Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

กระแสธรรม

พุธ 27 เม.ย. 2016 5:37 am

หลวงปู่สิม‬ "...กระแสของธรรม ของธรรม ก็คือให้รู้อยู่ เห็นอยู่ ในจิตใจภายในนี้ ให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งวัตถุธาตุทั้งหลายในโลกนี้ มีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนยั่งยืนอยู่เลย เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าสังขารทั้งหลาย มีความไม่เที่ยงทั้งหมดทั้งมวล ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งวัตถุทั้งหลาย ที่จิตใจมาลุ่มหลงมัวเมาอยู่นี้หมดนี่แหละ จงปล่อยวาง เลิกละ อาการทั้งหมดต่อไป นั่งก็ภาวนารู้ใจของเราเอง กิเลส อันใดมันจะเกิดขึ้นก็เลิกละออกไปหมดสิ้น เตือนใจของตัวเองให้ได้ว่า ความตายนั้นมันใกล้เข้ามา หรือว่ามันตายไปโดยลำดับ ลำดับ

แต่ปัญญาวิชชาเราไม่ทัน ก็เข้าใจว่า มันไม่แตก ไม่ทำลาย ชีวิตของคนเรา นั้น มันเปรียบเหมือนอย่างเราจุดธูป จุดเทียน เมื่อจุดแล้วไฟมันก็ไหม้ เมื่อไฟไหม้แล้วมันไม่ได้อยู่ที่เก่า เทียนที่ยาวประเดี๋ยวก็สั้นลงไป สั้นลง ไป ผลที่สุดก็หมด หมดก็ดับ ชีวิตของคนเราแต่ละบุคคลมันก็เหมือนไฟ ไหม้ธูปไหม้เทียนอย่างนั้น มันเสื่อมไป สิ้นไป หมดไป.."

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร






จิตของผู้มีบุญ

คุณสมบัติขั้นมาตรฐานของนักบวช นักบุญ ผู้มีศีล มีธรรม และนักสร้างปัญญาบารมี.....

๑.ไม่บ่น..

เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นปัญญา ทำให้ยอมรับต่อความเป็นจริงของชีวิต ทำให้รู้เห็นและเข้าใจ ถึงระดับวาสนาของตนและบุคคลอื่น

ความเป็นไปของชีวิตนั้น ขึ้นตรงต่ออำนาจบุญกรรมที่ทำไว้ บ่นไปก็แค่นั้นเอง ที่ได้มา ที่มีอยู่ ที่เสียใจ ที่ไม่ได้ดั่งใจ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันคือ “ผลแห่งกรรม” อันเป็นสมบัติของเรานั้นเอง

๒.ไม่กลัว..

เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความเข้มแข็ง กล้าหาญ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรค และปัญหาที่จะเกิดขึ้น
เพราะมีความมั่นใจในความเป็นผู้บริสุทธิ์ ความเป็นผู้มีบุญของตน เมื่อจะคิด จะทำ อะไรลงไป ล้วนมีกำลังบุญมารองรับทั้งหมดทั้งสิ้น

๓.ไม่ทำชั่ว..

เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพ ให้เป็นตัวควบคุม บริหารจัดการ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้เกิดความกลัว ความละอายต่อบาป ต่อกรรม ความผิดน้อยใหญ่ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เห็นถึงความเสียหายหลายภพหลายชาติ เห็นถึงผลกระทบต่อครอบครัว ต่อโลกต่อสังคมอย่างมากมายมหาศาล

๔.ไม่คิดมาก..

เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพ ให้เป็นความสะอาด ความสว่าง ความสงบ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้เกิดพลังแห่งความสงบแห่งจิตแห่งใจ ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญใจ ไม่คิดเป็นทุกข์ ความคิดทุกความคิดล้วนนำมาซึ่งความเบิกบานกายใจ ไม่คิดเบิกความทุกข์มาใช้ก่อน

๕.รอได้ คอยได้..

เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้น ก็จะแปรสภาพให้เป็นความใจเย็น มีความยืดหยุ่น ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ไม่ใจร้อน ใจเร็ว เห็นถึงจังหวะและโอกาสของชีวิต

๖.อดได้ ทนได้..

เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้น ก็จะแปรสภาพให้เป็นพลังงานเข้มแข็ง ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้มีความอดทนที่เป็นหนึ่งเป็นเลิศ มีความคิดที่ไม่หวั่นไหว เห็นความสำเร็จทุกชนิดมาจากความอดทน อดทนอย่างมีความสุข

๗.สงบได้ เย็นได้..

เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้น ก็จะเป็นสภาพให้เป็นคนที่สงบได้ เย็นได้ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ไม่เป็นคนที่ร้อนรน กระวนกระวาย สับส่าย วุ่นวายในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ในสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น แม้จะตกอยู่ในเหตุการณ์ที่เลวร้าย ก็ทำใจได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

๘.ปล่อยได้ วางได้..

เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้น ก็จะแปรสภาพให้เป็นคนที่รู้จักการละ การวาง ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ไม่เป็นคนที่แบกทุกอย่างที่ขวางหน้า ยึดทุกอย่างที่เกิดขึ้น

๙.รู้ได้ ตื่นได้ และเบิกบานได้..

เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้น ก็จะแปรสภาพให้เป็นความรู้ ตื่น เบิกบาน ตามกำลังของบุญฤทธิ์ เป็นผู้รู้ต่อความเป็นจริงของชีวิต ไม่ปล่อยชีวิตให้ตกไปในกระแสของ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตใจมีความอิสระเต็มที่ทุกวันทุกเวลาทุกนาที.

โอวาทธรรมองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันนะมหาเถระ
วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
ตอบกระทู้