Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

การปรุงแต่งกับความเป็นเอง

อาทิตย์ 21 ธ.ค. 2008 1:36 am

(มีผู้กราบเรียนถามหลวงพ่อพุธว่า เมื่อพิจารณาธาตุสี่แล้วพิจารณาปฏิกูล อสุภะ จากนั้นจะพิจารณาขันธ์ห้าต่อไปเลย ใช่หรือไม่ ? ท่านตอบว่า...)

อันนี้เข้าใจผิด พิจารณาคืออะไร เอาอย่างนั้นนั่นแหละ ซ้ำ ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่ใช่ว่าพอได้ขั้นนี้แล้วจะก้าวขึ้นขั้นนั้น ก้าวขึ้นขั้นนั้น อันนั้นมันเป็นการปรุงแต่ง พิจารณาไปจนว่ากระทั่งจิตมันเป็นเองโดยธรรมชาติของสมาธิ

สมาธิตามความเข้าใจมันมีอยู่สองอย่าง

อย่างหนึ่งเราสามารถฝึกจิตให้มันหยุดนิ่งได้ อาศัยการฝึกจิตจนคล่องชำนิชำนาญ เราจะให้มันหยุดเมื่อไรก็ได้ เมื่อมันหยุดแล้วเราจะน้อมไปไหนก็ได้ อันนี้มันยังไม่ใช่สมาธิ เป็นแต่เพียงความสงบ แก้ไขปัญหาจิตไม่ได้

สมาธิ พอเราพิจารณาลงไปหรือบริกรรมภาวนาไป พอมันเริ่มสงบแล้วมันจะวูบ ๆ ๆ ๆ ๆ ไป รั้งไม่อยู่ ในเมื่อมันสงบลงอย่างนั้น ทางไปมันมีอยู่สองทาง

ทางหนึ่ง ถ้าจิตส่งกระแสออกนอก เกิดมโนภาพเรียกว่า นิมิต
อีกทางหนึ่ง ถ้ามันวิ่งเข้ามาข้างใน มันจะมองเห็นอวัยวะภายในทั้งหมดในขณะจิตเดียว
อีกทางหนึ่ง ถ้ามันรู้อยู่เฉพาะจิตอย่างเดียว มันจะเห็นอารมณ์ที่เกิดดับอยู่กับจิตอยู่ตลอดเวลา

ทางไปมีอยู่สามทางเท่านั้น

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติสมาธิต้องให้มันถึงความเป็นเอง ความเป็นเองนี่หมายถึงว่าสัญญาเจตนาความตั้งใจจะให้จิตเป็นอย่างไรมันหายไปหมด หลังจากนั้นจิตจะปฏิวัติไปสู่ภูมิฌานสมาบัติหรือจะไปฌานในอริยมรรค จิตจะปฏิวัติตัวไปเอง ถ้ามันนิ่ง เอาแต่เงียบลึกลงไป มันก็ไปฌานสมาบัติ แต่พอมันสงบลงไปนิดหน่อยแล้วความรู้ความคิดมันผุดขึ้น ๆ อันนี้มันเป็นสมาธิ มีวิตก วิจาร เป็นสมาธิในแนวทางอริยมรรค อริยผล

เพราะฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติ จิตจะสงบหรือไม่สงบไม่สำคัญ ขอให้เรามีสติเป็นตัวเด่น ไม่ต้องไปเอาว่า ขั้นนี้อุปจารสมาธิ ขั้นนี้อัปปนาสมาธิ ขั้นนี้ญาณ ขั้นนั้นฌาน ขั้นนี้เป็นอะไร อย่าไปนับมัน ป่วยการ เอาให้มันเป็นก็แล้วกัน

ทีนี้เมื่อจิตของเราผ่านไปอย่างไร ๆ ๆ ในขณะที่มันเป็นอยู่นี่มันไม่นับขั้นตอนหรอก มันไปตามครรลองของมัน ตามธรรมชาติของสมาธิ ถ้าเราอยากรู้ว่ามันผ่านขั้นไหน ๆ ออกจากสมาธิมาแล้วเรามานั่งนึกลำดับ เราจึงจะรู้ว่าจิตของเราผ่านอะไรบ้าง ในขณะที่เป็นอยู่นี่มันไม่มีการนับขั้นนับตอน

เช่นอย่างพอภาวนาไป ๆ พอเกิดเวทนาทุกข์ขึ้นมา ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ แล้วจิตมันก็ถอนออกจากสมาธิ พอเกิดความสุข เอ้า สุขหนอ สุขหนอ จิตก็ถอนออกจากสมาธิ พอจะเกิดปีติ ปีติหนอ จิตก็ถอนจากสมาธิ

เพราะฉะนั้น ในเมื่อมันมีอันเป็นไป ปล่อยไปเลย มันจะไปอย่างไรช่างมัน

เพราะฉะนั้น แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจ สมมติว่าอาจารย์ของเราท่านสอนว่า ให้ภาวนา สัมมาอะระหัง นะ อย่าไปข้องใจสงสัย อาจารย์สั่งให้ภาวนาอย่างนี้เราจะภาวนาของเราอย่างนี้เรื่อยไป ถ้าอุปัชฌาย์สั่งว่าให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นะ พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เรื่อยไป จนกระทั่งสมาธิมันเกิดเองโดยธรรมชาติ

ๆ หน้าตรง.jpg
ๆ หน้าตรง.jpg (13.6 KiB) เปิดดู 1054 ครั้ง

พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา

Re: การปรุงแต่งกับความเป็นเอง

อาทิตย์ 21 ธ.ค. 2008 7:46 pm

สาธุ

Re: การปรุงแต่งกับความเป็นเอง

อาทิตย์ 21 ธ.ค. 2008 10:34 pm

สนับสนุนคำสอนนี้ครับ
"สมาธิ มีได้แต่อย่าลืมเอาสติไปด้วย..."
อ้างอิง..ลป.เมี้ยน วัดโพธิ์ (กบเจา) ครับ
:D :)

Re: การปรุงแต่งกับความเป็นเอง

จันทร์ 22 ธ.ค. 2008 11:12 am

คำถามบางอย่าง ต้องใช้เวลา เพื่อจะได้คำตอบ

ตอนนี้ คำถามบางคำถามของเด็กลึกลับ ได้รับคำตอบแล้ว

สาธุกับท่านผู้ตอบคำถาม สาธุกับผู้ตั้งคำถาม

และสาธุกับผู้นำมาเผยแพร่

ขอบพระคุณฮะ

Re: การปรุงแต่งกับความเป็นเอง

จันทร์ 22 ธ.ค. 2008 11:36 am

สาธุ...
ตอบกระทู้