Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

วิปัสสนาญาณ3-4

เสาร์ 20 มิ.ย. 2009 7:23 pm

วิปัสสนาญาณที่ ๓ -- สัมมสนญาณ

สัมมสนญาณ เป็นปัญญาที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับสืบต่อกันอย่าง

รวดเร็วของนามธรรมและรูปธรรม เมื่อไม่ใช่วิปัสสนาญาณ แม้จะพิจารณารู้ว่า

นามธรรมและรูปธรรมเกิดดับอย่างรวดเร็ว แต่การเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว

ของนามธรรมและรูปธรรมก็ไม่ปรากฏ หรือแม้ในวิปัสสนาญาณที่ ๑ และที่ ๒

การประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ก็เป็นการประจักษ์เฉพาะ

ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทีละอย่างเท่านั้น

วิปัสสนาญาณที่ ๑, ๒, ๓ เป็น ตรุณวิปัสสนา เป็นวิปัสสนาญาณ

ขั้นเริ่มแรกจึงเป็นวิปัสสนาที่ยังอ่อน ไม่ใช่พลววิปัสสนา คือ วิปัสสนาที่มีกำลัง

ที่เป็นวิปัสสนาญาณขั้นสูงขึ้นๆ

ตรุณวิปัสสนา ยังมีการตรึกถึงนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังประจักษ์

แจ้งแม้โดยอาการที่ว่างเปล่าจากโลกที่เคยรวมกัน เมื่อยังมีการตรึกถึงนามธรรม

และรูปธรรมที่กำลังประจักษ์จึงชื่อว่า จินตาญาณ ซึ่งทำให้บางท่านเข้าใจว่า

วิปัสสนาญาณทั้ง ๓ นี้คือขณะที่กำลังระลึก สังเกตรู้ลักษณะของนามธรรมและ

รูปธรรม และเข้าใจชัดขึ้น แต่ตราบใดที่วิปัสสนาญาณยังไม่เกิดขึ้น ก็ย่อมไม่

สามารถรู้ได้ว่า วิปัสสนาญาณที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

ทางมโนทวารนั้นจะเกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตา ณ สถานที่ใด ขณะใด และจะ

มีนามธรรมใดและรูปธรรมใดปรากฏเป็นอารมณ์กี่อารมณ์บ้าง

บางท่านเข้าใจว่า ขณะที่กำลังระลึกรู้ พิจารณาสังเกตรู้ลักษณะของ

นามธรรมและรูปธรรม และคิดว่ารู้ชัดแล้วนั้นเป็นนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว ที่

เข้าใจอย่างนี้เพราะยังไม่รู้ว่า วิปัสสนาญาณต้องเกิดขึ้น ปรากฏโดยความเป็น

อนัตตา เช่นเดียวกับนามธรรมอื่นๆ และการประจักษ์ลักษณะของนามธรรมและ

รูปธรรมสืบต่อกันทางมโนทวาร โดยลักษณะที่ทวารอื่นเสมือนถูกมโนทวารปิด

บังไว้ โดยนัยตรงกันข้ามกับขณะที่วิปัสสนาญาณไม่เกิด ซึ่งแม้มโนทวารวิถีจิต

เกิดคั่นปัญจทวารวิถีจิตทุกวาระ แต่มโนทวารวิถีจิตก็ไม่ปรากฏ เพราะอารมณ์

ของปัญจทวารวิถีจิตปิดบังไว้

บางท่านคิดว่า ขณะที่พิจารณารู้ว่านามนี้เกิดจากรูปนี้ รูปนั้นเกิดจาก

นามนั้น จนเข้าใจแล้วนั้นเป็นวิปัสสนาญาณ คือ ปัจจยปริคคหญาณ แต่เมื่อ

นามรูปปริจเฉญาณยังไม่เกิด วิปัสสนาญาณอื่นๆ ก็เกิดไม่ได้ และเมื่อนามรูป

ปริจเฉทญาณเกิดแล้ว จะไม่เข้าใจผิดเลยว่าขณะที่ไม่ใช่วิปัสสนาญาณนั้นเป็น

วิปัสสนาญาณ

ผู้ที่วิปัสสนาญาณเกิดแล้ว ย่อมรู้ความเป็นอนัตตาของวิปัสสนา

ญาณว่า วิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นตามที่มัคค์มีองค์ ๘ (ปกติมีองค์ ๕) ปรุงแต่ง

ไปจนถึงความสมบูรณ์ของวิปัสสนาญาณนั้นๆ วิปัสสนาญาณนั้นๆ จึงเกิดขึ้น

ตามเหตุปัจจัย ฉะนั้น จึงเป็นผู้อบรมเจริญเหตุ คือ สติปัฏฐาน ระลึกศึกษา

พิจารณา สังเกต รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม เป็นปกติต่อไปเรื่อยๆ เพิ่ม

ขึ้น ละเอียดขึ้น

บางท่านคิดว่า เมื่อสัมมสนญาณเกิดขึ้นนั้น จะเห็นนามธรรมเกิดขึ้น

และดับไปเป็นดวงกลมๆ ต่อๆ กัน นามธรรมไม่ใช่รูปธรรม เมื่อไม่รู้ลักษณะของ

นามธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ เพราะไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของ

นามธรรมแต่ละประเภท ก็คิดว่า...นามธรรมที่เกิดดับนั้น มีลักษณะเหมือนกับ

รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ที่ใจร้อนอยากจะให้วิปัสสนาญาณเกิดเร็วๆ นั้น ย่อม

พยามยามทำอย่างอื่น แทนการระลึกพิจารณาสังเกตลักษณะของนามธรรมและ

รูปธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏตามเหตุปัจจัยตามความเป็นจริง แต่ไม่มีทางจะเร่งรัด

ปัญญาได้เลย

เหตุที่จะอบรมปัญญาให้ค่อยๆ เจริญขึ้นได้นั้น ....มีหนทางเดียว คือ

สติปัฏฐานตามปกติในชีวิตประจำวันเท่านั้น ถ้าทำอย่างอื่นที่ผิดไปจากนี้ ก็แน่

นอนที่ผลต้องผิดไปตามเหตุที่ผิดด้วย การปฏิบัติผิดนั้น เกิดจากการหวังผล

อย่างรวดเร็วเพราะไม่เข้าใจหนทางปฏิบัติที่ถูก โลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับความ

เห็นผิดจึงเป็นมิจฉามัคค์ที่นำปสู่มิจฉาวิมุตติ คือการพ้นอย่างผิดๆ เพราะไม่ใช่

การพ้นจากกิเลสอย่างถูกต้อง แต่ก็เข้าใจผิดว่าพ้นจากกิเลสแล้ว



วิปัสสนาญาณที่ ๔ -- อุทยัพพยญาณ

แม้ว่าวิปัสสนาญาณที่ ๓ จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปสืบต่อกัน

ของนามธรรมและรูปธรรมอย่างรวดเร็วแล้วก็ตาม แม้กระนั้น ปัญญาก็ยังไม่

ละเอียดพอ ที่จะละคลาย หรือ เห็นโทษของการเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรม

และรูปธรรม เพราะการเกิดขึ้นสืบต่อการดับไปนั้น เร็วจนปิดบังโทษของการเกิด

ดับ ปัญญาจะต้องสมบูรณ์ถึงขั้นต่อไป ที่แทงตลอดการเกิดขึ้นและดับไปของ

นามธรรมและรูปธรรมแต่ละประเภทชัดเจนยิ่งขึ้นอีก ซึ่งไม่มีใครจะพากเพียร

ทำอย่างอื่นได้ นอกจากพิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมต่อไป โดย

ไม่หวั่นไหว โดยทั่วไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมนามธรรมประเภทใด กุศลธรรม อกุศล

ธรรมขั้นใด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

วิปัสสนาญาณขั้นที่ ๔ ซึ่งเป็น อุทยัพพยญาณนั้น ประจักษ์การ

เกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละประเภทอย่างชัดเจนยิ่ง ซึ่ง

อุทยัพพยญาณจะเกิดขึ้นได้เมื่อ ตีรณปริญญา คือ ปัญญาที่พิจารณาลักษณะ

ของนามธรรมและรูปธรรมได้ทั่วทั้ง ๖ ทางถึงความสมบูรณ์แล้ว ตราบใดที่สติ

ปัฏฐานยังไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ชัดเจน ทั่วทั้ง ๖ ทวาร

อุทยัพพยญาณก็ไม่มีปัจจัยที่จะเกิดได้เลย

ผู้ที่อบรมเจริญอริยมัคค์ คือ สัมมามัคค์ที่ถูกต้องจึงรู้ว่าไม่มีทางที่จะรู้

แจ้งสภาพของพระนิพพานซึ่งเป็นธรรมที่ดับกิเลสได้เลย ถ้าไม่อบรมเจริญ

ปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงก่อน

การที่จะรู้แจ้งสภาพของพระนิพพาน โดยปัญญาไม่พิจารณารู้ลักษณะ

ของนามธรรมและรูปธรรมทั้ง ๖ ทวาร โดยทั่วโดยละเอียดนั้น เป็นไปไม่ได้เลย

เพราะถ้าไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทั่วจริงๆ ก็ไม่รู้ว่า....นามธรรมและ

รูปธรรมแต่ละลักษณะนั้นต่างกันอย่างไร เมื่อไม่ประจักษ์ลักษณะของนามธรรม

และรูปธรรมที่ต่างกันทั้ง ๖ ทวาร ก็ประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้นและดับไปของนาม-

ธรรมและรูปธรรมไม่ได้ เมื่อไม่ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและ

รูปธรรมก็จะดับความไม่รู้ ความสงสัยและความเห็นผิดในสภาพธรรมไม่ได้เลย

Re: วิปัสสนาญาณ3-4

อังคาร 23 มิ.ย. 2009 9:12 pm

ขอบคุณครับ ;)

Re: วิปัสสนาญาณ3-4

พุธ 24 มิ.ย. 2009 12:02 pm

ขอบคุณครับ :)

Re: วิปัสสนาญาณ3-4

พุธ 24 มิ.ย. 2009 3:28 pm

.gif
.gif (11.58 KiB) เปิดดู 856 ครั้ง
อ๊อด อ๊อด เขียน:ขอบคุณครับ :)



รู้เรื่องด้วยหรือ
ตอบกระทู้