Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

“จะเดินทางไกลโดยไม่หยุดกินข้าวเลย ... มันไปไม่ถึงหรอก”

ศุกร์ 26 ก.พ. 2010 1:33 am

ะเดินทางไกลโดยไม่หยุดกินข้าวเลย ... มันไปไม่ถึงหรอก”
พรหมปัญโญ ครึ่งองค์ยิ้ม re1.jpg
พรหมปัญโญ ครึ่งองค์ยิ้ม re1.jpg (16 KiB) เปิดดู 743 ครั้ง

มักเป็นคำตอบของ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เมื่อมีผู้มาถามท่านเรื่องการพิจารณาทางด้านปัญญา แต่มองข้ามความสำคัญของการฝึกสมาธิ

มีผู้มาใหม่จำนวนไม่น้อยมักเกิดข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการปฏิบัติภาวนาที่หลวงปู่สอน เช่น

1. จะกำหนดนิมิตอย่างเดียว หรือจะบริกรรมภาวนาอย่างเดียว หรือควรต้องทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน

2. เวลาบริกรรมภาวนานั้น จะต้องบริกรรมภาวนามากน้อยเพียงใด บริกรรมห่าง ๆ หรือบริกรรมถี่ ๆ

3. การปฏิบัติแบบหลวงปู่ ไม่กลัวทำให้ติดนิมิต หรือติดอาการปีติหรือ

4. ต้องสวดมนต์ อาราธนากรรมฐานก่อน หรือปฏิบัติสมาธิภาวนาได้เลย

5. เมื่อเกิดอาการปีติหรือสงบแล้วต้องทำอย่างไรต่อ ฯลฯ



ในเรื่องนี้คงไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่จะขออนุญาตเรียนไว้เป็นทัศนะอันหนึ่งว่า การจะทำให้หายสงสัยในคำถามต่าง ๆ ข้างต้น ตลอดถึงคำถามอื่นใดที่นอกเหนือจากนี้ไปอีกนั้น ขอแนะนำแบบกว้าง ๆ ว่า

เราควรศึกษาพอประมาณแล้วลงมือปฏิบัติไป จากนั้นก็สังเกตใจเราเอง เช่น ถ้าฟุ้งนัก ก็ให้มีทั้งการกำหนดนิมิตและบริกรรมภาวนา หากไม่ฟุ้งเท่าไรก็อาจเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะเอาทั้งสองอย่างก็ไม่แปลกอะไร ผลที่ปรากฏแก่ใจเรา จะเป็นตัวบอกเราเองว่าควรปฏิบัติแค่ไหนอย่างไร เรียกว่า เรียนรู้จากภาคปฏิบัติ ผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่ต้องกลัว ตราบที่เรายังรักษาความเป็นผู้อ่อนน้อมสงบเสงี่ยมเจียมตัว ...ไม่ต้องกลัวหลง

จะรอศึกษาให้ครบถ้วนบริบูรณ์ก่อนลงมือปฏิบัติ เพื่อจะได้ปฏิบัติไม่ให้ผิดพลาดเลยนั้น ไม่มีหรอก
มันต้องพบกับภาวะ ขาดบ้าง เกินบ้าง จึงจะรู้ว่าความพอดีหรือมัชฌิมาของเรานั้นอยู่ตรงไหน

สิ่งที่ต้องตระหนักอีกประการหนึ่งก็คือ

เรามิได้ปฏิบัติสมาธิเพื่อสมาธิ หากแต่เพื่อจะอาศัยเป็นอุปกรณ์ในการเจริญปัญญาต่อไป

สมาธิจะช่วยให้จิตของเรามีภาวะที่เรียกว่า อ่อนโยนควรแก่การงาน มีกำลังวังชาเหมือนคนกินข้าวอิ่ม นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ จากนั้นก็ต้องทำงาน นั่นคือการพิจารณาทางด้านปัญญา แต่ที่จะพิจารณาเลยโดยมองข้ามสมาธินั้น หลวงปู่อุปมาว่า

"เหมือนคนจะเดินทางไกลโดยไม่หยุดกินข้าวเลย มันไปไม่ถึงหรอก"


อิทธิบาท ๔ ควรนำมาใช้ อย่าให้อยู่แต่ในตำรับตำรา หรือบูชาไว้ที่หิ้ง

สร้าง ฉันทะ ความพึงใจในการปฏิบัติ กำหนดนิมิตก็ดี บริกรรมภาวนาก็ดี ให้ทำอย่างมีความสุข ทำอย่างผู้เห็นค่าเห็นประโยชน์ของการกระทำ ยินดีในองค์พระหรือภาวะความสว่างของจิตที่เกิดขึ้นในทุก ๆ คำบริกรรมภาวนา

มี วิริยะ ความเพียร บริกรรมภาวนาและกำหนดนิมิตให้ต่อเนื่องเรื่อยไป เมื่อเผลอสติหลงลืมไปก็ตั้งขึ้นใหม่ ไม่อ่อนแอต่อนิวรณ์ ความฟุ้ง ความขี้เกียจขี้คร้าน ความง่วงเหงาหาวนอน หรือความลังเลสงสัยต่าง ๆ ก็ให้วางไว้ก่อน

มี จิตตะ คือ จดจ่อต่อเนื่องในการปฏิบัติ ให้เหมือน "มดแดง" ที่กัดจนแม้กระทั่งถูกเด็ดหัวหลุดก็ยังไม่ยอมปล่อย หรือเหมือนการเอาไม้มาสีกัน สีจนกระทั่งเกิดความร้อนและเกิดเปลวไฟ สติ แปลว่า ระลึกหรือนึกขึ้นมา นึกขึ้นมาเรื่อย ๆ ทั้งนิมิตและคำบริกรรมภาวนา สติก็จะต่อเนื่องมากขึ้น ...เจริญสติ จึงจะได้สติ

มี วิมังสา คือใช้ปัญญาสอดส่องว่าวางจิตไม่หนักหรือบังคับให้เคร่งเครียดเกินไป และ ในทางตรงกันข้าม ก็อย่าวางจิตหย่อนยาน จนความง่วงเหงาหาวนอนมาเยือน เผลอสติทีไรก็ให้ระลึกรู้โดยเร็ว นิมิตเกิดขึ้นก็อย่าปักใจเชื่อ ให้วางใจเป็นกลาง ๆ รับทราบ และน้อมเพียงความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย มิใช่ปักใจเชื่อนิมิต หลงนิมิต หรือคล้อยตามนิมิตจนหลุดออกไปจากกรรมฐานเดิม

เล่าไว้พอเป็นแนวทางเบื้องต้น ตามที่หลวงปู่ท่านได้เมตตาให้หลักเรื่องการปฏิบัตภาวนาแก่พวกเราไว้....

Re: “จะเดินทางไกลโดยไม่หยุดกินข้าวเลย ... มันไปไม่ถึงหรอก”

ศุกร์ 26 ก.พ. 2010 5:09 pm

สาธุ สาธุ :D

Re: “จะเดินทางไกลโดยไม่หยุดกินข้าวเลย ... มันไปไม่ถึงหรอก”

เสาร์ 27 ก.พ. 2010 8:49 am

ขอบคุณครับ !
ตอบกระทู้