มรรค คือ สงบ..ผล คือ สุข
เวลาภาวนาอย่าทิ้งกาย พิจารณาดูกายของเรานั่นล่ะ พิจารณาอสุภะอสุภัง มรรคผลนิพพานอยู่กับกายนั่นล่ะ ไม่ได้อยู่กับป่าไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ ดู "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ให้มันเห็น มันอยู่กับตัวเรา ไม่ได้อยู่กับใคร ไม่ได้คาดหน้า ไม่ได้คาดหลังนะ แต่อยู่กับปัจจุบันของเรา ทุกข์สุขก็อยู่กับใจ ความดีความชั่วก็อยู่กับใจ ความไม่ดีไม่ชั่วก็อยู่กับใจ
ทุกข์ก็ใจของเราเป็นผู้คิด สุขก็ใจของเราเป็นผู้คิด มรรคผลนิพพานก็อยู่กับใจ ภาวนามันพาให้ใจเย็น ใจสบาย ความว่างความเย็นก็เป็นพระนิพพาน มรรคคือความสงบ ผลก็คือความสุขถ้าตัดเข้ามา ถ้าพูดแบบปริยัติก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ มรรค แต่ตัดเข้ามรรคก็คือ "สงบ" ผลก็คือ "สุข"
ดูพระพุทธเจ้ากับสาวกท่านได้ดีกันก็เพราะ "ภาวนา" ก็ไม่ได้ดูที่ไหน ดูกายกับใจตัวเอง ให้มันเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นความเกิดดับ บวชกันเข้ามาแล้วหาภาวนามันจะได้ไม่ทุกข์ อย่าพากันอยู่เฉยๆ ภาวนานั่นแหละมันดี มันพาให้สงบ เอาล่ะ!
หลวงปู่เพียร วิริโย
วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
ดูเขาแล้วก็ดูตัวเองนะ พระพุทธเจ้าท่านก็เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วท่านก็เบื่อท่านเลยไม่ลาใคร ท่านขี่ม้าหนีเข้าป่าออกบวชเลยไม่ลาใคร ท่านทำความเพียรอยู่ 6 ปี ท่านจึงรู้ “ท่านเห็นทุกข์” พวกเราก็เหมือนกันสวดมนต์แล้วก็พากันเพียรภาวนาเด้อ ดูตัวเอง ไม่ต้องฟังเสียงใคร ฟังเสียงตัวเองนั่นแหละดีกว่าเสียงคนอื่น แก่แล้วพากันทำภาวนา ไม่ต้องห่วงใคร ไม่ต้องห่วงลูกห่วงหลาน ให้ห่วงตัวเอง ห่วงลูกก็เอาไปไม่ได้ ห่วงหลานก็เอาไปไม่ได้ แม้กระทั่งสังขารของเราก็เอาไปไม่ได้ เวลาเรามาเกิดเราก็ไม่ได้ชวนใครมากับเรา ลูกหลานเราก็ไม่ได้ชวนเขามานะ เรามาเกิดคนเดียว ถึงเวลาตายเราก็ตายไปคนเดียว ให้พากันทำ !
หลวงปู่เพียร วิริโย
วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
บุญที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน.... คำสอนสมเด็จโต!!
