พฤหัสฯ. 16 ต.ค. 2008 2:30 pm

- saing.jpg (42.93 KiB) เปิดดู 1284 ครั้ง
เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๘ (
หลวงปู่ดู่ มรณภาพล่วงไปแล้ว ๑๕ ปี) เป็นเรื่องที่ช่วยให้เห็นถึงความเมตตาของครูบาอาจารย์ รวมทั้งยืนยันว่าท่านสามารถช่วยเหลือลูกศิษย์ได้แม้ท่านจะละสังขารไปแล้วก็ตาม น่าเสียดายที่ไม่อาจติดตามสอบถามชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยากจะนำมาเรียบเรียงบันทึกไว้เล่าสู่กันฟัง
เหตุการณ์นี้เริ่มต้นที่ลูกศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่ขับรถยนต์ไปชนเด็กหนุ่มผู้หนึ่งจนบาดเจ็บอาการสาหัสมาก เป็นตายเท่ากัน ลูกศิษย์ผู้นี้ก็กลุ้มใจมากเพราะเกิดมาก็ไม่ได้ประสงค์จะทำบาปทำกรรมกับใคร อีกทั้งไม่อยากมีบาปกรรมอันเกิดจากปาณาติบาต เขาจึงมาบน
หลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก ร้องขอให้ท่านช่วยเหลือให้เด็กหนุ่มผู้นี้อย่าถึงขั้นต้องเสียชีวิตเลย
เด็กหนุ่มนั้น ครั้งแรกก็เข้ารับการรักษาที่ห้อง ICU ของโรงพยาบาลในอยุธยา แต่เมื่อหมอเอาไม่อยู่ จึงถูกส่งเข้ารักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ภายหลังจู่ ๆ อาการกลับฟื้นดีขึ้นอย่างอัศจรรย์ แล้วก็ได้มีโอกาสตามเพื่อนมาทำบุญที่วัดสะแก โดยที่ไม่รู้จักหลวงปู่มาก่อน
เด็กหนุ่มผู้นี้ มาทำบุญถวายสังฆทานที่กุฏิ
พระสายหยุด ครั้นเมื่อท่านได้ฟังเรื่องราวของชายผู้นี้แล้ว จึงสามารถปะติดปะต่อและเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้เป็นอย่างดี เพราะท่านเองก็ได้ยินเรื่องราวทางฝั่งลูกศิษย์หลวงปู่ผู้ที่เป็นคนขับรถยนต์ชนเด็กหนุ่มผู้นี้มาก่อนหน้านี้แล้ว
เด็กหนุ่มผู้นี้ เมื่อถวายสังฆทานเสร็จก็เหลือบเห็นรูป
หลวงปู่ดู่ ที่ผนังกุฏิของ
พระสายหยุด เขาตกใจตื่นเต้นอุทานว่าหลวงปู่องค์นี้แหล่ะที่ช่วยชีวิตเขาไว้ หลวงปู่องค์นี้เป็นคนพาดวงวิญญาณของเขากลับเข้าร่าง
เขาเล่าว่าภายหลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ไม่นาน เขาก็เสียชีวิต แต่ขณะที่วิญญาณของเขาออกจากร่างมา ก็มีผู้ชายนุ่งจูงกระเบนด้วยผ้าสีแดง จะมาเอาตัวเขาไป ทันใดก็มีหลวงปู่องค์หนึ่งมาขวางไว้ หลวงปู่ถามเขาว่ารู้จักชายที่นุ่งโจงกระเบนผู้นั้นไหม เขาตอบว่าไม่รู้จัก แล้วก็บอกว่าหลวงปู่ช่วยด้วย ๆ
หลวงปู่ทำท่าโบกมือไล่ครั้งเดียว ชายผู้นั้นก็หายไป หลวงปู่ถามเขาอีกว่า
"ไหนล่ะร่างแก" เขาพยายามมอง แต่ก็จำไม่ได้ว่าอยู่เตียงไหน หลวงปู่จึงพาเขาไปดูที่เตียง ๆ หนึ่ง แล้วถามว่า
"นั่นใช่แกไหมล่ะ" เขาเห็นแล้วก็จำได้ กราบเรียนท่านว่า
"ใช่ครับ" จากนั้นท่านก็พาเขาเข้ายังร่างที่นอนหมดลมอยู่บนเตียง หลังจากฟื้นขึ้นมา เขาก็อาการดีขึ้นตามลำดับ ทว่าเขาต้องสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง พอกลับมาบ้านก็มีเพื่อนพามาทำบุญที่วัดสะแก จึงได้มารู้ว่าที่แท้หลวงปู่องค์ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ก็คือ
หลวงปู่ดู่ วัดสะแก นั่นเอง
พระสายหยุดเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เสียดายที่ไม่รู้รายละเอียดของเด็กหนุ่มผู้นั้น ทราบเพียงคร่าว ๆ ว่าเขาเป็นคนอำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกอบกับท่านก็ยังไม่ได้พบกับลูกศิษย์หลวงปู่ผู้ที่เป็นคนขับรถชนเด็กหนุ่มนั้นอีก แต่ก็แปลกที่เรื่องราวของทั้ง ๒ ฝ่ายกลับมาเชื่อมต่อเป็นเรื่องเดียวกันที่กุฏิของท่าน
พระสายหยุดเล่าเรื่องนี้ด้วยความปลื้มปีติในพลังเมตตาบารมีของหลวงปู่ที่แม้ท่านจะละสังขารไปแล้ว แต่ก็ยังคงรับทราบและช่วยปัดเป่าความทุกข์ของบรรดาลูกศิษย์และสัตว์โลกที่ประสบทุกข์ทั้งหลาย