชายอย่างคุณนี้หาได้ยาก มีแต่พวกที่คอยหลอกลวงอวดอ้างเป็นใหญ่เป็นโต อุดมด้วยทรัพย์สินเงินทองเป็นส่วนมาก นี่คุณเป็นคนพูดตรงไปตรงมาอย่างนี้ ถ้าเป็นคนอื่นฉันไม่รู้ใจเขา แต่สำหรับฉันขอรับสารภาพว่าฉันชอบชายชนิดนี้ เพราะเป็นคนเข้มแข็งอดทนต่อความลำบาก

แต่คนเราก็ต้องมีหลักประกันความสุขสบายในอนาคต ฉะนั้น อยากจะขอร้องให้คุณพยายามใช้ชีวิตเพื่อสร้างหลักฐานให้มั่นคง ได้ทราบว่าคุณก็ยังหนุ่มมากทั้งมีวิชาความรู้พอที่จะประกอบการงานเป็นหลัก ฐานได้ จงใช้เวลาอดทนสักพักไม่นาน ก็คงจะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากมองดูโลกได้เต็มตา เมื่อนั้นแหละทุกสิ่งทุกอย่างที่มุ่งหวังก็จะสำเร็จเรียบร้อยตามความปรารถนา ของคุณ


ฉันจะภาวนาเอาใจช่วย คุณคงจะเห็นด้วย คนเราส่วนมากถือเงินเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ในชีวิตสำหรับผู้หญิงในโลกนี้ ส่วนมากเห็นใครยากจนก็มีแต่ความกล่าวร้ายนินทา ถ้าดีเกินไปก็เกิดความอิจฉาริษยา มันเป็นธรรมดาของโลกที่ห้ามกันไม่ได้ ฉะนั้นขอให้สร้างตัวคุณเองและเพื่ออนาคต.....”

เมื่อฉันได้อ่านแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งอัศจรรย์อย่างประหลาด เพราะฉันได้ถูกคนแนะนำสั่งสอนคราวเดียวกันตั้งสามคน แต่แล้วฉันก็ไม่มีโอกาสได้พบเห็นหญิงสาวข้างบ้านอีกเลย แม้จะคอยจ้องมองเช้าเย็นกลางคืน เห็นจะเป็นเพราะผู้ปกครองไม่ยอมรับกลับมาบ้านอีก เมื่อได้ทราบว่าเราจะมีการติดต่อกัน แม้ว่าฉันจะหักใจแล้วก็ตาม เมื่อได้รับจดหมายก็อดที่จะคิดถึงหล่อนมิได้ ที่สุดฉันก็ตกลงใจเดินทางไปทำงานภาคใต้ ตามที่นายฝรั่งได้ช่วยเหลือฝากฝัง และมีจดหมายของนายแนะนำติดตัวไปด้วยก่อนที่จะเดินทาง นายฝรั่งแสดงความยินดีกับฉันว่า

“นายแม็กเธอเป็นคนดีมาก ถ้าฉันมีลูกสาวฉันยกให้เธอเลย”

ชีวิตทางภาคใต้ ฉันได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้จัดการที่เป็นฝรั่ง ฉันได้รับความไว้วางใจในกิจการงานอย่างดีคล้ายกับฉันได้เคยทำงานอยู่ร่วมกัน นานปี ฉันมีรายได้งดงาม ฝรั่งผู้จัดการได้เล่าให้ฉันฟังภายหลังว่าเขาได้รับจดหมายยกย่องความซื่อ สัตย์มั่นคง และความขยันของฉันโดยนายฝรั่งเป็นผู้เขียนฝากฝังมา เขาจึงพอใจมากเพราะผู้เขียนจดหมายแนะนำสนับสนุนมานั้นเป็นคนดีเชื่อถือได้ ฉะนั้นไม่มีอะไรสงสัยเขาจึงปฏิบัติต่อฉันเหมือนคนรู้จักกันมาก่อน ไม่ใช่คนใหม่หรือคนแปลกหน้า ฉันเป็นหนี้บุญคุณนายฝรั่งสองสามีภรรยาอีกเปลาะหนึ่ง

การงานของฉันได้ดำเนินไปอย่างพอใจ ไม่ช้าฉันก็เรียนรู้กิจการงานในหน้าที่อย่างช่ำชอง ฉันเอาใจใส่มุ่งหวังสร้างฐานะ เมื่อฉันได้เงินก็นำไปลงทุนหาผลประโยชน์ที่มองเห็นว่าจะมีผลรุ่งเรืองต่อไป ทำให้เกิดเพิ่มพูนทรัพย์สิน ทั้งผู้จัดการฝรั่งเป็นผู้ช่วยเหลือให้ความเมตตากรุณาฉันไม่ผิดกับนายฝรั่ง สองสามีภรรยา ทำให้ฉันลืมตาอ้าปาก มองดูโลกได้อย่างเต็มตาไม่น้อยหน้าใคร

ฉันไม่ต้องห่วงแม่ เพราะนายฝรั่งได้ให้ความสุขสบายอย่างเพียงพอ และทราบข่าวว่าระยะหลังนี้ แม่ไม่ต้องลำบากในการซักรีดเพราะนายฝรั่งได้หาคนมาทำแทน ยกแม่ขึ้นเป็นแม่บ้านผู้ดูแลทั่วไป ฉันจึงนึกภาวนา นึกถึงพระคุณของนายฝรั่งผู้มีคุณธรรมสูงบางครั้งฉันนึกถึงพระคุณ อันนี้แล้ว ฉันก็น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

วันเวลาได้ผ่านไปปีแล้วปี เล่า ฉันเป็นคนโชคดีความซื่อทำให้ฉันมีตำแหน่งสูง การลงทุนก็เกิดประโยชน์มากมาย แต่ฉันไม่ได้ทราบข่าวจากนวลน้อยเลย ทางบ้านก็ไม่มีใครสืบทราบว่านวลน้อยเรียนสำเร็จแล้วไปอยู่ที่ไหน แต่แล้วฉันได้ทราบข่าวต่อมาอย่างน่าเศร้าใจว่า ตึกหลังใหญ่ที่นวลน้อยเคยอยู่ เขาจะขายทอดตลาดพร้อมทั้งทรัพย์สินในบ้าน ฉันตกใจมาก ฉันจึงตกลงจะรับซื้อตึกหลังนั้นพร้อมกับที่ดิน แม้จะราคาสูงเท่าใด

ฉะนั้น ฉันจึงมอบตัวแทนซึ่งเป็นทนายความจัดการตกลงซื้อตึกรายนี้ให้ได้จากธนาคารผู้ รับจำนอง ในนามของฉันใช้ชื่อว่า “อัมพร” ฉันไม่อยากให้ใครทราบว่าฉันเป็นผู้ซื้อ โดยฉันไม่ต้องเดินทางมากรุงเทพฯ ด้วยตนเอง การทั้งนี้นายฝรั่งผู้จัดการได้ช่วยเหลือทั้งสิ้น ฉันคิดว่าเมื่อได้ซื้อตึกหลังนี้ไว้แล้ว การค้นหานางสาวนวลน้อยก็คงไม่ยากนัก


แต่ฉันรู้สึกสลดใจมากที่ครอบครัวที่มั่งคั่งบริบูรณ์ด้วย ทรัพย์สินสมบัติ แต่ต้องมาจากบ้านอันโอ่อ่า เคยให้ความสุขตลอดมา คิดแล้วก็เศร้า มนุษย์เราเกิดมาไม่มีอะไรแน่นอน มั่งมีแล้วก็จน คนยากจนแล้วก็มั่งมีไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ย่อมจะเปลี่ยนแปลงตามกรรมแห่งตนที่ประกอบขึ้น

ในที่สุดตึกพร้อมที่ดินหลังนั้น ก็โอนกรรมสิทธิ์ในนามจริงของฉัน ตามที่ได้มอบฉันทะให้ทนายเป็นที่เรียบร้อยโดยจ่ายเงินให้ธนาคารตามเรียกร้อง ตกลงตามราคาเท่าที่ทางเจ้าหน้าที่และลูกหนี้ได้ตกลงปรองดองกัน นอกจากนั้นฉันได้สั่งให้ขอซื้อของในบ้านทั้งหมดเท่าที่มีเป็นเครื่องเรือน และเครื่องประดับห้อง และไม่ให้เคลื่อนย้ายสิ่งเหล่านั้นผิดจากที่เดิม เพราะยอมทุ่มเทด้วยอำนาจเงินทุกสิ่งตามรายการถึงเรียบร้อยตามที่ฉันต้องการ สั่งไว้ทุกประการ

สิ่งที่ฉันสมใจมากก็คือ ห้องสีตองอ่อนนั้นไม่ให้โยกย้ายสิ่งใดทั้งหมดเป็นอันขาด โดยเฉพาะเปียโนที่ฉันอยากได้ที่สุด เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ระลึกถึงหญิงคนรักที่ฉันไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน แม้ฉันจะใช้คนออกสืบหานวลน้อยแทบจะพลิกแผ่นดินก็ยังไม่ได้ข่าว

ต่อมา ฝรั่งผู้จัดการเหมืองแร่และสวนยางจะต้องกลับเมืองนอกตามสัญญา ฉันมีความอาลัยรักแก นับแต่แรกที่มาถึง ฉันได้รับความช่วยเหลือทุกสิ่งทุกอย่างตลอดมา นับว่าเป็นผู้มีพระคุณผู้หนึ่งที่ฉันลืมไม่ได้และแกก็มีความรักใคร่อาลัยฉัน และเพื่อนๆ ร่วมงานไม่น้อย แกบอกว่าหากมีโอกาสแกจะกลับมาเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง แกมีความรักเมืองไทยและคนไทยมาก