วันนี้อาตมาจะเทศน์ เรื่อง “บุญที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน” คำว่าบุญ แปลแบบไทยๆ ว่าความดี ความสะอาดแห่งจิต เวลาให้ของแก่พระสงฆ์เรียกว่าทำบุญ ส่วนการทำบุญในพุทธศาสนาเรียกว่าทำบุญ ส่วนการทำบุญในพุทธศาสนามีอยู่ด้วยกันมากมายหลายวิธี แต่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในธรรมะเรียกว่า บุญกริยาวัตถุ 3 ซึ่งประกอบด้วย ทาน ศีล ภาวนา เคยมีคนถามอาตมาว่าเกิดมาเป็นคนยากจนไร้ทรัพย์จะทำบุญอย่างไร
อาตมา ก็ตอบเขาไปว่าการทำบุญ ไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินเงินทอง ก็สามารถที่จะร่วมทำบุญได้ แถมยังประหยัดอีกด้วยนั่นคือ การรักษาศีลและการเจริญภาวนา ซึ่ง 2 อย่างนี้จะได้อานิสงส์ผลบุญมากกว่าการให้ทานเสียอีก เพียงแต่ญาติโยมมองข้ามกันไป โยมมักจะคิดทำบุญแต่การให้เท่านั้นเพราะว่ามันง่ายดี แต่การรักษาศีลและภาวนา ต้องเสียสละเวลาในการปฏิบัติ จึงรู้สึกว่าทำยากกว่า การทำบุญทุกอย่าง โยมต้องเข้าใจด้วยว่า เพียงแต่เราตั้งใจหรือมีเจตนาที่จะทำบุญเท่านั้น โยมก็ได้กุศลแล้ว แต่บุญที่ได้รับยังเป็นส่วนน้อย ถ้าอยากได้บุญเต็มที่ต้องทำบุญให้ครบ 3 อย่าง
ทาน คือ การให้ ถ้ามีเงินทองมากก็ทำมาก มีเงินน้อยก็ทำน้อยตามกำลังตนถ้าไม่มีเงินทองใช้แรงกายก็ให้เป็นทานได้
ศีล พวกท่านทั้งหลายสังเกตหรือไม่ว่า เวลาที่ญาติโยมจะมาทำบุญ ทำไมพระท่านถึงให้พวกญาติโยมรับศีลก่อน เพราะท่านต้องการที่จะทำให้ผู้ให้มีจิตใจที่บริสุทธิ์ เมื่อทำบุญขณะนั้นก็จะได้รับผลเต็มกำลัง จริงอยู่ที่บางคนไม่อาจถือศีลได้ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะหน้าที่การงาน ทำให้ต้องผิดศีล แต่เราก็สามารถที่จะถือศีลได้ในขณะที่เรานอนในเวลากลางคืน และถือได้ครบทั้ง 5 ข้อด้วย เพียงแต่เราอาราธนารับศีลทั้ง 5 ด้วยตนเองที่หน้าพระพุทธรูปที่บ้าน ซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญที่ง่ายมากได้รับผลเต็มกำลัง ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จิตใจเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา แต่ถ้าเกิดเราต้องตายในขณะนั้นก็ส่งผลให้เราไปสู่สุคติทันที
ภาวนา หรือ การสวดมนต์ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่า การภาวนาสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามาก แต่ความจริงแล้วการสวดมนต์ภาวนา มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์ภาวนา เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ การสวดมนต์ภาวนาด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ และใช้สติพิจารณาเกิดเป็นปัญญา เป็นความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์ภาวนา ทำให้บรรลุไปสู่พระนิพพาน
“ หัวใจของการทำบุญทุกครั้ง ” ขอให้ญาติโยมจงแผ่เมตตา และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทุกครั้งตามนี้
"...การภาวนาทำตอนหนุ่มนี่ล่ะมันดี เปรียบเหมือนกับคนขับรถ ถึงแม้จะเก่งจะชำนาญขนาดไหน แต่ว่าสภาพตัวรถมันเก่า แม้จะเหยียบคันเร่งเต็มที่ มันก็วิ่งได้เท่าเดิมตามสภาพของมัน การภาวนานี่ก็เหมือนกัน...."
