นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 27 เม.ย. 2024 10:35 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ใครทำใครได้ ไวๆด้วย
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 11 พ.ค. 2009 9:30 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 30 ก.ย. 2008 10:00 am
โพสต์: 634
เนื่องในวันวิสาขบูชา และครบรอบ วันที่หลวงพ่อโตฯนิ่ม ทางวัดจึงได้จัดงานเวียนเทียนเข้าพรรษา และที่สำคัญ ผู้ที่มาร่วมงาน จะได้รับ ภาพถ่ายขนาดบูชา นำกลับไปติดที่บ้าน ที่ร้าน ที่ทำงาน ฯลฯ ผมไปดูภาพตัวอย่างมาแล้ว สวยงามมาก กะว่าจะไปเข้าคิวรอกันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว อย่าประมาทนะครับ หมดแล้วหมดเลย ภาพหลวงพ่อโตฯเหล่านี้ เป็นประวัติศาสตร์ แต่ละเทศกาล ภาพแต่ละภาพจะไม่เหมือนกัน ไม่มีการทำซ้ำ วัตถุมงคล รุ่นไหนหมด ทำแบบใหม่ขึ้นมาไม่มีการเอาบล๊อกเก่าไปทำอีก แม้แต่พระบูชาของท่าน เมื่อหมดแล้ว ก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามสมควร พระของท่านจึงเล่นหาง่ายไม่ซับซ้อนครับ

วัดบางพลีใหญ่ใน ตั้งอยู่ที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
วัดบางพลีใหญ่ใน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดสมุทรปราการ วัดนี้อยู่ริมลำคลองสำโรง ห่างจากประตูน้ำสำโรงประมาณ 13 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 40 กว่าไร่ เนื้อที่ตั้งวัดประมาณ 35 ไร่เศษ การคมนาคมจากกรุงเทพฯ หรือจังหวัดต่าง ๆ มายังวัดนี้สะดวกสบายมากด้วยทางรถยนต์ และทางเรือ ทางรถยนต์นี้เข้าทางถนนสาย บางนา-ตราด ประมาณกิโลเมตรที่ 12 ข้ามสะพานคลองชวดลากข้าว แล้วจะมีทางเลี้ยวเข้าสู่อำเภอบางพลี ทางด้านขวามือประมาณ 3 กิโลเมตรครึ่ง ก็จะถึงวัด อีกทางหนึ่งเข้าถนนเทพารักษ์ข้างสถานีตำรวจสำโรง ประมาณ 13 กิโลเมตร ก็ถึงวัด ส่วนทางเรือก็มีเรือโดยสารอยู่ที่ท่าเรือสำโรง มีเรือโดยสารออกทุกระยะประมาณไม่เกิน 30 นาที เรือก็จะถึงวัดบางพลีใหญ่ใน นับวาการคมนาคมสะดวกสบายมาก วัดบางพลีใหญ่ใน เดิมชื่อ วัดพลับพลาไชยชนะสงคราม ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงเรียกวัดนี้ว่า วัดใหญ่หรือ วัดหลวงพ่อโต ทางประวัติศาสตร์จากโบราณคดีจารึกสืบต่อกันแต่ครั้งโบราณกาล กล่าวว่า วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยามาถึง 2 ครั้ง มาในปี พ.ศ.2112 และ พ.ศ.2310 สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงกอบกู้อิสรภาพสู่ความเป็นไทยอีกครั้งหนึ่งพระองค์ทรงกระทำสงคราม และได้มีชัยชนะแก่พม่าหลายต่อหลายครั้ง จนอาณาเขตของประเทศไทย (สยาม) ขยายออกไป อีกอย่างกว้างขวาง ณ ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงยาตรากองทัพขับไล่ข้าศึกมาทางทิศตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา มาถึงยังตำบลหนึ่งซึ่งยังไม่ปรากฏนามและ ณ ที่แห่งนี้พระองค์ได้ทรงสั่งให้หยุดทัพพักไพร่พล และได้ทรงทำพิธีกรรมบวงสรวงหาฤกษ์ยามอันเป็นนิมิตตามตำรับพิชัยสงคราม ก่อนที่จะยาตราทัพไล่กวาดล้างข้าศึกและอริราชศัตรูต่อไป การทำพิธีพลีกรรมบวงสรวงนี้ ตามประเพณีโบราณมีการปลูกศาลเพียงตา พร้อมทั้งเครื่องเซ่นสังเวย ประดามี ข้าวตอกดอกไม้ สัตว์สี่เท้า สัตว์สองเท้า ขนมต้มขาว ขนมต้มดำ ขนมต้มแดงและอื่น ๆ พร้อมทั้งอัญเชิญพระแสงปืน พระแสงดาบ และสรรพวุธ บรรดามี เพื่อเข้าในพิธีพลีกรรมบวงสรวงนี้พร้อมทั้งตั้งสัจจะอธิษฐานต่อเทวาอารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่า “ถ้าหากพระองค์ยังมีบุญญาธิการปกครองไพร่ฟ้าประชาชน พร้อมทั้งบ้านเมืองให้ได้รับความร่วมเย็นเป็นสุขแล้ว ขอให้พระองค์จงมีชัยชนะต่ออริราชศัตรูทั้งมวล ครั้งเมื่อพระองค์ทรงกรีฑาทัพรบได้ชัยชนะแล้ว ก็ทรงยาตราทัพกลับสู่กรุงศรีอยุธยาย้อนผ่านกลับมาทางเดิม ที่พระองค์ได้ทรงกระทำพิธีกรรมบวงสรวงนั้นก็ทรงได้โปรดให้สร้างพลับพลาชัยขึ้นไว้เป็นอนุสรณ์ ในชัยชนะของพระองค์และทรงขนานพระนามว่า “พลับพลาชัยชนะสงคราม” ครั้งต่อมาชาวบ้านในละแวกแถบนั้นได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นที่พลับพลาแห่งนี้ และเรียกวัดที่สร้างขึ้นนี้ว่า“วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม” ส่วนชื่อของตำบลนั้นได้มีชื่อว่า “บางพลี” ก็เพราะเหตุที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงกระทำพิธีพลีกรรมบวงสรวงนั้นเอง ดังนั้นประชาชนทั้งหลายจึงเรียกว่าบางพลีและวัดพลับพลาชัยชนะสงครามก็ถูกเรียกตามตำบลนั้นอีกว่า “วัดบางพลี” ซึ่งชื่อนี้ประชาชนนิยมเรียกกันมากกว่าชื่อเดิม แต่เนื่องจากต่อมาได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกอยู่ทางด้านนอก เรียกกันว่า วัดบางพลีใหญ่กลาง ส่วนวัดพลับพลาชัยชนะสงครามเป็นวัดที่อยู่ทางด้านในมีอาณาเขตใหญ่โตซึ่งต่อมา ได้พระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นมิ่งขวัญของวัดจึงเรียกว่า “วัดบางพลีใหญ่ใน” หรือ “วัดหลวงพ่อโต” มาจนตราบเท่าทุกวันนี้
ประวัติหลวงพ่อโต
วัดบางพลีใหญ่ใน นี้ชาวบ้านใกล้ไกลแทบทุกคนมักจะเรียกกันว่า “วัดหลวงพ่อโต” เหตุที่เรียกกันดังนี้ ก็เพราะว่ามี พระพุทธรูปปางค์มารวิชัย (สะดุ้งมาร) ใหญ่โตมาก เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 3 ศอก 1 คืบ ลืมพระเนตร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถของวัดบางพลีใหญ่ใน ตามตำนานประวัติของหลวงพ่อโต ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ประมาณกาล 200 กว่าปีล่วงมาแล้วได้มีพระพุทธรูป 3 องค์ ปาฏิหาริย์ลงมาจากทางเหนือลอยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดมา พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ นี้เข้าใจว่าปวงชนในกรุงศรีอยุธยาคงอาราธนาท่านลงสู่แม่น้ำเพื่อ หลบหนีข้าศึก ด้วยในสมัยนั้น บ้านเมืองได้เกิดสภาวะสงครามขึ้นกับพม่า พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ได้แสดงอภินิหารลอยล่องมาตามลำแม่น้ำ และบางครั้งก็แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ผุดให้ผู้คนเห็น ตามลำดับ จนเป็นที่โจษจันกันทั่ว ถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน จนล่วงมาถึงตำบล ๆ หนึ่งท่านก็ได้ผุดให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์ พวกเหล่าประชาชนในตำบลนั้นต่างก็พร้อมใจกันทำ พิธีอาราธนาท่านขึ้นสู่ฝั่ง ฝูงชนประมาณ 3 แสน คนช่วยกันฉุดลากชะลอองค์ท่านก็ไม่สามารถนำท่านขึ้นสู่ฝั่งได้ และท่านก็กลับจมลงหายในแม่น้ำอีก ยังความเศร้าโศกเสียดายของประชาชนในตำบลนั้นเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาตำบลนั้นจึง ถูกเรียกชื่อว่า “ตำบลสามแสน” แต่ต่อมาก็ถูกเรียกกลับกลายเป็นสามเสน “ตำบลสามเสน” มาจนกระทั้งบัดนี้ ท่านสุนทรภู่ จินตกวีของไทย ยังได้พร่ำพรรณนาไว้เป็นคำกลอนว่า ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี ประชาชนฉุดพุทธรูปในวารี ไม่ได้เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น นี่หรือรักจักมิน่าเป็นราคิน แต่ชื่อดินเจียวยังหลายเป็นหลายคำ ขอใจนุชที่ฉันสุดจริตรัก ให้แน่หนักเหมือนพระพุทธรูปเขาขำ ถึงแสนคนจะมาวอนชอ้อนนำ สักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจ พระพุทธรูปได้ล่องลอยทวนน้ำมาทั้ง 3 องค์ โดยลำดับ ครั้งหนึ่งปรากฏว่าได้ล่องลอยไปจนถึงวัดฉะเชิงเทรา แสดงอภินิหารปรากฏให้ผู้คนเห็นอีกประชาชนต่างก็ได้ช่วยกันอาราธนา และฉุดชะลอท่านขึ้นจากลำน้ำแต่ก็ไม่สำเร็จอีกพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ได้ลอยทวนน้ำและจมหายไป ณ ที่แห่งนั้น จึงได้ชื่อว่าสามพระทวน แต่ต่อมาก็ได้เปลี่ยนเรียกกันอีกเป็น สัมปทวน คือ แม่น้ำหน้าวัดสัมปทวน อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ในปัจจุบันพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ท่านล่องลอยผ่าน ณ ที่ใดที่นั่นก็จะมีชื่อเรียกกันใหม่ทุกครั้ง ดังเช่น ท่านได้แสดงอภินิหารล่องลอยให้ผู้คนเห็นเป็นอัศจรรย์เรื่อยมาในแม่น้ำบางปะกงผู้คนมากมายพยายามที่จะอาราธนาท่านขึ้นแ ต่ก็ไม่สำเร็จอีก ณ สถานที่นั้นจึงได้มีเรียกชื่อกันว่า “บางพระ” ซึ่งเรียกว่า คลองบางพระในปัจจุบันครั้นต่อมาภายหลังปรากฏว่าพระพุทธรูปองค์หนึ่งไปขึ้นประดิษฐานอยู่ที่ วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม และต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกันพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งก็ไปขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา และอีกองค์หนึ่งได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ปาฏิหาริย์ลอยวกเข้ามาในลำคลองสำโรงประชาชนพบเห็นต่างโจษจันกันไปทั่วถึงความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหาร พร้อมกับพากันอาราธนาท่านขึ้นที่ปากคลองสำโรงนั้นแต่ท่านก็ไม่ยอมขึ้น และในที่นั้นได้มีผู้มีปัญญาดีคนหนึ่งได้ให้ความเห็นว่าคงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่านแม้จะใช้จำนวนผู้คนสักเท่าไร อาราธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่งไม่สำเร็จเป็นแน่ ควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยตามลำน้ำสำโรงและอธิษฐานว่า “หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใดก็ขอจงได้แสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมา จงหยุด ณ ที่นั้นเถิด” เมื่อประชาชนทั้งหลายได้เห็นพ้องดีกันดังนั้นแล้ว ก็พร้อมใจกันทำแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือซึ่งสมัยนั้นเป็นเรือพายทั้งสิ้นช่วยกันจ้ำพายจูงแพลอยเรื่อยมา ตามลำคลองเรือที่ใช้ลากจูงแพมานั้นมีชื่อแปลกต่าง ๆ กันเช่นชื่อ ม้าน้ำ เป็ดน้ำ ตุ๊กแก และอื่น ๆ เป็นต้น และจัดให้มีการละเล่นต่าง ๆมีละครเจ้ากรับรำถวายมาตลอดทาง และการละเล่นอื่น ๆ ครึกครื้นมาตลอดทั้งลำน้ำ ครั้งแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม หรือวัดบางพลีใหญ่ใน ในปัจจุบันนี้ แพที่ผูกชะลอองค์ท่านก็เกิดหยุดนิ่งพยายามจ้ำและพายกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง แพนั้นก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ ประชาชนที่มากับเรือและชาวบางพลีถึงกับขนลุกซู่ด้วยความเคารพ และเปี่ยมด้วยสักการะ จึงได้พร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าหลวงพ่อจะโปรดคุ้มครองชาวบางพลีให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้วก็ ขออาราธนาอัญเชิญองค์ท่านให้ขึ้นจากน้ำได้โดยง่ายเถิด” และก็เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากเพียงใช้คนไม่มากนักก็สามารถอาราธนาท่านขึ้นจากน้ำได้โดยง่าย ทำให้ประชาชนต่างแซ่ซ้องในอภินิหารของท่านเป็นอย่างยิ่ง และได้อาราธนาท่านขึ้นไปประดิษฐานอยู่ในวิหารนั้นเรื่อยมา ครั้นต่อมาได้รื้อวิหารนั้นอีกเพื่อสร้างเป็นพระอุโบสถที่ถาวร จึงต้องชะลออาราธนาองค์ท่านมาพักไว้ยังศาลาชั่วคราว จนกระทั่งได้สร้างพระอุโบสถสำเร็จแล้ว จึงได้อาราธนาท่านไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ เพื่อเป็นพระประธานของวัด บางพลีใหญ่ใน การที่ท่านได้พระนามว่า “หลวงพ่อโต” นั้นคงเป็นเพราะองค์ของท่านใหญ่โตสมกับที่ประชาชนเรียก คือ ใหญ่โตกว่าองค์ที่ลอยน้ำมาด้วยกันทั้ง 2 องค์ จึงถือเป็นนิมิตอันดีให้ประชาชนพากันถวายนามว่า “หลวงพ่อโต” เป็นสิ่งที่เคารพสักการะของชาวบางพลี และเป็น มิ่งขวัญของวัดบางพลีใหญ่ใน มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ การลำดับว่าองค์ไหนองค์พี่ องค์กลาง องค์น้อง นั้นและลอยมาพร้อมกันตามตำนานที่สืบต่อกันมา เข้าใจว่าคงจะนับเอาองค์ที่อาราธนาขึ้นจากน้ำได้ก่อเป็นองค์พี่ ขึ้นจากน้ำองค์ที่ 2 เป็นองค์กลาง ขึ้นจากน้ำองค์ที่ 3 เป็นองค์น้อง ตามลำดับคือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม อาราธนาขึ้นจากน้ำองค์ที่ 1 หลวงพ่อโสธร วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา อาราธนาขึ้นจากน้ำองค์ที่ 2 หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน จังหวัดสมุทรปราการ อาราธนาขึ้นจากน้ำ เป็นองค์ที่ 3 เรียงกันตามลำดับ อภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงพ่อโต อันอภินิหารตลอดทั้งความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อโตนั้น มีมากมายสุดคณานับ ซึ่งนับแต่ท่านได้แสดงอภินิหารล่องลอย มาตามกระแสน้ำในทะเล หรือแม้กระทั่งในมหาสมุทรจนกระทั่งได้ขึ้นประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถของวัดบางพลีใหญ่ใน ซึ่งเราท่านต่างก็จงคิดดูเอง เถิดว่ามีหรือไม่ว่าโลหะชนิดใดที่จะลอยน้ำมาได้ ซึ่งองค์หลวงพ่อโตเองนั้นก็เป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์มีน้ำหนักมาก ถ้ามิใช้เพราะอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ ขององค์หลวงพ่อ ทั้งท่านก็แสดงให้ประชาชนได้เห็นกันทั่วแถบตลอดทั้งลำน้ำเจ้าพระยาหรือแม้แต่ที่วัดบางพลีใหญ่ในซึ่งท่านประดิษฐานเป็ นมิ่งขวัญของชาวบางพลี ท่านก็ยังได้แสดงอภินิหารให้ประชาชนเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ดังเช่นครั้งท่านประดิษฐานอยู่ในพระวิหารเก่า บางวันที่เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ กลางคืนผู้คนจะได้ยินเสียงพึมพำ อยู่ในวิหารคล้ายเสียงสวดมนต์ ครั้นเมื่อเข้าไปดูก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในนั้นเลย นอกจากหลวงพ่อนั่ง พระพักตร์ยิ้มแฉ่ง จนผู้คนที่เข้าไปดูขนลุกซู่ด้วยความเลื่อมใส บางคราวพระภิกษุและสามเณรในวัดจะเห็น พระภิกษุชราห่มจีวรสีคราคร่ำคร่า ถือไม้เท้าเดินออกมายืนสงบนิ่งอยู่หน้าวิหาร ผู้ที่พบเห็นต่างก็เรียกกัน มาดู เมื่อทุกคนเห็นพร้อมกันดีแล้ว ภิกษุชรารูปนั้นก็เดินหายเข้าไปในวิหารตรงองค์ของหลวงพ่อ เป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน บางครั้งจะมีผู้เห็นเป็นชายรูปร่าง สง่างามมีรัศมีเปล่งปลั่งนุ่งขาวห่มขาวเข้ามาหาหลวงพ่อ แล้วก็หายไปตรงพระพักตร์ของท่านซึ่งยังความปลาบปลื้มปิติแก่ผู้ที่พบเห็นและที่ข้างวิหารนั้นมีสระน้ำย่อม ๆ อยู่ในหนึ่งในบางคราวจะมีปลาเงินปลาทอง หรือปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทองขนาดใหญ่ 2 ตัว ปรากฏให้เห็นลอยเล่นน้ำคู่กันอยู่ในสระนั้น ซึ่งในสระนั้น ไม่เคยมีปลาตะเพียนทองไว้สมนาคุณสำหรับบูชาไว้กับร้านค้า และ บ้านเรือน ปรากฏว่าผู้ที่นำไปสักการะบูชาประสบลาภผลอย่างดียิ่งในการทำมาหากินและโชคลาภประชาชน จึงถือว่าปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทองนี้ เป็นปลาคู่บรามีของหลวงพ่อโต จึงมีผู้คนต่างนำไปสักการะบูชากันมากมาย เดิมก่อนนั้น หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ในวิหารเก่า ของวัดบางพลีใหญ่ใน ซึ่งมีอายุเก่าแก่นานครำคร่าและทรุดโทรมลงไปมาก ทางวัดจึงพร้อมกันสร้างพระอุโบสถถวายท่านใหม่ขณะที่ก่อสร้างก็ได้ รื้อวิหาร หลังเก่าออกและอาราธนาชะลอองค์หลวงพ่อมาพักอยู่ที่ศาลาชั่วคราว และได้ตัดต้นพิกุลหน้าวิหารซึ่งมีขนาดใหญ่ประมาณ 3 คน โอบออกเสีย เพราะเห็นว่าขึ้นใหญ่โตและเกะกะบริเวณที่จะสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ และในคืนวันหนึ่งตรงพื้นเบื้องหน้าห่างหลวงพ่อราว 2 ศอกเศษ ได้ปรากฏว่ามีรอยเท้า ตอนเข้ามาไม่ปรากฏปรากฏแต่รอยเท้าตอนกลับเท่านั้น รุ่งขึ้นเช้าได้มีผู้คนแตกตื่นมาดูกันเป็นการใหญ่ ท่านผู้ใหญ่บางท่านบอกว่าเป็นรอยมือรอยเท้าของนางพิกุลที่มากราบลาหลวงพ่อ ซึ่งผู้ที่เฝ้าองค์หลวงพ่อที่ศาลานั้น ได้กล่าวว่าตนเองได้กลิ่นหอมของดอกพิกุลมาก จึงผงกศรีษะขึ้นดูอย่างงัวเงียจึงได้เห็นผู้หญิงสาวสวยผมยาวจรดบั้นเอว นุ่งผ้าและห่มสไบ สีคล้ายกลีบดอกจำปามาร่ำไห้กราบลาหลวงพ่อ เมื่อกราบลาหลวงพ่อแล้วก็เดินร่ำไห้ลงบันไดไป และแสดงอภินิหารฝากรอยมือรอยเท้าให้ปรากฏไว้ให้เห็นต้นพิกุลต้นนี้หลังจากได้ตัดแล้ว ต่อมาภายหลังได้แกะสลักเป็นรูปพระ “สังกัจจายน์” ประดิษฐานไว้ที่ด้านหน้าวิหารหลังเล็กข้าพระอุโบสถ พระสังกัจจายน์นี้ซึ่งแกะด้วย ต้นพิกุลนี้ มีชื่อเสียงมากในทางโชคลาภ มีผู้มาขอโชคกันบ่อย ๆ จนเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไปอีกสิ่งหนึ่ง และเมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จใหม่ ๆ ก่อนจะอาราธนาหลวงพ่อเข้าไปประดิษฐานภายในพระอุโบสถได้วัดองค์ท่านกับช่องประตูพระอุโบสถ ช่องประตูใหญ่กว่าองค์ท่านประมาณ 5 นิ้ว ซึ่งสามารถนำท่านชะลอผ่านประตูเข้าไปได้สบายมาก ครั้งเวลาอาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่พระอุโบสถจริง ๆ กลับปรากฏว่าองค์หลวงพ่อใหญ่กว่าช่องประตูมาก จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถนำท่านผ่านประตูเข้าไปได้ คณะกรรมการและประชาชนทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็พากันตกใจ ให้ความเห็นว่าต้องทุบช่อง ประตูออกเสียให้กว้าง เมื่อนำหลวงพ่อเข้าไปแล้วค่อยทำประตูกันใหม่ แต่บางท่านให้ความเห็นว่า หลวงพ่อโตคงจะแสดงอภินิหารให้ทุกคนได้เห็นเป็นอัศจรรย์ก็ได้จึงพร้อมใจกันทั่วทุกคน จุดธูปเทียนบูชาอธิษฐานของให้หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้ เพื่อเป็นมิ่งขวัญคุ้มครองชาวบางพลีสืบต่อไป เมื่อเสร็จจากอธิษฐานแล้วก็อาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่ประตูพระอุโบสถใหม่ คราวนี้ทุกคนก็ต้องแปลกใจที่องค์หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้อย่างง่ายดาย โดยมีช่องว่างระหว่างองค์หลวงพ่อโตกับประตูพระอุโบสถเสียอีก นับว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ในอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อโตยิ่งนัก นอกจากนั้น หลวงพ่อโตยังได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เจ็บป่วยทั้งหลายที่มาบอกเล่าบนบานกราบนมัสการท่าน บางท่านได้นำน้ำมนต์หลวงพ่อไปเพื่อเป็นสิริมงคล ปรากฏว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นนั้นหายวันหายคืนแม้กระทั้งรูปเหรียญหลวงพ่อโตชาวบ้านทั้งใกล้ไกลต่างพากันห้อยคอให้แก่ บุตรหลานของตน เพราะเมื่อเด็กเผลอพลัดตกน้ำ เด็กนั้นกลับลอยได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ ตลอดทั้งพระเครื่องรางที่ทำเป็นรูปขององค์หลวงพ่อ ก็มีอภินิหารป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ได้และเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2520 หลวงพ่อได้กระทำให้เกิดปาฏิหาริย์ องค์ท่านซึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์เกิดนุ่มนิ่มไปทั้งองค์ดังเนื้อมนุษย์ หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับพากันลงข่าวอันน่าอัศจรรย์นี้ทั่วไป ประชาชนพากันมาชมบารมีและการปาฏิหาริย์นี้อย่างเนืองแน่น และในปี พ.ศ.2522 ก็นิ่มอีก 1 ครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องแปลกและมหัศจรรย์มาก อภินิหาร และความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตนั้น มีมากมายไม่สามารถที่จะพรรณาได้หมดสิ้นดังที่ท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้วประชาชนจากที่ต่าง ๆ ทั้งใกล้และไกลต่างพากันมากราบนมัสการด้วยความเคารพเลื่อมใสในบารมีของหลวงพ่อโตมาก จนสุดจะคณานับได้
งานนมัสการหลวงพ่อโต
ด้วยอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตเป็นที่นับถือ และเป็นมิ่งขวัญของชาวบางพลี ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่ว ๆ ไป ทางวัดจึงจัดให้มีการ เฉลิมฉลององค์ท่าน โดยมีงานสมโภชเป็นประจำทุกปีไป งานนี้แบ่งออกเป็น 3 วาระ ในแต่ะปี คือ
1.งานปิดทองฝ่าพระพุทธบาทจำลองและนมัสการหลวงพ่อโต เริ่มงานตั้งแต่วันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 3 รวม 3 วัน
2.งานนมัสการและปิดทองหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นงานขององค์ท่านโดยตรง เริ่มงานตั้งแต่วันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันแรม 2 ค่ำ เดือน 4 รวม 3 วัน
3.งานประเพณีรับบัวและนมัสการหลวงพ่อโต เริ่มงานตั้งแต่วันขึ้น 11 ค่ำ ถึงขึ้น 14 ค่ำ หรือบางทีอาจยืดงานออกไปอีกตามความเหมาะสม งาน
ประเพณีรับบัวนี้เป็นงานประเพณีของวัดมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการจัดขบวนเรือแห่แหนหลวงพ่อโตจำลองไปตามลำคลองสำโรง มีการประกวด เรือทุกประเภท แข่งเรือ การละเล่นกีฬาต่าง ๆ และมีมหรสพสมโภชมากมายครึกครื้นตลอดงานและงานทำบุญฉลองที่หลวงพ่อได้นิ่มนั้นทำบุญฉลองใน วันวิสาขบูชา ขึ้น 15 เดือน 6 ของ ทุกปี


แนบไฟล์:
DSC02543.JPG

DSC02544.jpg

ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ใครทำใครได้ ไวๆด้วย
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 11 พ.ค. 2009 10:56 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
:grt:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ใครทำใครได้ ไวๆด้วย
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 12 พ.ค. 2009 8:54 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
พี่เอกคร้าบบบบบบ :evil: :evil:

กว่าจะอ่านจบเล่นเอาตาลายเลยคร้าบบบบ
ขอบพระคุณคร้าบบบบบบบบ :smk: :smk:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ใครทำใครได้ ไวๆด้วย
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 13 พ.ค. 2009 5:19 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ขอบพระคุณมากครับ

อ้า....


อ่านจบแว้วว....
.gif


_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
 หัวข้อกระทู้: Re: ใครทำใครได้ ไวๆด้วย
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 14 พ.ค. 2009 12:52 am 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
:lol: :lol: :lol:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO