Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ผัสสเจตสิก

อังคาร 03 ส.ค. 2010 7:41 pm

ผู้เข้าไปนิมนต์รู้ได้อย่างไรว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วยดุษณีภาพ

คนในสมัยนั้นเขาเข้าใจกันว่าพระองค์ทรงรับนิมนต์แล้ว

เพราะถ้าไม่รับ พระองค์จะตรัสคำอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มีผู้นิมนต์แล้ว เป็นต้น


"เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ

จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก ความเกิด

บ่อย ๆ เป็นทุกข์, แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่าน

แล้ว, ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่ ของท่าน

เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของเรา

ถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว, เพราะเรา

บรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว"

พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ได้ตรัสพระ-

คาถาข้างต้น พระพุทธองค์ทรงบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหา พบนายช่างผู้สร้างภพชาติ

สำหรับพวกเรา บ้านของเราขณะนี้ ตัณหาเป็นผู้สร้างและจะสร้างต่อๆ ไปอีกเกิดแล้ว

ตาย ตายแล้วเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับตัณหา พระพุทธองค์ทรงบอก

ทางแก่พวกเราแล้ว เป็นหนทางสายเดียวเท่านั้นคือ อริยมรรคมีองค์ ๘ การอบรม

เจริญสติปัฏฐานซึ่งมรรคองค์แรกคือ สัมมาทิฏฐิ เริ่มจากการมีความเห็นถูกในหนทาง

ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากการเห็นถูกเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ว่าเป็นเพียง

สภาพธรรม ไม่ใช่เรา อบรมเจริญสติปัฏฐานจนกว่าจะดับตัณหาหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท

ไม่มีผู้สร้างเรือนให้อีกต่อไป...

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๔๒ หน้าที่ ๑๗๘ - ๑๘๐



เรื่องปฐมโพธิกาล



พระศาสดาประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ทรงเปล่งอุทานด้วยสามารถเบิก

บานพระหฤทัย ในสมัยอื่น พระอานนท์เถระทูลถาม จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า

"อเนกชาติสสาร" เป็นต้น.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล ประทับนั่ง ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ เมื่อพระ-

อาทิตย์ยังไม่อัสดงคตทรงกำจัดมารและพลแห่งมารแล้ว ในปฐมยาม ทรงทำลายความ

มืดที่ปกปิดปุพเพนิวาสญาณ, ในมัชฌิมยาม ทรงชำระทิพยจักษุให้หมดจดแล้ว, ใน

ปัจฉิมยาม ทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงหยั่งพระญาณลงในปัจจยาการแล้ว

ทรงพิจารณาปัจจยาการนั้น ด้วยสามารถแห่งอนุโลมและปฏิโลม. ในเวลาอรุณขึ้นทรง

บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ

พร้อมด้วยอัศจรรย์หลายอย่าง เมื่อจะทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าหลายแสน

พระองค์ไม่ทรงละแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

"เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ

จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก ความเกิด

บ่อย ๆ เป็นทุกข์, แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่าน

แล้ว, ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่ ของท่าน

เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของเรา

ถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว, เพราะเรา

บรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว"

แก้อรรถ




บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า คหการ คเวสนฺโต ความว่า เราเมื่อแสวงหา

นายช่างคือตัณหาผู้ทำเรือน กล่าวคืออัตภาพนี้ มีอภินิหารอันทำไว้แล้ว แทบ

บาทมูลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร เพื่อประโยชน์แก่พระญาณ อัน

เป็นเครื่องอาจเห็นนายช่างนั้นได้ คือ พระโพธิญาณ เมื่อไม่ประสบ ไม่พบ คือ

ไม่ได้พระญาณนั้นแล จึงท่องเที่ยวคือเร่ร่อน ได้แก่ วนเวียนไป ๆ มา ๆ สู่สังสาระ

มีชาติเป็นเอนก คือ สู่สังสารวัฏฏ์นี้ อันนับได้หลายแสนชาติ สิ้นกาลมีประมาณเท่านี้.

คำว่า ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุน นี้ เป็นคำแสดงเหตุแห่งการแสวงหาช่างผู้ทำ

เรือน. เพราะชื่อว่าชาตินี้

คือ การเข้าถึงบ่อย ๆ ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะภาวะที่เจือด้วยชรา พยาธิ และ

มรณะ. ก็ชาตินั้น เมื่อนายช่างผู้ทำเรือนนั้น อันใคร ๆ ไม่พบแล้ว ย่อมไม่กลับ.

ฉะนั้น เราเมื่อแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน จึงได้ท่องเที่ยวไป. บทว่า ทิฏฺโฐสิ ความ

ว่า บัดนี้เราตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ พบท่านแล้วแน่นอน. บทว่า ปุน เคหํ ความว่า

ท่านจักทำเรือนของเรากล่าวคืออัตภาพ ในสังสารวัฏฏ์นี้อีกไม่ได้.

บาทพระคาถาว่า สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา ความว่า ซี่โครง กล่าวคือกิเลสที่

เหลือทั้งหมดของท่าน เราหักเสียแล้ว.

บาทพระคาถาว่า คหกูฏ วิสงฺขต ความว่า ถึงมณฑลช่อฟ้ากล่าวคืออวิชชา

แห่งเรือนคืออัตภาพที่ท่านสร้างแล้วนี้ เราก็รื้อเสียแล้ว.

บาทพระคาถาว่า วิสงฺขารคต จิตฺต ความว่า บัดนี้ จิตของเราถึงคือเข้า

ไปถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว คือ พระนิพพาน ด้วยสามารถแห่งอันกระทำให้

เป็นอารมณ์.

บาทพระคาถาว่า ตณฺหาน ขยมชฺฌคา ความว่า เราบรรลุพระอรหัตต์ กล่าว

คือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหาแล้ว.


เรื่องปฐมโพธิกาล จบ.
ข้อความโดยสรุป

เรื่อง ปฐมโพธิกาล

-------------------------

คำว่า ปฐมโพธิกาล หมายถึง ช่วงเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ใหม่ ๆ

หรือ เมื่อแรกที่ได้ทรงตรัสรู้

เป็นความจริงที่ว่า พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็จะทรงเปล่ง

พระอุทาน (คำที่ทรงเปล่งออกด้วยพระโสมนัสสญาณ) ว่า เราแสวงหานายช่างผู้ทำ

เรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก เป็นต้น

พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ (พระสมณโคดม) ก็เช่นเดียวกัน ในวันที่ทรงตรัสรู้ (วันขึ้น

๑๕ ค่ำ เดือน๖) พระองค์เสด็จเข้าไปยังโคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงกำจัดกองกำลัง

แห่งมาร และ ทรงบรรลุสัมโพธิญาณ ณ ที่นั้น ในเวลาใกล้รุ่งของวันวิสาขบูชา

เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ได้ทรงเปล่งพระอุทาน ดังกล่าว ในสมัยต่อมา

พระอานนท์ทูลถาม พระองค์จึงได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้ ดังปรากฏในพระสูตร

นั่นแล

ใจความของพระคาถาที่เป็นพระอุทานของพระพุทธเจ้า สรุปได้ว่า พระโพธิสัตว์

ทรงบำเพ็ญบารมีตลอดระยะเวลา ๔ อสงไขยแสนกัปป์เพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

เป็นผู้ทรงห่างไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง แต่เมื่อยังไม่ได้ปัญญาที่

จะสามารถดับตัณหาซึ่งเป็นกิเลสที่สร้างภพชาติได้ ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด นับชาติ

ไม่ถ้วน ยังเต็มไปด้วยกองแห่งทุกข์นานัปประการ แต่เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็น

พระพุทธเจ้า ดับตัณหาซึ่งเป็นตัวสร้างภพชาติ พร้อมทั้งอวิชชา และกิเลสทั้งหลาย

ในฐานะเดียวกัน ได้ทั้งหมดแล้ว กิเลสเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นอีก ไม่สามารถสร้าง

ภพชาติให้กับพระองค์ได้อีกต่อไป ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับพระองค์ ภพใหม่

ไม่มีอีกต่อไป


วันวิสาขะ เป็นวันพิเศษวันอันประเสริฐที่สุด เพราะเป็นวันที่

พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ได้ตรัสรู้ และย้อนกลับไปเมื่อสี่อสงไขย

แสนกัปป์ ในวันวิสาขะ ท่านสุเมธดาบสได้รับคำพยากรณ์จาก

พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ว่าอนาคตจะได้เป็นพระพุทธเจ้า





เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน

อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตามถนนหนทาง กรวดน้ำอุทิศบุญ เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน
รักษาศีล อาราธนาศีล เจริญวิปัสสนา ได้ปฏิบัติธรรม
ได้ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ
ทำงานบ้านช่วยพ่อแม่และเจริญอาโปกสิน ศึกษาการรักษาโรค
วันนี้ได้สนทนาธรรมกับพระคุณเจ้าที่วัด
และสร้างบารมีครบทั้ง 10 อย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย



ขอเชิญร่วมทอดกฐินและสมโภชน์เจดีย์ทันตธาตุหลวงปู่เสาร์ กันตสีโร ณ วัดถ้ำชัยมงคล


--------------------------------------------------------------------------------

โทร. 083 - 3755761
ตอบกระทู้