หลวงปู่เพียร วิริโย
วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
ถาม : ควรจะปฏิบัติอย่างไร กับเรื่องศาลพระภูมิ จึงจะชื่อว่า ไม่งมงาย
หลวงพ่อพุธ : การตั้งศาลพระภูมิ โดยส่วนมาก หมอผู้ที่ตั้งศาลพระภูมิ บางท่านก็สามารถจะมองเห็นว่า เมื่อตั้งศาลพระภูมิขึ้นมาแล้ว ผู้ที่จะมาอยู่ในศาลพระภูมินั้น เป็นผี หรือเป็นเทวดา บางท่านก็รู้จักทำตามตำรับตำรา แต่หารู้ไม่ว่า ผีที่มาอยู่ศาลพระภูมิ เป็นผีเทวดา หรือผีหัวโกร๋น ก็ไม่รู้ การปฏิบัติต่อศาลพระภูมินี้ เราเชื่อว่าศาลพระภูมิ ในเมื่อสิ่งนั้นมาอยู่ สิ่งนั้นเป็นวิญญาณพระภูมิเทวดา หรือพระภูมิเจ้าที่ ๆ หมายถึงเทวดานั่นเอง การปฏิบัติต่อท่านเหล่านั้น ถ้าเราเอาสิ่งของไปเซ่นสรวง ก็จะเป็นอุบายให้ผูกท่านติดอยู่ในศาลพระภูมินั้นแหละ เพราะในเมื่อเราไปปฏิบัติต่อท่าน ท่านก็ติดในความดีของเรา
ถ้าหากเราจะปฏิบัติให้ถูกต้องกันจริง ๆ พวกที่มาอยู่ศาลพระภูมินี้เป็นวิญญาณชั้นต่ำ คอยอาศัยกินบุญจากมนุษย์เราผู้มีชีวิตอยู่ ถ้าเราทำบุญสุนทร์ทานอย่างไรแล้ว กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้พระภูมิ เมื่อพระภูมิได้อนุโมทนาแล้วก็บอกพระภูมิว่า (ท่านจะอนุโมทนาหรือไม่อนุโมทนาก็ไม่รู้ละ) แต่เราทำบุญแล้ว เราอุทิศส่วนบุญให้ท่าน เมื่อท่านได้อนุโมทนาแล้ว ท่านจะพ้นจากความเป็นผีพระภูมิ อาจจะเกิดเป็นเทวดาชั้นสูงขึ้นไปก็ได้ แต่การไหว้นี้คนที่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก อยู่ภายในจิต ภายในใจนี้ เราจะไหว้ตรงไหนก็ถูกพระของเราทุกหนทุกแห่ง เพราะเรามีคุณพระอยู่ในจิตในใจ การไหว้พระภูมิ เพียงแต่แสดงคารวะ โดยที่เราถือว่ามีอะไรอยู่ที่นี้ เพียงแค่นั้น ไม่ทำให้เสียคุณพระรัตนตรัย เป็นการแสดงความมีน้ำจิตน้ำใจนิดหน่อยเท่านั้น เหมือน ๆ กับเราไหว้เพื่อนฝูง หรือพ่อแม่ ไม่ขาดจากพระไตรสรณคมน์
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
นิวรณ์” แท้จริงมันก็มีอยู่กับตัวเราเสมอ ถึงจะเรียนก็มี ไม่เรียนก็มี
นิวรณ์นี้มันมีอำนาจ อิทธิพลมาก
เพราะเป็นเครื่องกลบเกลื่อนดวงจิตของเราไม่ให้ก้าวขึ้นสู่ความดีได้
เส้นทางของนิวรณ์ที่จะไหลมาสู่เรา ก็คือ
“สัญญาอดีต” อันได้แก่เรื่องราวต่างๆ ทั้งดีทั้งชั่ว
ทั้งของเราของเขาซึ่งเป็นอดีตทั้งหมดเส้นหนึ่ง
อีกเส้นหนึ่งคือ “สัญญาอนาคต”
นับแต่เรื่องที่คิดไปตั้งแต่วันพรุ่งนี้จนถึงวันตาย
ซึ่งเราอาจเดาอาจคิดไปด้วยความผิดพลาดทั้งหมดทั้ง ๒ ทาง
นี้เป็นเส้นทางที่ไหลมาจากนิวรณ์ทั้งสิ้น
ฉะนั้น เรื่องอดีต อนาคต ก็ต้องวางไว้ก่อน ยกจิตของเราขึ้นสู่องค์ภาวนา
คือ นึกถึงลมหายใจของลมอันเป็นส่วนปัจจุบันของรูป ปัจจุบันของนาม
ได้แก่ “ตัวรู้” เมื่อเราทำได้เช่นนี้
จิตของเราก็จะเหมือนกับลูกโป่งที่ลอยอยู่ในอากาศ
เพียงตัดเชือกเส้นเดียวเท่านั้นเราก็จะหลุดได้
คือ เมื่อตัดสัญญาขาด จิตของเราก็จะเข้าไปสู่องค์ภาวนาได้ทันที
ใจก็ไม่มีอาการอึดอัด มีแต่ความโปร่งสบาย
ใจก็สูงเหมือนลูกโป่งที่ถูกตัดเชือกออกจากก้อนหินที่ผูกไว้
สิ่งที่จะตามขึ้นไปทำลายรบกวนก็ยาก
เพราะธรรมดาขี้ฝุ่นนั้นก็จะกลบได้แต่เพียงแค่ศีรษะคนเท่านั้น
ที่มันจะปลิวขึ้นไปกลบถึงยอดภูเขา หรือยอดไม้สูงๆ นั้นย่อมไม่ได้
ฉะนั้น เมื่อจิตของเราสูงขึ้นแล้ว
นิวรณ์ทั้งหลายก็ไม่สามารถจะกลบจิตของเราให้เศร้าหมองได้
คัดลอกจาก : หนังสือแนวทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ๒.
โดยชมรมกัลยาณธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๑. ๒๕๕๓. หน้า ๑๔๒-๑๔๓.
" จิตของเรามันรั่วไหลไปตามกระแสของกิเลส
มานมนานแล้ว เราไม่ได้ฝึกฝนอบรม
บัดนี้เราจะประคองไว้ จะให้มันอยู่นิ่งอยู่
เป็นสมาธิ หากจิตมันไม่เป็นสมาธิ
จิตมันมีความทุกข์ เพราะมันคิดอยู่ไม่หยุด
มันมีความทุกข์ "
พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
"...ผู้ล่วงละเมิด ในศีลข้อนั้นๆ
นอกจากจะเป็นผู้สกปรก เดือดร้อนด้วยโทษ
นั้นๆแล้ว เมื่อตาย ไปแล้ว จะต้องไปสู่
ทุคติ มีนรกเป็นที่สุด พ้นจากนรก เป็นคนแล้ว
ได้รับ "เศษกรรม" นั้นอีก
๑. อายุสั้น ขี้โรค รูปร่างก็น่าเกลียด
๒. จนทรัพย์ อับปัญญา อนาถา ฉิบหายด้วยภัยต่างๆ
๓. ลูกเมีย ว่ายาก สอนยาก นอกใจ ชอกช้ำใจ
๔. พูดจาสิ่งใดไม่มีคนเชื่อ ถูกเสียดสี ด่าว่า
๕. เป็นคนบ้าใบ้ เสียจริต โง่เขลา เบาปัญญา
ด้วยเหตุนี้ จึงควรแต่ง กาย วาจา ใจ ให้สะอาด
เสียตั้งแต่ ยังมีชีวิต อยู่ในโลกนี้
เพราะ ถ้าไม่สะอาด แต่เมื่อยังอยู่ในโลกนี้
ตายไปแล้วก็จะเป็น ผู้สกปรกไม่สะอาด
ในโลกหน้าต่อไปอีก..."
(โอวาทธรรม หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
ขอเชิญร่วมบุญกันตามกำลังศรัทธากับงานผ้าป่าครอบครัวสามัคคี ในการสมทบปัจจัย สร้างโบถส์ วัดโคกกระหาด อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์
https://www.facebook.com/54762388194715 ... 83/?type=3พระมหาเสกสรร ธีรญาโณ วัดพระธาตุสวนธรรมเฉลิมพระเกียรติ บ้านเมืองฝาง ต.เมืองฝาง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ จากรายการร่มพระธรรม แจ้งข่าวงานบุญในรายการดังนี้
1. เจ้าภาพผ้าไตร สำหรับอุปสมบทพระ จำนวน 3 ไตร ไตรละ 3,000 บาท
2. เจ้าภาพขุดบ่อน้ำบาดาล พร้อมเครื่องสูบน้ำอัตโนมัติ งบประมาณ 20,000 บาท ร่วมบุญสามัคคี ทุนละ 1,000 บาท
3. เจ้าภาพพระพุทธรูปปางประทานพร เพื่อนำมาประดิษฐานหน้าบรรณอุโบสถ องค์ละ 20,000 บาท
ร่วมบุญกับพระมหาเสกสรร ธีรญาโณ
โทร 081-726-6808