เราจึงจากกันด้วยความสุดแสนจะอาลัย คนงานมีทั้งชาวไทยและมลายู และชาวจีน และชาวสิงคโปร์ ต่างก็มีความเสียดายอาลัยรักแกทุกคน ตลอดทั้งกุลีเพราะแกเป็นคนไม่ถือตัว แกจับมือลาทุกคนด้วยน้ำตาคลอและทุกคนก็อดกลั้นน้ำตาไม่ได้ สำหรับฉันเอง ขอสารภาพว่าฉันร้องไห้ แต่ฉันใส่แว่นตาดำจึงปกปิดได้บ้าง คนดีอยู่ที่ไหนจะจากไปก็มีคนรักและอาลัยเสียดายผิดกับคนใจชั่ว แกบอกว่าถ้าไม่จำเป็นแล้วจะไม่ขอจากเมืองไทย

ชีวิตของฉันในตอนนั้นก็พอจะเป็นหลักฐานการลงทุนหลายทาง ฉันจึงไม่จำเป็นที่จะอยู่ปักษ์ใต้ เพื่อทำงานเป็นลูกจ้างต่อไป แม้รายได้ของฉันในบริษัทจะได้มาก พร้อมทั้งเงินโบนัสแต่ละปีได้ไม่น้อยก็ตาม แต่เมื่อผู้จัดการคนเก่าซึ่งเป็นที่รักใคร่นับถือของฉันได้กลับประเทศบ้าน เกิดเมืองนอนแล้ว

ฉันเกิดเหงาใจเสียดายคนดี ทำให้เบื่องานไม่อยากเป็นลูกจ้างต่อไป จึงได้ลาออกจากงานมาดูแลกิจการค้าส่วนที่ฉันลงทุนไว้มากมาย บัดนี้ก็เป็นล่ำเป็นสันเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแล้วและมีรายได้ไม่น้อย ฉันจึงมอบหน้าที่ให้เพื่อนที่เคยร่วมงานกันมาก่อน เป็นผู้จัดการดูแลผลประโยชน์แทน เพราะฉันเลือกแล้วว่าเป็นคนชื่อตรงไว้วางใจได้

ส่วนตัวฉันขอกลับมาอยู่กรุงเทพฯ และเข้ามาอยู่ในตึกที่ซื้อไว้ เพื่อให้ชีวิตเมื่อได้สร้างหลักฐานมั่นคงแล้วโดยใช้ชื่อว่า “อัมพร” ชายโสดผู้มั่งคั่งโดดเดี่ยว จริงอย่างนายฝรั่งว่าถ้าเรามั่งมีเงินทองมีหลักฐานมั่นคง ก็ย่อมเป็นสิ่งที่สนใจของหญิงสาวและไม่สาว และผู้ปกครองของหญิงสาวทั่วไป

ฉะนั้น หลังจากฉันได้มาอยู่กรุงเทพฯ ชื่อเสียงดีจึงมีพวกพ่อสื่อ แม่สื่อ แม่ชัก มากคนด้วยกันคอยจะชักนำผู้หญิงสาวๆ สวยๆ และบางคนก็เป็นหม้าย บางคนก็มีลูกติดแล้วแต่จะประสงค์อย่างใด แต่ฉันเองไม่เคยสนใจใคร พวกแม่สื่อพ่อสื่อล้วนแต่มาพูดจายกย่องสรรเสริญคุณงามความดีหญิงคนนั้นสวย งามมากมีความรู้ดี พ่อแม่มีชื่อเสียง มีหลักฐานดีต้องการแต่งงานกับคนดีๆ ฉันก็ไม่เคยสนใจ จนฉันเกิดความรำคาญพวกแม่สื่อพ่อสื่อเหลือทน

จึงประกาศออกไปว่าฉันจะไม่ ยอมแต่งงานกับหญิงเคยมีสามีมาแล้ว หรือหญิงหม้ายลูกติดในชาตินี้เป็นอันขาด ของดอย่าได้แนะนำมาอีก นอกจากฉันจะขอแต่งงานกับหญิงที่มีชื่อว่า "นวลน้อย" เท่านั้น ถ้าใครหาที่อยู่ของหล่อนมาได้ ฉันจะให้รางวัลอย่างงามที่สุด การประกาศออกไปเช่นนี้ ทำให้ฉันพ้นความรำคาญไปมาก แต่ก็มีพวกแม่สื่อหาหญิงสาวสดงดงามและทรวดทรงองค์เอวสมส่วน บอกว่าชื่อนวลน้อย ซึ่งฉันอยากจะหัวเราะเพราะมันไม่ใช่ตัวจริง


เห็นจะเปลี่ยนเสียตอนที่จะพามาหาฉันให้ดูตัว คงจะคิดว่ารูปร่างสวยงาม ท่าทางของหญิงสาวนั้นจะทำให้ฉันเปลี่ยนใจเพราะความสวยงาม รูปร่างท่าทางมีเสน่ห์ย่อมจะทำให้จิตใจชายหนุ่มอารมณ์รุนแรง ปั่นป่วน เปลี่ยนแปลงจิตใจไปได้ง่าย แต่ฉันเป็นคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนจิตใจง่าย ตามความรู้สึกของพวกแม่สื่อ ฉะนั้นจึงผิดหวัง คงได้เพียงค่ารถเล็กๆ น้อยๆ รู้สึกว่าพวกนี้ไม่มีความอาย ความกระดาก ซึ่งคงจะไม่เข็ดที่เอาหญิงสาวมาย้อมชื่อเพื่อหวังประโยชน์ต่อไป
วันหนึ่ง ฉันกำลังนอนฝันถึงชีวิตอยู่ในห้องสีตองอ่อน ชั้นบนเป็นห้องที่นวลน้อยเคยอยู่มาก่อนที่ฉันเคยเห็นเมื่อครั้งฉันยากจน คนใช้ขึ้นไปบอกมีผู้อยากจะพบคุณอัมพร ฉัน จึงสั่งให้นำเขาขึ้นมาพบฉันบนห้อง แต่พอเขามาเห็นหน้าฉัน ก็ตกตะลึงเหมือนผีหลอกหัวใจแทบจะหยุดเต้นแล้วเดินกลับ แต่ฉันได้เรียกร้องให้แกนั่งลงด้วยกิริยาวาจาสุภาพ

เขาผู้นั้นคือคุณอนันท์พี่ชายนวลน้อย แกจึงนั่งอย่างเสียไม่ได้ก้มหน้านิ่งอย่างอายๆ แต่ฉันพยายามทำให้แกหายกลัวหายกระดากอาย ความเย่อหยิ่งจองหองเมื่อแกได้พบฉันครั้งแรกที่บ้านนายฝรั่งนั้น หายไปหมดไม่มีเหลือ

ฉันถามแกว่า “คุณมาหาผมมีธุระอะไรหรือ ?”

แกตอบฉันว่า “เปล่าครับ ผมตั้งใจจะมาทำความรู้จักกับผู้ซื้อบ้านผมไว้ ชื่อคุณอัมพร แต่- แต่ผมไม่นึกว่าจะเป็นคุณเมฆ”

ฉันได้ชี้แจงเหตุผลแล้ว สั่งคนหาน้ำและเครื่องว่างมาเลี้ยง เพื่อเอาใจให้แกหายกระดากอายตื่นกลัว อยากให้แกเป็นกันเองมากขึ้น แต่เมื่อนึกได้ว่าแกคงเป็นคนชอบสุรา จึงกระซิบสั่งคนในบ้านจัดหาสุราอย่างดีและโซดามาพร้อมเพื่อรับรอง ไม่ช้าทุกสิ่งทุกอย่างก็พร้อม เหล้าต่างประเทศ โซดา อาหารยกมาตั้งโต๊ะตรงหน้าแก ฉันจึงเชิญให้แกดื่มกินเป็นกันเองไม่ต้องเกรงใจ ให้ถือว่าบ้านนี้เป็นบ้านของแกอย่างเดิม ในไม่ช้าเมื่อแกดื่มหน้าตึงๆ แล้ว ความเกรงกลัวกระดากแต่ต้นๆ ก็ค่อยๆ คลายลง

ฉันจึงถามเหตุที่ต้องเสียบ้าน ได้ความจริงว่า การที่แกยากจนลงต้นเหตุเพราะแกคนเดียวเป็นผู้ทำลาย เพราะภายหลังจากผู้ใหญ่ได้สิ้นบุญลง ทรัพย์สินก็ตกอยู่ในมือแกเป็นผู้ดูแลจัดการมรดก ซึ่งน้องสาวของแกมีหุ้นอยู่ในทรัพย์สิน หากแต่การประพฤติของแกอยู่ขั้นนักเลง ทั้งสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร พร้อมกันนั้นทรัพย์สินก็ถูกทำลายลงด้วยการเสียพนันหามรุ่งหามค่ำเป็นส่วนมาก เพราะแกไม่เคยทำมาหากินให้เป็นหลักฐานเหมือนคนอื่น

ครั้งสุดท้ายแกได้นำตึกและที่ดินสิ่งก่อสร้างไปจำนองทางธนาคาร เพื่อจะได้เงินจำนวนมากไปลงทุนค้าของต้องห้าม คือ ฝิ่นเถื่อนตามคำแนะนำของพวกเพื่อนนักเลง แกก็มองเห็นแต่ทางได้ที่มีผู้ซื้อขายลงทุนน้อยแต่ขายได้กำไรหลายเท่าตัว แกมุ่งมองเห็นแต่กำไรอย่างเดียว

