Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

การตอบแทนบุญคุณบิดามารดา

พุธ 12 ส.ค. 2015 11:54 am

# การตอบแทนคุณมารดาบิดาอย่างสูงสุด #

ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง.
ท่านทั้งสองนั้นคือใคร ? คือ
๑. มารดา
๒. บิดา

ภิกษุทั้งหลาย !
บุตรพึงประคับประคองมารดา ด้วยบ่าข้างหนึ่ง
พึงประคับประคองบิดา ด้วยบ่าข้างหนึ่ง
เขามีอายุมีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้งสองนั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำและการดัดและท่านทั้งสองนั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสอง ของเขานั่นแหละ

ภิกษุทั้งหลาย !
การกระทำอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่า อันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดาเลย.

ภิกษุทั้งหลาย !
อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ในแผ่นดินใหญ่ อันมีรัตนะ ๗ ประการ มากหลายเช่นนี้

การกระทำกิจอย่างนั้น
ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้ว หรือตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดาเลย.

ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
เพราะมารดาบิดา มีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยงแสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย.

ส่วนบุตรคนใด
ยังมารดาบิดา ผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา).
ยังมารดาบิดา ผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในสีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล).
ยังมารดาบิดา ผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค).
ยังมารดาบิดา ทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา).

ภิกษุทั้งหลาย !
ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล
การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่า
อันบุตรนั้นทำแล้ว และ ทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา.




# มารดาบิดา และการกตัญญู ตามหลักพระพุทธศาสนา #

พุทธพจน์...

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มารดาบิดา อันบุตรแห่งตระกูลทั้งหลายใด บูชาอยู่ในเรือนของตน ตระกูลทั้งหลายนั้น ชื่อว่ามีพรหม มีบุรพาจารย์ มีอาหุไนย
คำว่าพรหม บุรพาจารย์ อาหุไนยนี่ เป็นคำเรียกมารดาบิดาทั้งหลาย นั่นเพราะเหตุอะไร เพราะมารดาบิดาทั้งหลายเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ฟูมฟักเลี้ยงดู แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ฯ

ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เราทั้งหลายจักเป็นผู้กตัญญกตเวที และอุปการะแม้เพียงเล็กน้อย ที่บุคคลอื่นกระทำในเราทั้งหลายจักไม่เสื่อมสูญไป เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้

มารดาบิดา
ในพระไตรปิฎก ได้กล่าวถึงความสำคัญของมารดาบิดาไว้ดังข้อความที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องผู้เป็นพ่อแม่ไว้ว่า

พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร
อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ ปชาย อนุกมฺปกา ฯ

แปลใจความได้ว่า
มารดาบิดา เป็นพระพรหมของบุตร มีพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
มารดาบิดา เป็นครู-อาจารย์คนแรกของบุตร สั่งสอนอบรมกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่น
มารดาบิดา เป็นบุคคลที่สมควรแก่วัตถุที่ลูกนำไปบูชา เป็นพระอรหันต์ของลูก
มารดาบิดา เป็นผู้อนุเคราะห์เลี้ยงดูบุตรจนโตใหญ่ สามารถเลี้ยงตนเองได้
มารดาบิดา เป็นเทวดาของบุตร
มารดาบิดา เป็นบุพการีของบุตร
และ มารดาบิดา เป็นมิตรในเรือนของบุตร "มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร"



# คติธรรมคำสอน องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต #

การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริง ก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดแต่ตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิด และบาปกรรมไม่ดีเลย


# คติธรรมคำสอน พระราชวุฒาจารย์ (พระอตุโล หลวงปู่ดูลย์) #

จิตนี้คือพุทโธ จิตนี้คือธรรม เป็นสภาวะพิเศษที่ไม่ไป ไม่มา เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ จิตนี้เหนือความดีและความชั่วทั้งปวง ซึ่งไม่อาจจัดเป็นลักษณะรูปหรือนามได้




เหมือนกะละมังที่ตั้งหงายอยู่กลางแจ้ง
ถึงแม้ฝนจะตกลงมาใส่ทีละหยดๆ
มันก็มีโอกาสที่จะเต็มได้
เมื่อเราทำบุญแล้วเรายังไม่ได้ละบาป
ก็เหมือนกับเราเอากะละมังไปครอบคว่ำไว้กลางแจ้ง
ฝนตกลงมาถูกก้นกะละมังเหมือนกัน
แต่ว่ามันถูกข้างนอก เมื่อมันถูกข้างนอก
น้ำก็ไม่มีโอกาสที่จะเต็มในกะละมังนั้นได้
อันนี้เรียกว่า "ทำบุญแต่ไม่ละบาป"

หลวงปู่ชา สุภัทโท
ตอบกระทู้