ถาม:-พระนิพพานฟากผู้รู้ไปจนไม่มีที่หมายนั้นคืออย่างไร หลวงปู่ตอบ:-พระนิพพานฟากผู้รู้ไปจนไม่มีที่หมายนั้น คือไม่ยึดตนเป็นผู้รู้ ผู้รู้เป็นตนดังกล่าวแล้วนั้นเอง ผู้รู้เป็นแต่สักว่ารู้ ก็เป็นแต่ว่ารู้ตะพึดตะพืออยู่เช่นนั้นเอง เมื่อไม่ยึดถือว่าผู้รู้เป็นตน ตนเป็นผู้รู้ ผู้รู้ก็ดี ผู้ยึดถือก็ดีก็จบกัน ณ ที่นั้นเอง ที่เราไม่มี ของเราไม่มีนั้นเพราะมีแต่สังขารและกองทุกข์ และถ้าสำคัญว่าเรามีในพระนิพพาน พระนิพพานมีในเรา ก็ต้องเอาเราไปเสวยอีก ยกเราเทียมพระนิพพาน เรียกว่าไม่เคารพพระนิพพานก็ว่าได้
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
นกบินในอากาศวันยันค่ำก็ไม่มีรอยใช่หรือไม่ มีดเฉือนน้ำในที่ใดๆ วันยันค่ำก็ไม่มีรอยใช่หรือไม่ มีปัญหาว่าท่านผู้พ้นไปแล้วท่านรักษาจิตหรือไม่ ท่านเกรงความผิดหรือไม่ ขอตอบว่า ถ้าพระอรหันต์ยังรักษาจิตอยู่พระอรหันต์ก็ต้องเป็นทุกข์ใช่ไหม เพราะเกรงว่ามันจะผิดก็ต้องระวังจิตอยู่เหมือนคนคุมนักโทษ หลวงปู่ก็ต้องตอบบ้าๆ บอๆ ให้ฟัง ดังนี้แหละ เพราะหมดหนทางที่จะตอบ
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
การที่หนังสือบางเล่มว่า นิพพานอยู่เหนือรูปเหนือนามไกลแสนไกลอันนั้นก็เป็นการถูกเพราะรูปนามไม่ใช่พระนิพพาน ถึงแม้จิตก็ไม่ใช่พระนิพพานด้วย เหตุนั้นท่านจึงบัญญัติว่า รูป จิต เจตสิกนิพพาน ดังนี้ นิพพานจึงไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่นิพพาน แต่อาศัยจิตเป็นทางเดินถึงพระนิพพานเพราะสามารถรวมไตรสิกขาในจิตนั้นได้ แต่ขอให้เข้าใจอีกว่า อย่าไปเข้าใจว่าพระนิพพานเป็นของตั้งอยู่ และไปๆ มาๆ พระนิพพานไม่ได้ตั้งอยู่ เป็นเพียงแต่ว่า "ทรงมีอยู่" และใครเป็นผู้ทรงพระนิพพาน ก็พระนิพพานเท่านั้นทรงพระนิพพานได้ รูปขันธ์นามขันธ์ย่อมทรงพระนิพพานไม่ได้ ผู้จะถึงพระนิพพานก็ต้องเบื่อหน่ายความหลงของเจ้าตัวที่ไปยึดเอารูปขันธ์นามขันธ์มาเป็นตัว ตน เรา เขา สัตว์ บุคคล ก็คล้ายๆ กับว่าไปกำเอาแดดเอาลมมาเป็นตัวตน เรา เขา แล้วก็ชกมวยกับเงาของตน เป็นความเห็นไม่มีแก่นสารไร้เหตุไร้ผล แต่พระนิพพานทรงนอกเหตุนอกผลเสียแล้ว เพราะเหตุว่าเหนือดีเหนือชั่วไปแล้ว เหตุจะทำให้ดีให้ชั่วผลจะรับก็ไม่มีอีกด้วยเพราะเหตุไม่มี ผลจะมีมาจากประตูใดเล่า
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
" อย่าทำบุญอุทิศให้ อย่าเมาเถ้าเมากระดูก "
จากบันทึกของ พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว ทำให้ทราบถึงเมตตาธรรมของหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ที่มีต่อสัตว์โลก เพราะขณะที่หลวงปู่จาม มหาปุญโญ อาพาธอยู่ ท่านเคยพูดกับลูกศิษย์ว่า....
"...เมื่อกูตายแล้ว สูจะเอาสัตว์มาฆ่าทำลาบ ทำแกงเลี้ยงคน อีนี้เป็นคนไปซื้อมา บักนี้เป็นคนฆ่า อีนี้เป็นคนฟักลาบทำแกง ไอ้นี้คนซิม อีนี้เป็นคนตักกิน เป็นบาปเป็นกรรมกับสัตว์
กูหนาไม่อยากกับสูเจ้า อยากไปตายกับท้าวเวสสุวัณอยู่ป่าหิมพานต์ ตายแล้วให้เขาเอาเตโชธาตุเผา ไปเป็นบาปเป็นกรรมเป็นโทษไปกับสัตว์หมู ไก่ ปลา วัว ควาย
อันนี้พอกูตายสูเจ้าก็เอาสัตว์มาฆ่าทำลาบกินกันจนตลอด
โห ? จะเก็บไว้เท่าใดวันก็กินกันไปเท่านั้น กินกันทั้งวันกินแล้วขี้ ส้วมขี้เต็มสูบทิ้ง อึกทึกกันอยู่ทั้งวัด ฆ่าไปกินไป..."
ลูกหลานชาวบ้านได้ฟังก็พากันหัวเราะ ต่างก็ปฏิเสธว่าจะไม่ให้มีการฆ่าสัตว์และจะไม่เก็บศพเอาไว้นานดังความตั้งใจของท่าน
ท่านยังได้กล่าวเตือนสติอีกว่า.... "...ตายแล้วอย่าไปทำบุญอุทิศให้ บุญของผู้ข้าทำไว้แล้ว เอาแต่ไฟเผา ขี้เถ้ากระดูกเหลือก็ให้ขุดหลุมฝังเสียให้เรียบร้อย หรือไม่ก็เอาไปทิ้งลงแม่น้ำโขงให้หมดเรื่องไป อย่าได้เมาเถ้าเมากระดูก..."
คำสอน : ผู้มีสติเท่านั้นที่จะหายโง่ หายบ้า หายเมา ตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย ใจ มิใช่กิเลส รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ อารมณ์ มิใช่กิเลส อายตนะภายนอก อายตนะภายใน มิใข่กิเลส ความดำริของใจเจ้าโง่นี้ต่างหาก ที่มันพาให้เกิดเป็นกิเลส อยากได้ก็มัน โกรธหน้าดำหน้าแดงก็มันเมาหน้าเมาหลังก็มัน โง่ก็มัน ฉลาดก็มัน ให้รู้ฐานฐานะของตนอย่างนี้ จึงจักแก้ไขของตนได้
ราอย่ามัวเมาแต่ฝึกฝนเรื่องของโลก การหาการขอ การอยากได้ดิ้นรน การเล่นมัวเมาหลง การพยาบาทโทสะร้าย อย่าไปฝึกหัดให้มันเกิดขึ้น การหาหารขอ การอยากได้อยากดิ้นริ้น การเล่นการมัวเมาหลง การพยาบาทโทสะร้าย อย่าไปฝึกหัดให้มันเกิดขึ้น
บาปไม่เห็น เป็นตัวเป็นตน บุญไม่เห็น เป็นตัวเป็นตน ใจไม่เห็น เป็นตัวเป็นตน แต่เป็นของมีฤทธิ์
ความดีทำได้แล้วไม่เสียหาย บาปทำแล้วไม่สูญหาย ผู้ยังมิได้สำเร็จนั้นต้องเกี่ยวข้องกับบุญบาปนี้อีกต่อไป ต้องเป็นผู้ศึกษาในรูปนามนี้ตลอด
เปล่า....ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย นามรูป ธาตุ ขันธ์ อายตนะ เกิดขึ้นแล้วดับไปต่างหาก
อย่าทำแบบโลก ให้ทำแบบธรรม... “...ให้ดูข้อบกพร่องของตนเองให้มาก อย่ามัวไปดูแต่ผู้อื่น เพ่งหาข้อบกพร่องของผู้อื่น โทษของอื่นมันเท่าภูเขา โทษของเรากลับไม่ดู ส่งจิตส่งใจออกไปสู่หาโทษ ขนเอาทุกข์มาใส่ตัว...”
หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ณ บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร
บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๗๐ เมื่ออายุ ๑๗ ปี และครั้งที่สองในปี พ.ศ.๒๔๘๑ เมื่ออายุ ๒๘ ปี และอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกายในปี พ.ศ.๒๔๘๒
ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นผู้มีอารมณ์ดี สมถะ ไม่นิยมการรับบริจาคและการจำหน่ายวัตุมงคล มีเมตตาธรรมสูง ปฏิบัติตามศีลาจารวัตรที่งดงามเคร่งครัดในพระธรรมวินัย รักษาธุดงค์และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
หลวงปู่จาม มหาปุญโญ อาพาธด้วยโรคปอดติดเชื้อและโรคชรา มรณภาพในปี พ.ศ.๒๕๕๖ อายุ ๑๐๓ ปี ๗๓ พรรษา
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙
นักปฏิบัติกราบเรียนหลวงปู่ว่า กระผมพยายามหยุดคิดหยุดนึกให้ได้ตามที่หลวงปู่เคยสอน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จสักที ซ้ำยังเกิดความอึดอัดแน่นใจ สมองมึนงง แต่กระผมก็ยังศรัทธาว่าที่หลวงปู่สอนไว้ย่อมไม่ผิดพลาดแน่ ขอทราบอุบายวิธีต่อไปด้วย " หลวงปู่บอกว่า
"ก็แสดงถึงความผิดพลาดอยู่แล้ว เพราะบอกให้หยุดคิดหยุดนึก ก็กลับไปคิดที่จะหยุดคิดเสียอีกเล่า แล้วอาการหยุดจะอุบัติขึ้นได้อย่างไร จงกำจัดอวิชชาแห่งการหยุดคิดหยุดนึกเสียให้สิ้น เลิกล้มความคิดที่จะหยุดคิดเสียก็สิ้นเรื่อง"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลวงปู่ฝากไว้
|