สิ่งใดเป็นของต้องห้ามผิดกฎหมายนั้น ย่อมจะเสี่ยงภัยอันตรายหลบหลีกด้วยความลำบาก ไม่ใช่จะสะดวกสบายอย่างการค้าธรรมดา ทั้งแกเป็นคนหน้าใหม่แต่หวังร่ำรวยในทางผิด คิดว่าการซื้อมาขายไปง่าย ที่สุดแกก็ถูกหักหลังด้วยการที่ผู้ขายฝิ่นให้แกนั้นเป็นผู้รับสินบนนำตำรวจ จับฝิ่นของแกเพื่อหวังเงินรางวัลอีกต่อหนึ่ง ซึ่งทำให้ลูกน้องกำลังลำเลียงลงมาจากภาคเหนือถูกจับถูกริบของกลาง

ที่สุดก็หมดทั้งลูกน้องก็ต้องรับเคราะห์ถูกจองจำแทนตัวแก ตึกที่จำนองไว้ทางธนาคารก็หมดปัญญาที่จะไถ่ถอนคืนรวมทั้งดอกเบี้ยก็ไม่ สามารถจะส่งให้ธนาคารได้ตามกำหนด ดอกทบทุนก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ที่สุดก็ขายทอดตลาด ทรัพย์สินเท่าที่มีอยู่แกก็หมดตัว และ ทำให้น้องสาวผู้ไม่รู้ไม่เห็นก็พลอยรับเคราะห์ไปด้วย ฉันทราบความจริงจากปากคำเล่าอย่างละเอียดแล้วก็เศร้าสลดใจ นึกถึงน้องสาวนวลน้อย ป่านนี้จะได้รับความลำบากอยู่แห่งใดก็ไม่รู้ ฉะนั้น จึงมอบเงินจำนวนหนึ่ง พอที่จะช่วยเหลือการครองชีพของแกได้นาน

ทั้งๆ ที่แกกำลังเมา แกก็ตกตะลึงที่แกไม่เคยนึกว่าคนอย่างฉันที่แกเคยดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามว่า เป็นคนต่ำคนจนคนยาก ซึ่งบัดนี้คนผู้นั้นไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว ยังกลับมอบเงินจำนวนหนึ่งพอจะทำให้แกสบายไปได้อีกนาน แกตื่นเต้นดีใจจนร้องไห้ออกมาตามภาษาคนเมา แกยกบุญยอคุณว่า ฉันเป็นคนใจดีที่ไม่เคยถือโกรธเรื่องเก่าๆ ช้ำยังมอบเงินให้อีก ซึ่งเป็นบุคคลที่ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ฉันจึงบอกให้ลืมเรื่องเก่าๆ และทั้งแกก็มีส่วนช่วยเหลือทางอ้อมที่ทำให้ฉันเกิดมานะอดทนในการสร้างหลัก ฐานจนเป็นปึกแผ่น

ที่สุดจุดสำคัญฉันก็ถามถึงนวลน้อย หญิงที่ฉันใฝ่ฝันถึงทุกคืนทุกวัน อยากทราบความเป็นอยู่ เมื่อถามแกแล้วรู้สึกแกนิ่งอึ้งไม่ยอมให้ความกระจ่าง ไม่บอกให้ทราบว่าเวลานี้น้องสาวของแกเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน ซึ่งฉันอยากพบ ฉันพยายามเซ้าซี้แก แต่แกขอเวลาให้แกไปถามความเห็นจากน้องสาวเสียก่อน แล้วแกจะได้พาฉันไปพบ แต่แกยังมีความเกรงใจน้องสาวอยู่จึงไม่กล้ารับปาก

ฉันคิดว่าน้องสาวคงตกอยู่ในความลำบากไม่แพ้แกเป็นแน่ ฉะนั้น ฉันจึงเขียนเช็คใบสั่งจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเข้าบัญชีในนามของนางสาวนวลน้อย เพื่อนำไปฝากไว้ในธนาคารไว้ใช้จ่าย และพี่ชายแกก็ยินดีไปมอบให้น้องสาวต่อไป และรับรองว่าจะหาให้พบกับน้องสาวของแกภายหลัง บอกน้องสาวให้รู้ ซึ่งฉันก็มีความพอใจ คอยให้ถึงเวลานั้นด้วยความกระวนกระวายใจ

ภายหลังที่ได้พบกับนายอนันท์แล้ว ฉันก็พยายามคอยที่จะพบนายอนันท์ด้วยจิตใจตื่นเต้นและจดจ่อ การหายไปของนายอนนท์ที่ผิดกำหนดที่นัดไว้นั้นทำให้ฉันหมดความสุข เพราะนายอนันท์เป็นกุญแจที่ไขประตูพาให้ใปพบกับเจ้าหญิงในฝันของฉันที่ไม่ เคยลืมเลย แม้บัดนี้ฉันจะอยู่ในห้องที่เธอเคยอยู่ เคยเล่นเปียโน เคยนอนเตียงที่เธอเคยนอน

ฉันคอยๆ เจ้าของห้องที่จะมาอยู่อย่างเดิมและมาดีดเปียโน ฉันจะนั่งคอยฟังเสียงเพลงอันไพเราะ ในยามเดือนหงายแจ่มกระจ่างท้องฟ้า เสียงเพลง “ลาวดวงเดือน” ฉันได้แต่ฝันไม่ทราบว่าเมื่อไรจะสมตามความหวัง แต่แล้วเหตุการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน ก็คือเช้าวันหนึ่งฉันได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวสำคัญประจำวันว่า

นายอนันท์ได้ถูกคนร้ายใช้ตะไกรขาเดียวแทงบาดเจ็บสาหัส และได้ถึงแก่กรรมลงที่โรงพยาบาล ก่อน ที่จะให้การสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่คงจะมีการอาฆาตทำลายล้างด้วยฝีมือ อั้งยี่ และก่อนถูกแทงนายอนันท์ได้ดื่มสุราเมามายจึงได้พบจุดจบที่ตรอกโรงโคม ข่าวนี้ทำให้ฉันตัวเย็นชาหมดความหวังที่จะพบกับหญิงที่รักก็ได้ถูกทำลายลง อีกครั้งหนึ่ง ฉันมารำพึงแก่ตัวเองว่า

“ทำไมฉันจึงได้อาภัพรักนะ กรรมใดที่ฉันเคยสร้างมาแต่ชาติก่อน ได้ตามมาทำลายฉันในชาตินี้”

แต่แล้ววันหนึ่งฉันได้รับจดหมายลงทะเบียน ซึ่งจำได้ไม่ผิดว่าเป็นของนวลน้อยสาวคนรักของฉัน จึงเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาทันที แต่เมื่อเปิดออกมาก็พบเช็คใบสั่งจ่ายเงินให้ในนามของนวลน้อย ซึ่งมอบให้นายอนันท์ไปให้นั้นกลับคืนมาให้ ความหวังที่จะถามธนาคารถึงตำบลที่อยู่ของนวลน้อย เมื่อนำเข้าบัญชีก็เป็นอันล้มเหลวลงอีก เพราะได้ถูกคืนมาทั้งจดหมายบางตอนที่ถูกคัดมานี้ ก็ได้แสดงแจ่มแจ้งถึงเหตุการณ์ต่อไปได้ดี คุณเมฆหรือคุณอัมพรที่ดิฉันเคารพบูชาด้วยดวงใจอันบริสุทธิ์


เมื่อ ดิฉันได้ทราบจากปากคำของพี่อนันท์ ทำให้ฉันต้องเสียน้ำตา เพราะตื้นตันใจในความเป็นสุภาพบุรุษเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมอันสูง ผู้มีจิตใจแน่วแน่หนักแน่น หากดิฉันเป็นเด็กสาวคนเดิม ดิฉันจะเข้าไปกราบเท้าแล้วมอบกายมอบชีวิตจิตใจที่บริสุทธิ์ให้อยู่ในวงแขน อันอบอุ่น จิตใจอันเข้มแข็งสมเป็นลูกผู้ชายของคุณตราบเท่าดินฟ้าสลาย

ดิฉันคิดว่าคงมีความสุขยากที่หญิงใดจะเท่าเทียมได้ เพราะผู้ชายได้บากบั่นสร้างตัวขึ้นมาเทียมหน้าเทียมตาของสังคม ต้องมีจิตใจเข้มแข็งอดทนจิตใจสูง หากหญิงใดได้มีโอกาสอยู่ในวงแขนชายเช่นนี้ ย่อมจะเกิดสุขทางกายและใจเหมือนเทพนิยาย นับว่าเป็นบุญกุศลอันสูงส่ง ดิฉันไม่ใช่เป็นคนที่บูชาเงิน บูชาเกียรติและอำนาจ แต่ดิฉันบูชาความดีความอดทนซื่อสัตย์

แต่บัดนี้ดิฉันเสียใจที่ไม่มีคุณสมบัติเด็กสาวที่คุณเคยพบนั้นเหลืออยู่ใน ตัวดิฉันอีกเลย และเป็นหญิงที่ไม่มีความสาวติดอยู่ในตัว เป็นหญิงที่มีราคีคาวไม่ควรกับคุณผู้สูงด้วยจิตใจ ดิฉันเขียนจดหมายถึงคุณฉบับนี้ ดิฉันต้องเสียน้ำตาและต้องหยุดหลายครั้งหลายคราว กว่าจะเขียนได้แต่ละคำต้องสะอื้นในทรวงอกต้องกลืนน้ำตายั้งจิตใจ

เมื่อได้ทราบว่าคุณได้รับซื้อตึก และที่ดินเครื่องใช้ในบ้านทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรอคอยหญิงในดวงใจของคุณ เพื่อครองรักที่บ้านซึ่งดิฉันได้เติบโตมาแต่อ้อนแต่ออก อยู่ด้วยความสุขสบายแต่เล็กจนเติบใหญ่ หากดิฉันยังเป็นเด็กสาวที่คุณพบครั้งแรกแล้ว ดิฉันจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในชีวิต

แต่บัดนี้ดิฉันไม่บริสุทธิ์สมควรแก่คุณเหมือนก่อน ซ้ำยังมีบุตรชายหญิงอีก ๒ คน กำลังจะเติบโตภายหน้า ทั้งดิฉันยังเป็นหม้ายสามีถึงแก่กรรม และต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างเป็นครูสอนหนังสือ มีชีวิตหาความสุขแม่ๆ ลูกๆ ไปวันหนึ่งๆ ในสภาพของหญิงที่ต้องเลี้ยงตนเองและลูกน้อย

แต่มันก็ ไม่ใช่ความผิดของฉันหรือของใคร มันเป็นกรรมของเรา จึงได้พาชะตาชีวิตมาสวนทาง ฝ่ายหนึ่งขึ้นไปสู่ความมั่งคั่ง อีกฝ่ายหนึ่งลงไปสู่ความตกต่ำ ไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อดิฉันได้รับจดหมายของคุณฉบับแรก ดิฉันรู้สึกเห็นอกเห็นใจคุณมาก และเมื่อทราบว่าพี่อนันท์ได้ไปแสดงกิริยาหยาบคายตามนิสัยของแก แต่คุณมีความอดทนนิ่งฟังไม่โต้ตอบ ทำให้ดิฉันแสนจะสงสารคุณจนพูดไม่ถูก

ทั้งที่เวลานั้นดิฉันไม่มีอิสระในตัวเองเพราะผู้ปกครองท่านได้หมั้นดิฉันไว้ กับชายผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นลูกชายเพื่อนรักของท่าน ทั้งๆ ที่ดิฉันก็ไม่เคยรู้จักเห็นหน้าตาของชายผู้นั้นมาก่อน ผู้ใหญ่ย่อมจะเห็นว่าความรักใคร่ไม่เป็นสิ่งสำคัญ เมื่ออยู่กันไปก็คงจะรักใคร่กันเอง ท่านไม่รู้ว่ามันขมขื่นทรมานทางจิตใจเพียงไร ที่มีชีวิตเหมือนวัตถุเดินได้

เหมือนตนเองไม่มีสิทธิ์ในตัวเอง เมื่อดิฉันได้รับจดหมายของคุณก็เกิดความสงสารว่าเป็นผู้ที่ซื่อตรง จะบอกความจริงว่าตัวเองหมดอิสระทางร่างกาย ก็กลัวคุณจะเสียกำลังน้ำใจอาจทำลายอนาคตของคุณลงได้ และก็มิได้หลอกลวงให้คุณเข้าใจผิด เพียงแต่ส่งเสริมให้คุณเมื่อมีกำลังใจที่จะอดทนสร้างฐานะให้มั่นคงต่อไป แต่ส่วนจิตใจยังมีอิสระอยู่ ก็ได้มอบให้คุณหมดสิ้นไม่มีสิ่งใดเหลือ

ฉะนั้น ดิฉันจึงแยกร่างกายกับจิตใจคนละส่วน ร่างกายนั้นเป็นสิ่งจะทดแทนบุญคุณปฏิบัติตามความประสงค์ของพ่อแม่ผู้มีพระ คุณ ส่วนวิญญาณและชีวิตจิตใจเป็นของตัวเองโดยอิสระจึงมอบไว้แก่คุณ เราจึงมีจิตใจเดียวกันในความนึกฝันถึงความอยู่รวมกัน แต่ในความรู้สึกโดยไม่ต้องมีตัวตน ดังจดหมายฉบับแรกของคุณครั้งหลังพี่อนันท์ได้มาบอกเรื่องราวของคุณ

ซ้ำได้มอบเช็คจ่ายเงินจำนวนมากมาให้ในนามดิฉัน ทำให้นึกถึงพระคุณอันสูงยิ่ง แต่ได้มาคิดดูว่า ดิฉันแม้จะได้แยกชีวิตของร่างกายจากกันแล้วเป็นคนละส่วน ก็ไม่ควรจะมีสิทธิ์รับเงินจำนวนนี้มาทะนุบำรุงความสุขทางร่างกาย เพราะจะทำให้เกิดความเศร้าหมองเกิดราคีทางจิตใจ


ฉะนั้น ดิฉันจึงได้จัดมอบส่งคืนมายังคุณดิฉันไม่ต้องการใช้เงินจำนวนนี้ ถ้าหากสงสารดิฉันอย่าให้จิตใจมีราคีแล้ว ก็โปรดรับเงินจำนวนนี้คืนด้วย แม้ดิฉันร่างกายจะต้องเหน็ดเหนื่อยหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต เพื่อทะนุบำรุงให้บุตรทั้งสองไปตามสภาพของผู้เป็นแม่พึงทำ เพราะต้องใช้หนี้กรรม แต่จิตใจนั้นเกิดความสุขประหลาด เพราะยังบริสุทธิ์และจะฝันถึงความสุขตลอดไปจนกว่าจะสิ้นเวร

พี่อนันท์ผู้เป็นพี่ชายคนเดียวของดิฉัน เขาก็ได้จบชีวิตจากโลกนี้ไปตามกรรมที่เขาได้สร้างขึ้นเอง เพราะได้เที่ยวไปแสดงความเป็นนักเลงเบ่งข่มเหงคนไม่เลือก ตามนิสัยคนพาล คบค้ากับคนจิตชั่วใจทรามพาตัวและจิตใจให้มัวหมอง และที่สุดก็ดับลงด้วยคนพาล เป็นการใช้หนี้ชีวิตตามกฎแห่งกรรม

แต่เป็นที่น่าเสียดาย ครั้งหลังนี้เมื่อเขาได้พบกับคุณแล้วได้เห็นความดีไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่ถือตัว ซ้ำยังไม่ถือโทษโกรธเขาเมื่อครั้งแสดงกิริยาหยาบคายท่าทางนักเลง เขากลับมายกย่องสรรเสริญคุณมากมายเหมือนพระมาโปรดเห็นตัวอย่างที่ดี

เขารู้สึกตัวจึงมีความละอายใจมาก นึกถึงที่ได้ประพฤติตนไปในทางชั่วต่ำช้าจนทรัพย์สินมากมายต้องถูกทำลายลงหมด เนื้อหมดตัว ตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กลับเนื้อกลับตัวประพฤติตนเป็นคนดีมีศีลธรรมเอา แบบอย่างคุณ แต่ไม่ทันได้ปฏิบัติ กรรมก็ตามมาทันกรรมที่เคยข่มเหงคนอื่น เคยทำลายชีวิตผู้อื่นที่สุดตัวเองก็หนีไม่พ้นกรรม จบชีวิตลงอย่างน่าเสียดายไม่ทันสร้างความดี

สุดท้ายนี้ ดิฉันขอวิงวอนคุณอย่าได้ติดตามค้นหาดิฉันเลย เพราะจิตใจของดิฉันได้ติดตามอยู่กับตัวคุณแล้ว ไม่มีใครแย่งจิตใจของดิฉันไปจากคุณได้ ส่วนร่างกายนั้นไม่ใช่ของคุณ ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับคุณ ถ้าคุณยังรักและเห็นใจดิฉันโปรดมีความเมตตาเถิด เพราะคุณก็เคยประกาศว่า หญิงที่มีสามีแล้วหรือแม่หม้ายลูกติดไม่อยู่ในความสนใจ

เมื่อฉันได้อ่านจบแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจ สงสารที่ได้ทราบถึงจิตใจอันแท้จริงของหล่อน ฉันเฝ้าแต่คิด เฝ้าแต่นึกถึงความรู้สึกในทางกระแสจิตไปสู่หล่อน เหมือนต่างคนต่างฝันถึงกัน

นับแต่ฉันกลับมาอยู่ในกรุงเทพฯ ฉันก็ไม่เคยลืมที่จะไปคลุกคลีอยู่ที่บ้านนายฝรั่งสองสามีภรรยาเหมือนเดิม และฉันยังไปนอนห้องเก่าที่เคยอาศัยอยู่ เหมือนเมื่อครั้งที่ฉันยังไม่ได้ไปทำงานภาคใต้ และยังพยายามช่วยเหลืองานสิ่งใดที่ของนายฝรั่งสองสามีภรรยาเท่าที่จะช่วย เหลือได้อย่างเดิมมิได้ผิดแผก แม้นายฝรั่งทั้งสองจะไม่ยอมให้ทำก็ดี แต่ฉันกับแม่ก็ไม่มีความรังเกียจ นายฝรั่งทั้งสองเคยพูดกับแม่ว่า

“แอนนา ลูกก็เป็นคนมั่งมีมากแล้ว จะหยุดทำงานกับฉันแล้วไปอยู่ตึกหลังใหญ่ทั้งแม่ลูกจะได้มีความสุขสบาย แม้ฉันจะรักจะอาลัยนายแม็กกับแอนนามากเพียงไร เพื่อความสุขของคนที่ฉันรักฉันชอบ ฉันก็ยินดี แม่ได้ยินนายพูดเช่นนั้นก็ตอบว่า “ความสุขของอิฉันไม่ได้อยู่ที่ตึกใหญ่หรือมั่งมีเงินทอง แต่หากความประสงค์ของดิฉันอยากอยู่ใกล้ชิดนายทั้งสอง ได้รับใช้นั่นแหละคือความสุขที่อิฉันต้องการในชีวิต”

นายแหม่มเข้ากอดแม่ แสดงความรักใคร่อย่างจริงใจ แล้วพูดว่า “แอนนาดีกับเราเหลือเกิน ดีจนฉันพูดอะไรไม่ออก พูดไม่ถูก ฉันน้ำตาไหลเมื่อได้ยินแอนนาพูดเช่นนี้เพราะตื้นตันใจ เธอดีทั้งแม่ทั้งลูก ฉันไม่รู้จะขอบใจอย่างไรดี เธอเป็นเจ้าของตึกใหญ่โอ่โถง แต่นายแม็กก็ยังมานอนห้องเก่าและรับใช้เราเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ ฉันไม่คิดว่าจะมีคนอย่างนี้ หายาก แต่โอ ! นี่เป็นเมืองไทย เมืองไทยอาจมีอะไรมากกว่าที่ฉันเข้าใจ”


สิ่งใดในโลกนี้ ย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เรื่องชีวิตของคนเราก็เช่นกัน ต่อมานายฝรั่งสองสามีภรรยาผู้มีพระคุณต่อเราสองแม่ลูก เกิดจำเป็นที่จะต้องเดินทางกลับเมืองซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอน เมื่อ ได้ข่าวว่านายฝรั่งทั้งสองจะเดินทางกลับเท่านั้นคนในบ้านทุกคนก็พากันเศร้า ใจอาลัยอย่างที่สุด โดยเฉพาะตัวฉันซึ่งนายฝรั่งทั้งสองให้การเลี้ยงดูเล่าเรียนศึกษาเติบโตขึ้น มาในบ้าน ย่อมจะมีความผูกพันทางจิตใจ ในความรู้สึกของฉันอยู่ในความกตัญญูกตเวทีเหมือนบิดามารดาบังเกิดเกล้าที่ ฉันรักและเคารพอันสูงยิ่ง

เมื่อยิ่งใกล้วันที่จะออกเดินทางจากประเทศไทย ทุกคนที่อยู่ในบ้านต่างก็มีหน้าเศร้าหมอง ไม่มีใครในบ้านมีจิตใจสบายเลยต่างก็มีความอาลัยรักใคร่นายฝรั่งทั้งสอง หน้านองด้วยน้ำตา แม่ของฉันกับแหม่มนั้นต่างก็หลั่งน้ำตาด้วยกันอย่างไม่มีครั้งใดที่จะมีความ เศร้าโศกเหมือนครั้งนี้ หลังจากพ่อตาย

นายและแหม่มพูดกันว่า หากว่าไม่จำเป็นแล้วจะไม่ยอมจากเมืองไทยไปเป็นอันขาด เมืองไทยให้ความร่มเย็นเป็นสุขในชีวิตของท่านทั้งสองเกือบยี่สิบปี รักเมืองไทยเหมือนบ้านเกิดเมืองนอนของท่านเอง ทั้งได้พบแต่คนดีๆ เพื่อนฝูงที่ใจดีทั่วไป เมื่ออยู่ในท่ามกลางของคนไทยได้รับความอบอุ่นเหมือนอยู่ในวงศ์ญาติอันสนิท คิดว่าจะหาความสุขเช่นนี้ต่อไปในชีวิตไม่ได้อีก


ก่อนไปได้นำเครื่องใช้ในบ้านแจกจ่ายไปให้คนในบ้านทั่วกัน แล้วแต่ความเหมาะสม และได้แจกเงินให้เป็นการตอบแทนความดี ผู้ใดอยากจะทำงานก็ฝากให้ทำงานกับพวกฝรั่งเพื่อนๆ ของนายทั้งสอง และผู้ใดไม่อยากไปฉันก็รับเข้าไปอยู่ในบ้านเลี้ยงดูให้เหมือนอยู่กับนาย ฝรั่ง

ฉันกับแม่ได้พยายามทำทุกสิ่งเพื่อตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวที การเดินทางของนายได้ขึ้นรถไฟไปลงที่ปีนังแล้วลงเรือเดินทะเลเป็นเรือโดยสาร ชั้นหนึ่งขนาดใหญ่ต่อไป ฉันได้เดินทางไปส่งนายถึงปีนัง จนนายลงเรือโดยสาร

เรือออกเดินทางฉันจึงกลับ ได้เห็นเรือใหญ่เป็นหมื่นๆ ตัน มีความสะดวกสบายสะอาดสำหรับผู้โดยสาร ทุกอย่างที่ทางเรือจะจัดหาให้ความสุขความสบายแก่ผู้โดยสารได้ กลางคืนมีหนังฉายให้ชม มีร้านขายของและบ่ออาบน้ำมีร้านตัดผม และมีผู้คนโดยสารกันมาก ทำให้ฉันนึกอยากจะเดินทางไปท่องเที่ยว นายว่าจะให้ความสะดวกทุกอย่างขณะเมื่ออยู่เมืองนอก

เมื่อนายฝรั่งไปแล้ว บ้านตึกที่นายฝรั่งเช่าก็ได้คืนให้เจ้าของและเขาให้ผู้อื่นเช่าต่อไป คนที่อยู่ในบ้านก็ย้ายเข้ามาอยู่ในตึกของฉัน อันชีวิตของคนเราอย่านึกว่าทรัพย์สมบัติความมั่นคงนั้นจะมีความสุข เช่นตัวฉันเองก็เป็นผู้ที่หาความสุขไม่ได้ เงินทองไม่สามารถจะชื้ออะไรได้ทุกสิ่ง และก็ไม่มีอะไรแน่นอน คนยากจนมีความประพฤติอดทน เข้มแข็ง มีสติปัญญา ขยัน มีความรู้ก็สามารถจะมั่งมีขึ้นมาได้ และคนมั่งมีก็อาจกลายเป็นคนยากจนลงได้ เมื่อประพฤติตัวไม่ดี เช่นเดียวกันหลงใหลในการพนันท่องเที่ยวคบเพื่อนที่ชั่วเป็นคนพาล
8-)
ฉันได้นำเงินที่จะมอบให้หญิงที่ รักเมื่อได้ถูกคืนกลับมา ฉันได้นำเงินนี้ไปบริจาคการกุศล เช่น เข้าสมทบทุนสร้างโรงพยาบาล และสมทบทุนสร้างโรงเรียน และสร้างทางสร้างโบสถ์ สร้างถนน และขออธิษฐานให้แก่หญิงที่รัก หากเราได้สิ้นชีพลงแล้ว ขอให้เราจงไปพบกันในแดนสุขาวดีในสัมปรายภพ หากมี

ต่อมาฉันเองก็รู้สึกว่า ตัวเองนั้นไม่มีความสบาย ร่างกายยังไม่เคยเจ็บป่วยหนักมาก่อน ก็รู้สึกเปลี่ยนแปลงไป เกิดรู้สึกร่างกายกำลังเริ่มผิดปกติอ่อนเพลีย แต่ก็ไม่ถึงล้มหมอนนอนเสื่อ ยังไปไหนตามปกติ ความทุกข์ทางยากจนขาดทรัพย์สินเงินทองนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นในครอบครัวของฉัน แต่ทุกข์อื่นที่จะเข้ามาแทรกแซงเกิดขึ้นมาก็คือ การเจ็บไข้ได้ป่วย

คืนหนึ่งจวนรุ่งแจ้ง ฉันได้ฝันเห็นสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์ว่า ฉันได้เข้าไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งคล้ายกับเป็นยานใหญ่โตมหึมา กำลังเคลื่อนที่เดินทางจะเป็นทางอากาศหรือพื้นดินหรือทางน้ำ ก็ไม่สามารถจะทราบได้ เพราะไม่มีโอกาสเห็นภายนอก รู้สึกแต่ว่ายานนั้นกำลังเคลื่อนไหวเร็วจนไม่มีความรู้สึกสั่นสะเทือนหรือ โคลงเคลง หรือรู้สึกความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อยคล้ายเราอยู่ในตึกใหญ่โต แต่ยาวตลอดไปไม่สิ้นสุด มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่สองข้าง

ฉันเห็นฝรั่งนั่งสนทนากันเป็นหมู่ นอกนั้นยังมีพวกแขกอยู่กันเป็นหมู่ จะเป็นพวกแขกชาติไหนก็ไม่สามารถจะทราบได้ นอกนั้นยังมีพวกเอเซียจะเป็นจีนหรือเป็นญวนหรือภาษาใด ฉันเห็นแต่ก็ไม่สนใจ ทางยาวเป็นแถว ตรงกลางเป็นทางเดินสุดสายตาไม่สามารถประมาณได้ยาวเพียงไร ตลอดทางมีความสว่างไสว เสียงคุยกันเป็นพวกๆ ชาติใดก็รวมหมู่ชาตินั้น ข้างๆ มีห้องและทุกห้องปิดหมด นอกจากห้องตรงที่ฉันยืนดูพวกชาติต่างๆ กำลังสนทนากันนั้นเปิดแง้มอยู่ห้องเดียวตลอดทั้งแถว สัญชาตญาณทำให้ฉันรู้ว่า

ห้องนั้นเขาจัดไว้สำหรับฉันทั้งที่ไม่มีใครบอก ฉันได้เดินเข้าไปในห้อง ก็มองเห็นภายในห้องมีแสงสว่าง ในห้องนั้นตบแต่งอย่างสวยงามเกินกว่ามนุษย์สามัญจะทำได้ มองเห็นเตียงนั้นอยู่มุมหนึ่ง มีหญิงสาวรูปร่างสวยงามกำลังนั่งก้มหน้าร้องไห้ เสียงค่อยๆ ซิกๆ อยู่ที่เตียงคนเดียวเห็นจะเกรงคนนอนหลับจะตื่น แต่ฉันมองดูหน้าไม่ถนัดนัก รู้ว่าหล่อนสวยงามมาก นอกนั้นมีคนนอนอยู่ตามพื้น ๔ - ๕ คนรู้สึกว่าล้วนแต่เป็นหญิงสาวๆ ทำให้ฉันมีจิตใจสงสารหญิงผู้นั่งร้องไห้ และเกิดความรักอย่างจับใจต่อสาวผู้นั้น

ความรักความสงสารดึงดูดทำให้ฉันเดินเข้าไปหาหล่อนอย่างไม่รู้สึกตัว แล้วก็ก้มลงตะแคงหน้าจูบแก้มและผมหล่อนอย่างทะนุถนอม หล่อนมิได้สนใจ ฉันสูดรสรักอย่างดูดดื่ม สดชื่นที่สุดในชีวิตของฉัน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย ทำให้ฉันรู้สึกหลงใหลอย่างงงงวย ซาบซึ้งอิ่มเอิบทางจิตใจพลางกระซิบข้างหูหล่อนว่า

“ฉันมาแล้ว หยุดร้องไห้เถิด เราจะหมดกรรมกันอยู่แล้ว”

ฉันเองไม่รู้ความหมายคำพูดถึงอะไร พูดออกไปโดยไม่ได้นึก เห็นจะพูดด้วยอำนาจตามสัญชาตญาณ เหมือนหล่อนกับฉันเคยรักใคร่กันมาก่อนอย่างแยกไม่ออกว่าเคยพบหล่อนที่ใดมา ก่อน แต่หล่อนก็มิได้แสดงกิริยาผิดปกติ คล้ายๆ กับว่าไม่รู้สึกผิดแปลกไปกว่าธรรมดา แต่ความรู้สึกของฉันนั้น แสนรักแสนสงสารเกาะหัวใจแน่น แต่แล้วฉันก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา ที่มาแอบจูบหล่อน นึกว่านี่เราทำผิดอะไรในศีลธรรมหรือเปล่า ที่แอบไปจูบหล่อนกำลังเศร้าโศกร้องไห้อยู่เช่นนี้ ฉันจึงรีบออกจากห้องมานั่งอยู่หน้าห้องอย่างหัวใจปั่นป่วน

ทันใดนั้นฉันได้เห็นชายหมู่หนึ่งประมาณ ๔ - ๕ คน หัวหน้าแต่งตัวรุ่มร่ามใส่เสื้อสักหลาดดำยาว ใส่หมวกแบนกลมสีน้ำตาลแปะไว้บนหัว ส่วนพวกติดตามนั้นไม่มีหมวกใส่ เมื่อเขาเดินมาถึงหมู่ฝรั่ง เขาก็ถามชื่อเสียงและจดลงไปในสมุดแล้วถามถึงการถือศาสนา และทุกคนได้ลงชื่อลงนามในสมุดนั้น ไม่ว่าแขก เจ๊ก เขาก็จดลงในสมุดทุกคน แต่เมื่อเขาเดินผ่านฉันเขายิ้มและก้มหัวให้อย่างเป็นมิตร ฉันจึงย้อนตอบแล้วบอกว่า

“ผมจะต้องลงบัญชีเหมือนคนอื่นหรือเปล่า”

เขายิ้มแล้วก็พูดขึ้นว่า “สำหรับคุณยังไม่ถึงกำหนดเวลา นี้คุณเป็นผู้รับเชิญของเราให้ดูเหตุการณ์ล่วงหน้า”

แล้วเขาก็พาพวกเดินเลยไปถามปากคำผู้อื่นที่อยู่ถัดไป ฉันจึงนั่งอยู่ที่โต๊ะมองดูคนที่ชุลมุนกันอย่างสับสน ทันใดนั้นหญิงสาวที่ร้องไห้ ก็เดินออกมาจากห้องที่ฉันนั่งอยู่น้ำตายังชุ่ม หล่อนเดินตรงมาหาแล้วก็ก้มลงเอียงแก้มมาถูกจมูกฉัน ฉันก็ได้ประคองหน้าหล่อนแล้วจุมพิตอย่างสุดรัก เมื่อได้เห็นหน้าหล่อนแล้วก็ตกตะลึง ช่างสวยงามหยดย้อยอะไรเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ยังมีคราบน้ำตา แต่ก็คล้ายกับว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนแต่ก็นึกไม่ออก ฉันโอบกอดหล่อนแล้วสูดกลิ่นมันหอมหวน ทำให้ฉันหลงใหลในความรู้สึก หล่อนกระซิบที่หูฉันว่า

“คุณปล่อยให้ดิฉันคอยคิดถึงคุณอยู่คนเดียว คุณมาช้าจนดิฉันต้องร้องไห้” ฉันจูบแก้มให้สมรักอย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย แต่ก็อดรำพึงแก่ตัวเองไม่ได้ว่า ฉันจำไม่ได้เธออยู่ไหน ชื่ออะไรแต่เหมือนเราจะเคยรักกันอย่างแนบแน่นมาก่อนแล้ว หล่อนค้อนฉัน แล้วยิ้มอย่างน่ารักแล้วพูดว่า

“คุณจำนวลน้อยของคุณไม่ได้หรือค่ะ”

ฉันได้สติพิจารณาดูก็เห็นเค้าหน้าขึ้นมา ตื่นเต้นจนลืมตัว ร้องออกไปด้วยความดีใจว่า “โอ้โฮ เธอสวยขึ้นอีกมาก จนฉันจำไม่ได้ ถ้าเธอไม่บอก ก็จำไม่ได้ แทนที่เธอจะแก่ลง เธอกลับสาวกลับสวยขึ้นอย่างประหลาดมหัศจรรย์จริงๆ”

หล่อนยิ้มแล้วพูดว่า “ต่อไปนี้ดิฉันจะไม่มีวันแก่ มีแต่วันสวยและสาวอยู่ตลอดไป และคุณก็ไม่มีวันแกเช่นเดียวกัน”

ฉันได้บรรจงประคองหล่อนและจูบแก้มทั้งซ้าย ทั้งขวา หล่อนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ฉันไม่สนใจแล้วว่าฉันจะอยู่ที่ไหน แต่ขอให้หล่อนอยู่เคียงข้างด้วยเท่านั้นเป็นความพอใจของฉัน แต่สัญชาตญาณในความรู้สึกว่า ยานอันมหึมานั้นกำลังจะเดินทางไปสู่ดินแดนอันลี้ลับที่มนุษย์ไม่ถึง แต่แล้วความรู้สึกก็ดับวูบลงทันใดนั้น ฉันต้องตกใจเมื่อเสียงฟ้าร้องดังก้อง แสงฟ้าแลบเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนสว่างแวบๆ เป็นระยะ และฟ้าร้องคำรามเปรี้ยง คล้ายฟ้าจะผ่าลงมาทำลายแผ่นดินให้แตกแยก โลกจะถล่มทลายลง

ฉันต้องรีบลุกขึ้นจากที่นอน เดินไปปิดหน้าต่าง เพราะกลัวฝนสาดเข้ามา แล้วเปิดไฟดูนาฬิกาตี ๕ พอดี ฉันฝันอย่างแปลกประหลาด นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาฉันก็นึกแต่ความฝันถึงหล่อนคล้ายความจริงไม่เหมือน ฝันธรรมดา ในยานประหลาดหรือดินแดนในสุขาวดีเป็นความรู้สึกของฉัน ซึ่งความรู้สึกชนิดนี้ไม่มีในโลกมนุษย์

การป่วยของฉันค่อยเป็นค่อยไป ความอ่อนเพลียเข้ามาครอบงำมากขึ้น แม่ได้พยายามหาหมอมารักษาแต่อาการไม่ดีขึ้น แต่ยังไม่ล้มหมอนนอนเสื่อ ที่สุดก็ได้ให้หมอฝรั่งชาติเยอรมันเป็นผู้รักษา เพราะเมื่อครั้งนายฝรั่งสองสามีภรรยาเคยรักษาเป็นหมอประจำบ้านและเคยแนะนำ ไว้ว่า ต่อไปหากเจ็บไข้ก็ให้ไปรับหมอคนนี้มารักษา นายฝรั่งเคยให้มารักษาตัวฉันและแม่เมื่อเกิดป่วยเจ็บมาก่อน

ที่สุดหมอก็ได้มาตรวจดูอาการอย่างถี่ถ้วน แล้วแอบกระซิบแม่ว่า ฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ต่อไปไม่เกิน ๖ เดือนเพราะโลหิตขาวแดงเป็นพิษ ไม่มีโอกาสจะรักษาให้หายได้ แม่รู้แล้วก็อดกลั้นความรักอาลัยในลูกที่จะตายจากไปไม่ไหว ก็เสียใจร้องไห้จนตาบวม แต่ก็ไม่พยายามบอกความจริงต่อฉัน แต่ฉันก็เดาออกว่าแม่ร้องไห้นั้นต้องมีเหตุผล ไม่มีเรื่องอะไร นอกจากเรื่องการเจ็บป่วยของฉันเท่านั้น

ฉันได้พยายามถามแม่และถามหมอซึ่งได้มาเยี่ยมฉัน เพราะฉันรู้สึกว่าโรคของฉันคงไม่มีโอกาสรักษาหายได้ เหมือนโรคฝีในท้องที่จะคอยทำลายชีวิตคอยเวลาตายเท่านั้น ฉันได้บอกว่าใจฉันแข็งไม่กลัวความตาย เพราะไม่เร็วก็ช้าต้องตายเหมือนกันทุกคน จะตายเร็วหน่อยหรือช้าหน่อยก็ไม่แปลกอะไร ที่สุดเมื่อเห็นจิตใจฉันเข้มแข็งจริงๆ พอจะรับฟังได้ แม่และหมอก็บอกฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือน

เมื่อทราบแล้วจิตใจฉันก็ปกติ ไม่สะดุ้งกลัวมรณภัย ทำให้หมอแปลกใจที่ฉันผิดกว่าคนไข้อื่นๆ ที่หมอเคยรักษามา ฉันรู้สึกมีความสำนึกผิดว่า วิญญาณของฉันคงจะไปเกิดในที่มีความสุขดีกว่าที่ฉันเป็นมนุษย์อยู่ในโลกเวลา ปัจจุบันนี้เป็นแน่

หากฉันตายวิญญาณนั้นจะต้องไปสู่ดินแดนที่เคยชินเห็นมาก่อน เพราะฉันไม่เคยสร้างบาปสร้างกรรม จะเป็นกรรมก็เป็นกรรมเก่าที่ฉันได้ใช้หนี้ในชาตินี้แล้ว ฉะนั้น จิตใจฉันจึงเป็นปกติมิได้เดือดร้อนตื่นเต้น เกรงกลัวต่อความตายเลย ฉันได้มีโอกาสมอบทรัพย์สินสมบัติทั้งหมดให้แม่คนเดียวก่อนฉันจะจากแม่ไป อย่างไม่มีวันกลับ

ฉันเมื่อรู้วันใดจิตจะดับแล้ว ฉันก็จะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบเท้าลาคุณ แม่ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงฉันมาจนเติบโต ถ้าฉันมีอะไรผิดก็ขอให้แม่อโหสิกรรมให้ฉันด้วย แล้วฉันจะเขียนจดหมายไปกราบลานายฝรั่งและนายแหม่มที่เมืองนอก นึกถึงพระเดชพระคุณที่อุปการะฉันมาแต่น้อย ถ้าฉันจะเกิดมาเป็นมนุษย์อีก ฉันขอเกิดมาเป็นลูกของแม่และขอให้พบกับนายฝรั่งและนายแหม่ม ขอให้ฉันได้มีโอกาสทดแทนบุญคุณท่านทั้งสองบ้าง

แม้ฉันจะมีใจเข้มแข็งเพียงไร เมื่อนึกถึงพระเดชพระคุณของแม่และของนายฝรั่งทั้งสอง ฉันก็ต้องสะอื้นน้ำตาไหล แต่ซ่อนน้ำตาไว้ไม่ให้แม่เห็น เพราะเรามีอยู่ด้วยกันเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น เวลาเราจนก็หาญาติพี่น้องยาก เมื่อยามมั่งมีก็มีคนมาอ้างเป็นญาติสืบสาวรายเรื่องเก่าๆ ฉันก็ไม่สนใจ ทรัพย์สมบัติยกให้แม่แล้ว จะแบ่งให้ใครนั้นฉันได้อนุญาตให้เป็นหน้าที่ของแม่ แต่แม่ได้บอกต่อหน้าว่า

“หากลูกหาบุญไม่แล้ว ทรัพย์สินเงินทองของลูกก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับแม่ เพราะถ้าแม่แลกได้ แม่จะต้องการความยากจน แต่มีลูกอยู่ด้วย ถ้าสิ้นบุญลูกแล้ว แม่จะขายทรัพย์สินให้หมดแล้วก็ทำบุญ ส่วนแม่ก็จะไปอยู่วัดบวชชีถือศีลจนกว่าชีวิตจะหาไม่”


แม่พูดพลางร้องไห้พลาง แต่ฉันกลับหัวเราะปลอบแม่ไม่ให้คิดมาก ทรัพย์สินของฉันนี้มอบให้แม่แล้วสุดแต่แม่จะทำอะไรได้ตามใจชอบ ฉันได้ชี้แจงให้แม่ทราบถึงความตายเป็นของธรรมดา จนแม่ค่อยสร่างความเศร้าลงได้บ้าง

Blog ของ Paang

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>การ ป่วยของฉันค่อยเป็นค่อยไป ความอ่อนเพลียเข้ามาครอบงำมากขึ้น แม่ได้พยายามหาหมอมารักษาแต่อาการไม่ดีขึ้น แต่ยังไม่ล้มหมอนนอนเสื่อ ที่สุดก็ได้ให้หมอฝรั่งชาติเยอรมันเป็นผู้รักษา เพราะเมื่อครั้งนายฝรั่งสองสามีภรรยาเคยรักษาเป็นหมอประจำบ้านและเคยแนะนำ ไว้ว่า ต่อไปหากเจ็บไข้ก็ให้ไปรับหมอคนนี้มารักษา นายฝรั่งเคยให้มารักษาตัวฉันและแม่เมื่อเกิดป่วยเจ็บมาก่อน

ที่สุดหมอก็ได้มาตรวจดูอาการอย่างถี่ถ้วน แล้วแอบกระซิบแม่ว่า ฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ต่อไปไม่เกิน ๖ เดือนเพราะโลหิตขาวแดงเป็นพิษ ไม่มีโอกาสจะรักษาให้หายได้ แม่รู้แล้วก็อดกลั้นความรักอาลัยในลูกที่จะตายจากไปไม่ไหว ก็เสียใจร้องไห้จนตาบวม แต่ก็ไม่พยายามบอกความจริงต่อฉัน แต่ฉันก็เดาออกว่าแม่ร้องไห้นั้นต้องมีเหตุผล ไม่มีเรื่องอะไร นอกจากเรื่องการเจ็บป่วยของฉันเท่านั้น

ฉันได้พยายามถามแม่และถามหมอซึ่งได้มาเยี่ยมฉัน เพราะฉันรู้สึกว่าโรคของฉันคงไม่มีโอกาสรักษาหายได้ เหมือนโรคฝีในท้องที่จะคอยทำลายชีวิตคอยเวลาตายเท่านั้น ฉันได้บอกว่าใจฉันแข็งไม่กลัวความตาย เพราะไม่เร็วก็ช้าต้องตายเหมือนกันทุกคน จะตายเร็วหน่อยหรือช้าหน่อยก็ไม่แปลกอะไร ที่สุดเมื่อเห็นจิตใจฉันเข้มแข็งจริงๆ พอจะรับฟังได้ แม่และหมอก็บอกฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือน

เมื่อทราบแล้วจิตใจฉันก็ปกติ ไม่สะดุ้งกลัวมรณภัย ทำให้หมอแปลกใจที่ฉันผิดกว่าคนไข้อื่นๆ ที่หมอเคยรักษามา ฉันรู้สึกมีความสำนึกผิดว่า วิญญาณของฉันคงจะไปเกิดในที่มีความสุขดีกว่าที่ฉันเป็นมนุษย์อยู่ในโลกเวลา ปัจจุบันนี้เป็นแน่

หากฉันตายวิญญาณนั้นจะต้องไปสู่ดินแดนที่เคยชินเห็นมาก่อน เพราะฉันไม่เคยสร้างบาปสร้างกรรม จะเป็นกรรมก็เป็นกรรมเก่าที่ฉันได้ใช้หนี้ในชาตินี้แล้ว ฉะนั้น จิตใจฉันจึงเป็นปกติมิได้เดือดร้อนตื่นเต้น เกรงกลัวต่อความตายเลย ฉันได้มีโอกาสมอบทรัพย์สินสมบัติทั้งหมดให้แม่คนเดียวก่อนฉันจะจากแม่ไป อย่างไม่มีวันกลับ

ฉันเมื่อรู้วันใดจิตจะดับแล้ว ฉันก็จะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบเท้าลาคุณ แม่ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงฉันมาจนเติบโต ถ้าฉันมีอะไรผิดก็ขอให้แม่อโหสิกรรมให้ฉันด้วย แล้วฉันจะเขียนจดหมายไปกราบลานายฝรั่งและนายแหม่มที่เมืองนอก นึกถึงพระเดชพระคุณที่อุปการะฉันมาแต่น้อย ถ้าฉันจะเกิดมาเป็นมนุษย์อีก ฉันขอเกิดมาเป็นลูกของแม่และขอให้พบกับนายฝรั่งและนายแหม่ม ขอให้ฉันได้มีโอกาสทดแทนบุญคุณท่านทั้งสองบ้าง

แม้ฉันจะมีใจเข้มแข็งเพียงไร เมื่อนึกถึงพระเดชพระคุณของแม่และของนายฝรั่งทั้งสอง ฉันก็ต้องสะอื้นน้ำตาไหล แต่ซ่อนน้ำตาไว้ไม่ให้แม่เห็น เพราะเรามีอยู่ด้วยกันเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น เวลาเราจนก็หาญาติพี่น้องยาก เมื่อยามมั่งมีก็มีคนมาอ้างเป็นญาติสืบสาวรายเรื่องเก่าๆ ฉันก็ไม่สนใจ ทรัพย์สมบัติยกให้แม่แล้ว จะแบ่งให้ใครนั้นฉันได้อนุญาตให้เป็นหน้าที่ของแม่ แต่แม่ได้บอกต่อหน้าว่า

“หากลูกหาบุญไม่แล้ว ทรัพย์สินเงินทองของลูกก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับแม่ เพราะถ้าแม่แลกได้ แม่จะต้องการความยากจน แต่มีลูกอยู่ด้วย ถ้าสิ้นบุญลูกแล้ว แม่จะขายทรัพย์สินให้หมดแล้วก็ทำบุญ ส่วนแม่ก็จะไปอยู่วัดบวชชีถือศีลจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

แม่พูดพลางร้องไห้พลาง แต่ฉันกลับหัวเราะปลอบแม่ไม่ให้คิดมาก ทรัพย์สินของฉันนี้มอบให้แม่แล้วสุดแต่แม่จะทำอะไรได้ตามใจชอบ ฉันได้ชี้แจงให้แม่ทราบถึงความตายเป็นของธรรมดา จนแม่ค่อยสร่างความเศร้าลงได้บ้าง

ต่อจากนั้นฉันก็ใช้เวลาที่ เหลือน้อยอยู่แล้ว รีบจดบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉันตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงกำหนด อายุขัย ต่อไปก็คงไม่มีอะไรที่น่าสนใจ ฉันอยากจะส่งบันทึกฉบับนี้ไปให้หล่อนผู้ที่ฉันยังหลงรักยิ่งชีวิตจิตใจ ให้ได้รู้ได้อ่าน ทราบถึงชีวิตรักที่หลงคอยคืนคอยวัน ทุกข์ทรมานแสนสาหัสทางจิตใจ แต่ฉันไม่สามารถจะส่งให้ถึงหล่อนได้ เพราะไม่รู้ว่าหล่อนอยู่แห่งหนตำบลใด หล่อนอาจเปลี่ยนชื่อเสียงใหม่ทำให้พวกที่ฉันส่งออกไปเที่ยวสืบค้นหาแทบทุก แห่งก็ไม่พบ

เวลาของฉันที่จะอยู่ในโลกมนุษย์ก็เหลือน้อยใกล้อวสานเข้ามาแล้ว จึงเก็บข้อความบันทึกของฉันเข้าซองแล้ว จัดการซ่อนไว้ในเปียโนที่ฉันแสนหวงแสนรักเพราะเป็นอนุสรณ์ชีวิตรัก แต่ฉันก็รักษาไว้ไม่ได้แม้ชีวิตของฉันก็จะต้องจากโลกนี้ไปในไม่ช้า เพราะฉันทราบว่า เมื่อฉันตายแล้วของทุกสิ่งในบ้านจะต้องถูกขายออกไปหมด

สำหรับเปียโนอันนี้ ฉันรักเท่าชีวิตเป็นที่แห่งเดียวเหมาะสมที่จะเก็บเอกสารความรู้สึกเป็นอมตะ ไว้ภายในอย่างมิดชิด แล้วฉันก็จัดการทำให้เสียงเปียโนไม่ดังโดยยัดกระดาษลงไปให้แน่น บางตอนความจริงเปียโนอันนี้ยังดีพร้อมทุกอย่าง ฉันทำเช่นนี้ก็เพื่อให้คนเห็นซองบันทึกของฉัน


เมื่อได้จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็จุดธูปเทียนบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขออธิษฐานด้วยจิตบริสุทธิ์ จงดลบันดาลให้ผู้ที่จะมารับซื้อเปียโนอันนี้ไปเป็นกรรมสิทธิ์ จงเป็นคนดีมีศีลธรรม เป็นผู้เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อเปิดซองดูได้พบเห็นข้อความบันทึกแล้ว ขอให้สงสารฉันผู้อาภัพรัก

ช่วยกรุณาจัดการตามคำร้องขอเพื่อเป็นสื่อนำข้อความที่ได้บันทึกให้หล่อนได้ ทราบ หากหล่อนได้จากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณของหล่อนก็คงจะรู้เรื่องดี แล้วฉันก็จะหมดความกังวลห่วงใยต่อไป ก่อนที่ฉันจะจบบันทึกที่ใช้เวลาแรมเดือนด้วยความลำบาก ต้องพยายามเพราะสังขารทรุดโทรม แล้วก็จบลงไม่ค่อยสมบูรณ์นัก


ทุกวันพระ แม่ได้นิมนต์พระสงฆ์มาบ้าน เพื่อให้ฉันได้มีโอกาสได้รับศีลและฟังพระธรรม ทำจิตใจให้บริสุทธิ์สงบ แล้วฉันก็คอยวันคืนนับเวลาที่ปิดฉากจบละครชีวิต ก่อนอื่นฉันไม่ลืมที่จะบริจาคทานและสร้างบุญกุศลตลอดมา ต่อจากนั้นฉันก็จะเตรียมตัวเพื่อเดินทางไปสู่ดินแดนอันลี้ลับในสัมปรายภพ ด้วยจิตใจสงบ

เพราะฉันสำนึกว่าวิญญาณของฉันจะต้องไปสู่ที่สุขสูงกว่าโลกมนุษย์ ตามกฎแห่งกรรมของสัตว์โลกทั้งหลาย ย่อมจะมีกรรมดีกรรมชั่วนำไปไม่มีผู้ใดหนีพ้นไปได้ หากว่าฉันจะต้องกลับมาเกิดอีก ฉันขออธิษฐานขอให้มาเกิดในร่มโพธิ์ของพระพุทธศาสนาจนกว่าจะได้บรรลุธรรมชั้น สูงสุดล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวงเถิด

END.

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 03 มิ.ย. 2009 10:52 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
.gif


_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 03 มิ.ย. 2009 11:30 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
โห!..อ.ต่ออ่านจบเร็วจังครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับ....

สงสัยจะซึ้งแฮะ.. :agy:

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 03 มิ.ย. 2009 11:50 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ซึ้งจริง ๆ ด้วยครับ







ซึ้งมาก...




re1.jpg


_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 04 มิ.ย. 2009 12:33 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
"นี่ดำอ.ต่อแก่ใช้มุขคำผวนอีกแล้วล่ะ"
"อืม..ก้อพอจะได้อยู่นะ"
"แกหาภาพประกอบได้รวดเร็วอีกด้วย"
"ใครว่าแกหา..จุ๊.จุ๊......แกเสกมา.....รู้มั๊ย"
"หร๋อ............อืม..........ซึ้ง!....... :mrgreen:
9-2[1].jpg


_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 04 มิ.ย. 2009 12:39 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
:o :o
อะจึ๋ยยยยย......นี่คือบันทึกหรือนวนิยายครับพี่อาร์ต
ยาวได้ใจดีจริงๆ.... :lol: :lol: ขออ่านก่อนนะครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 04 มิ.ย. 2009 1:09 am 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
1187888343540.gif


_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 04 มิ.ย. 2009 9:08 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 9:48 am
โพสต์: 937
i5.gif


ขอบคุณ ขอค่อยๆอ่านก่อนนะฮะ :mrgreen:

_________________
อันความสุขทางใจนั้นหายาก คนส่วนมากไม่ชอบแสวงหา
หวังแต่สุขเพื่อสนุกเพียงหูตา มันจึงพาชักจูงให้ยุ่งใจ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 04 มิ.ย. 2009 10:28 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
ราวกะละครวิทยุ ยุคพระเอกชื่อ แมนสรวง แล้ว ตัวโกง ชื่อ เหมราช ยังไงก็ไม่รู้

คริ คริ คริ

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 04 มิ.ย. 2009 9:54 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 09 ก.ย. 2008 11:02 pm
โพสต์: 360
โอ้วว

อ่านแล้วซึ้งมั๊กๆ

_________________
Yesterday is history
Tomorrow is a mystery
And Today is a gift...
Thats why they call it the Present


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 04 มิ.ย. 2009 10:43 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
thanks (1).jpg


THANK.For..ความละเมียดของดวงจิตครับคุณMonny

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 05 มิ.ย. 2009 3:09 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 13 ต.ค. 2008 1:09 pm
โพสต์: 139
อ่านแล้วประทับใจมากครับ.... รักแท้ รักเดียว โรแมนซ์มาก

แม้ชาตินี้มิอาจอยู่เคียงกัน ก็ยังมีหวังที่จะได้อยู่เคียงกันในภพชาติหน้าครับ :shhy:

_________________
ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร อยู่ในภพที่สูงส่งเพียงไร ก็หนีความทุกข์ไม่พ้น


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 05 มิ.ย. 2009 4:54 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 1:41 pm
โพสต์: 215
ซึ้งจัง อ่านแล้วทำให้นึกถึงน้องพอลล่า ซึ่งเคยร่วมเรียงเคียงคู่กับเราเมื่อชาติที่แล้วเลย :shhy:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 05 มิ.ย. 2009 5:05 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เอ่อ คุณพี่ JoJo ฮะ

แนะนำให้อ่านกระทู้ที่ http://www.navaraht.com/forum/forum42/topic1604.html

แล้วอ่านบรรทัดที่ 2 สักหนึ่งร้อยเที่ยวก็จะดีนะฮะ

คริ คริ คริ

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 05 มิ.ย. 2009 8:57 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 17 พ.ย. 2008 7:08 pm
โพสต์: 86
ยอดเยี่ยมมาก ทั้งผู้เล่า และผู้ถูกเล่า


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 05 มิ.ย. 2009 11:12 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
เด็กลึกลับ เขียน:
เอ่อ คุณพี่ JoJo ฮะ

แนะนำให้อ่านกระทู้ที่ http://www.navaraht.com/forum/forum42/topic1604.html

แล้วอ่านบรรทัดที่ 2 สักหนึ่งร้อยเที่ยวก็จะดีนะฮะ

คริ คริ คริ


ก๊ากกกก....ถูกใจ :lol: :lol: :lol:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 06 มิ.ย. 2009 12:12 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
ธรรมดามันเป็นเรื่องธรรมดาของลูกผู้ชายอย่างคุณโจโจ้
นี่เป็นรูปของคุณโจโจ้กับคุณพอลล่าตอนแอบเดทใต้น้ำกลัวคนอื่นรู้
16848_453476[1].jpg


ส่วน.............เอ่อ...ฉลามนั่น



ก้อคืออาซ้อของคุณโจโจ้นั่นเอง :lol: :lol: :lol:

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: บันทึกประหลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 06 มิ.ย. 2009 12:16 am 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
:lol: :lol: ฮาทุกกระทู้แฮะ ช่วงนี้

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO