นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 28 ธ.ค. 2025 3:49 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: อานิสงส์ของศีล 5
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 26 ธ.ค. 2025 12:39 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5160
เดินจงกรมอยู่บ้านบง (อ.ภูเรือ จ.เลย) เกิดเวทนาปวดขาหลายเกือบตาย เลยสู้เวทนาคิดในใจว่า แม่เราคลอดเราออกมายังปวดมากกว่านี้ เราต้องสู้เพื่อตอบบุญแทนคุณท่าน...

ครูบาอาจารย์กว่าท่านจะพ้นทุกข์ได้อยู่ฟากตายพู้นแหล่ว

คติธรรม
#หลวงพ่อสมศรี อตฺตสิริ
วัดป่าเวฬุวนาราม ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย







สอนเขาวาง แต่จะของยึดติดอยู่
สอนเขาเก่ง แต่ตัวเองโง่อยู่
สิสอนไผสอนแบบได๋ เขากะบ่ได่ความ
เพราะตัวเองบ่เคยสอนเจ้าของเนาะ

โอวาทธรรม
#หลวงปู่จื่อ พนฺธมุตโต
วัดเขาตาเงาะอุดมพร จ.ชัยภูมิ







“เทวดาสวดมนต์”และโมทนาบุญค้ำชูคนและบ้านที่สวดมนต์
เมตตาธรรมหลวงปู่ชอบ ฐานสโม

“หลวงปู่ชอบ ฐานสโม” ท่านได้บอกเตือนลูกศิษย์เรื่องการสวดมนต์ว่า “เทวดาในแต่ละสถานที่เขาชอบบทสวดมนต์ที่แตกต่างกัน”

บางสถานที่ก็ชอบ… บทธัมมะจักกัปปะวัตตสูตร
บางสถานที่ก็ชอบ… บทกะระณียะเมตตะสูตร
บางสถานที่ก็ชอบ… บทมาติกา
บางสถานที่ก็ชอบ… บทเมตตาสังนะสูตร
พอสวดฮอด(ถึง)บทที่พวกเขาชื่นชอบละก็เขาจะพากันเปล่งเสียงสาธุการดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว!! เทวดาเขาพากันออนซอนสะออนหลาย(พากันชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง)

หลวงปู่ท่านเน้นย้ำเรื่องการสวดมนต์ว่า…

“เวลาสวดมนต์ไหว้พระ อย่าทำเป็นเล่น เห็นเป็นของสนุกคะนองปาก ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของสูง ควรค่าต่อการเคารพเป็นอย่างยิ่ง หากพากันเห็นเป็นของเล่นแล้ว ก็จะเป็นบาปเป็นกรรมกับตัวเอง นักปราชญ์ได้ยินท่านก็ตำหนิ เทวดาเขาก็พากันตำหนิ”
“เวลาไหว้พระสวดมนต์ ให้พากันตั้งใจสวดจริงๆ เวลาสวดก็ให้มีสมาธิจดจ่อลงไปในบทนั้นๆ มันถึงจะมีอานิสงส์เกิดขึ้นกับตัวเจ้าของ(ตัวเอง)”
“การสวดมนต์ไหว้พระเป็นการทำสมาธิไปในตัว บางทีข้ออรรถ ข้อธรรมต่างๆ มันก็จะผุดขึ้นมาในขณะที่สวดมนต์ก็มี”

“เทวดาทั้งหลายนั้น เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรามาก่อน มีจิตใจฝักใฝ่ในบุญกุศล พอตายทำลายขันธ์จากโลกนี้ไปแล้ว ก็ได้ไปจุติในสวรรค์ชั้นต่างๆ สูงบ้างต่ำบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ตนเองได้สั่งสมมาในตอนเป็นมนุษย์”

“ถึงแม้ว่าจะเป็นเทวดาอยู่ก็ตาม จิตของพวกเขายังฝังไว้ในบุญกุศล พอได้ยินหรือได้เห็นผู้ใดทำคุณงามความดี พวกเขาก็จะพากันมาร่วมอนุโมทนาด้วย หากว่าเรามีจิตที่ละเอียดเป็นสมาธิบ้าง เราก็จะเห็นเขามาร่วมอนุโมทนากับเราด้วย”

“อย่างหยาบๆ ที่พวกเราจะรับทราบได้ ก็คือขนพองสยองเกล้า เป็นต้น ”

ด้วยหลวงปู่ท่านให้ความสำคัญเรื่องการสวดมนต์ไม่น้อยกว่าการทำสมาธิภาวนา ยามกลางค่ำกลางคืน ท่านก็ยังออกมานั่งรถเข็นจงกลมไปในบริเวณวัด ฟังพระเณรลูกหลานสวดมนต์ไหว้พระ เหมือนเป็นการให้กำลังใจลูกหลานพระเณรไปในตัว
พอหลังจากไหว้พระสวดมนต์กันเสร็จแล้ว ในบางคืน ลูกหลานพระเณรก็จะได้กราบเรียนสอบถามองค์ท่าน
“หลวงปู่ครับ! วันนี้เทวดาเขามาร่วมสวดมนต์ไหว้พระด้วยไหมครับ?”
หลวงปู่ท่านก็มักจะตอบว่า “มีมาทุกวัน” วันไหนมีมากเท่าไร ท่านก็จะบอกจำนวนให้ทราบด้วย หรือบางครั้ง ท่านก็จะระบุชื่อพระเณรเป็นรายคนด้วย เช่น

“เทวดาเขาชมว่าพระ…เณร…องค์นี้ สวดมนต์ม่วนหลาย เสียงดังกังวานไปไกล เทวดาเขาได้ยิน เขาขออนุโมทนาด้วย”
พอได้ยินหลวงปู่ท่านว่าให้ฟังเช่นนี้ พระเณรลูกหลานก็พากันปลื้มอกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง พอถึงเวลาไหว้พระสวดมนต์ จึงพากันตั้งอกตั้งใจสวดกันอย่างเต็มที่...”

โอวาทธรรม หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน อ.วังสะพุง จ.เลย
(พ.ศ. ๒๔๔๔ - ๒๕๓๘)








“อย่าคิดว่าตัวเองบุญน้อยวาสนาน้อยแล้วมาพูดให้ตัวเองท้อแท้ คิดแบบนั้นมันไม่ถูก
ถ้าคิดว่าตัวเองบุญน้อยวาสนาน้อยก็รีบสร้างเสริมบารมีให้กับตัวเองให้มากยิ่งๆขึ้นไป ทำให้เต็มที่ ๆ ตัวเองทำได้ คนที่เขามีปัญญาเขาจะมุ่งหน้าทำเอา คนไม่มีปัญญาก็รอเอาแต่ลมแต่แล้ง สูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ”
“อย่าคิดว่าตัวเองบุญน้อยวาสนาน้อยแล้วมาพูดให้ตัวเองท้อแท้ คิดแบบนั้นมันไม่ถูก ถ้าคิดว่าตัวเองบุญน้อยวาสนาน้อยก็รีบสร้างเสริมบารมีให้กับตัวเองให้มากยิ่งๆขึ้นไป ทำให้เต็มที่ ๆ ตัวเองทำได้ คนที่เขามีปัญญาเขาจะมุ่งหน้าทำเอา คนไม่มีปัญญาก็รอเอาแต่ลมแต่แล้ง สูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ””

“ให้พิจารณาความตาย (มรณานุสติ) “นั่งก็ตาย นอนก็ตาย ยืนก็ตาย เดินก็ตาย” ทุกคนมีความตายเป็นที่สุด ตายทุกเพศทุกวัย ตายได้ทุกกาลเวลา เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรประมาทในชีวิต ให้เว้นจากความชั่ว สร้างสมคุณงามความดี สร้างบุญ สร้างกุศล ไว้เป็นที่พึ่งของตน เมื่อล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้ว ”

“อวิชชามันพาให้เกิด เมื่อถึงจะต้องตาย ก็ขอปลดอวิชชาไว้ข้างหลัง ให้เข้าป่าเข้าดงไป เราไม่ต้องการอีกต่อไป ขอให้เชื่อจิตเชื่อธรรมนั้นเถิด เป็นเอกในโลกทั้งสามนี้แน่นอน ถ้าปฎิบัติได้ ปฏิบัติจริง ปฎิบัติถูก ปฎิบัติตรง ปฎิบัติชอบ และพิจารณาได้ พิจารณาจริง พิจารณาถูก พิจารณาตรง พิจารณาชอบ แน่นอนมรรคผลนั้นคงอยู่แค่เอื้อมนั่นเอง ”

“ทุกข์ในภพชาติสำหรับเรา ต่อจากนี้ไปไม่มีอีกแล้ว มันจบแล้ว การเดินทางในสายทุกข์ของเรามันสิ้นสุดแล้วในชาตินี้ ชีวิตธาตุขันธ์ที่เหลืออยู่ทุกวันนี้ ก็อยู่เพราะเมตตาสงเคราะห์สัตว์โลกผู้ที่มีวาสนาร่วมกันเท่านั้น ธาตุขันธ์แตกดับวันไหน วันนั้นก็จบกันหมดทุกอย่าง ”

“อยากพ้นทุกข์ก็ให้ทำเอา พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ประทานให้เราไม่ได้ ถ้าอยากได้ก็ให้ลงมือทำด้วยตนเอง ความเกียจคร้านบ่เคยทำให้ใครเป็นอริยะมีแต่จะทำให้คนนั้นเป็นอะริแย่ คือแย่ลงไปเรื่อยๆหาความดีให้ตนเองไม่ได้”

“เทวดาเขาบ่ได้มักมนุษย์ ที่กาย เทวดาเขามักมนุษย์ ที่ศีลธรรมของผู้นั่น”ผู้มีศีลธรรมในใจ” เทวดาเขาสิเห็น รัศมีในจิตของผู้นั่น จิตผู้มีธรรมนี่ ใจมันสิงามในใสกว่ากายนอก เทวดาผู้เขามีใจทิพย์ใจธรรม เห็นมนุษย์ผู้นั่นแล้ว เขากะฮักกะหอมอยากเข้าใกล้”

“ ให้เป็นคนมีวิหารธรรมในใจ เฮือนชานบ้านช่องในจิตในใจให้เป็นไปในพุทธ ธรรม สงฆ์ ใจดวงนี้เอาอันใดใส่เป็นอันนั่น เอาบุญใส่ ใจเป็นบุญ เอาบาปใส่ ใจเป็นบาป ”

“ ธรรมชาติกิเลสมันบ่เคยส่งเสริมผู้ใดไปในทางดี มันมีแต่สิพาเฮาคิดไปในเรื่องบ่ดีไห่ใจเจ้าของเศร้าหมอง อดีตผ่านไปแล้วเอามาคิดใจเจ้าของกะเป็นทุกข์ เหตุปัจจุบันเป็นทุกข์ อนาคตมันกะผลเป็นทุกข์ ไห่ปฏิบัติดีเอาในปัจจุบันที่ตนเองมีอยู่ ปฏิบัติตนในศีลธรรมแล้วใจเจ้าของกะเป็นสุข ”

โอวาทธรรม:หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน อ.วังสะพุง จ.เลย







..เมื่อล่วงลับดับไป ก็ไม่มีใครสามารถเอารูปร่างกายของเราไปด้วย เมื่อยังอยู่ก็เรียกว่าเป็นของเราของเรา แต่เมื่อล้มหายตายลับไป ก็ไม่มีใครพาไปด้วยสักคนเลยในโลกนี้ ตรงนี้แหละที่มันเป็นสิ่งที่เราจะพิจารณาว่า โอ..รูปร่างกายก็ยังเอาไปด้วยไม่ได้ เงินทองทรัพย์สินวัตถุต่างๆทั้งหลาย เราก็จะจับจ่ายให้มันเป็นประโยชน์เท่านั้น เอาไปด้วยไม่ได้..จึงเรียกว่าคนหมดสิทธิ์ เมื่อรู้จักคนหมดสิทธิ์แล้ว จึงจะพิจารณาด้วยความเข้าใจ ว่าอะไรเป็นประโยชน์ได้ ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ถ้าหากไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ ก็ยังยึดมั่นถือมั่นและหวงแหนอยู่เฉยๆ เวลาไปจริงๆ ก็ไม่ได้เอาอะไรไปด้วย เหมือนบุคคลทั้งหลายที่มาเกิดนี้ เวลาเกิดก็มาตัวเปล่าๆไม่ได้เอาอะไรมาด้วย เวลาไปก็ไปตัวเปล่าไปตัวคนเดียว นี่มันเป็นอย่างนี้ไม่ได้เอาทรัพย์สมบัติอะไรไปด้วย..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญญาปทีโป..







"ขันติบารมี อดทั้งกาย อดทั้งวาจา อดทั้งใจ อดกลั้นทนทานเป็นบารมีอย่างเอก"

- หลวงปู่แหวน สุจิณโณ






เธอจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติเพื่อนลูกหลานเหลนก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมา มีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระคือร่างกายพังแล้ว เราจะไปนิพพาน เมื่อความป่วยไข้ไม่สบายปรากฏ จงดีใจว่าวาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว คิดไว้อย่างนี้ทุกวันจิตจะชิน จะเห็นเหตุเห็นผลเมื่อตอนจะตาย อารมณ์จะสบาย แล้วก็จะเข้านิพพานได้ทันที

จากหนังสือ​ครบรอบ​ ๑๐๐​ ปี​ พระราช​พรหมยาน​หน้า​ ๑๕๗






อย่าไปลืมงานภายในของตนเอง งานภายในของตนเองก็คือเรื่องจิตภาวนา อันนี้เป็นงานที่จำเป็นสำคัญในชีวิตประจำวันของพวกเรา ถ้าให้งานภายนอกสำคัญกว่างานภายใน อันนั้นผิด ถ้าหากว่าให้ความสำคัญภายในมากกว่าภายนอก อันนั้นถูก ให้คิดอย่างนั้นเลยนะ

เราจะไปคิดแต่ภายนอกช่วย สาธารณประโยชน์ ถาวรวัตถุ แต่จิตใจของตนเองแห้งผากเต็มไปด้วยกิเลส ราคะ โมหะ โลภ โกรธ หลงในจิตใจ แปลว่าจิตใจแห้งผาก จิตใจไม่ได้ดูแล ไม่ได้ให้ธรรมะ ไม่ได้ให้การทะนุถนอม ไม่ได้เอาธรรมเข้าสู่จิตใจ ไม่ภาวนา มีแต่คิดช่วยไปข้างนอก จิตใจของตัวเองมีแต่กิเลส อันนั้นไม่ถูกอย่างมากเลย ต้องดูใจตนเองเป็นอันดับแรกนะ

อันดับแรกก็คือเรื่องการภาวนา กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก มีสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสติด้วยปัญญา เป็นผู้รอบคอบ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดความเบื่อหน่ายคลาย จิตใจของเราเบื่อหน่ายคลาย จิตใจของเราจะหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เห็นความเกิดความแก่ เห็นความเกิดความดับ เห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มองดูตนเองอยู่เสมอ

เราน่ะ ถึงจะทำดีขนาดไหนอีกสักวันหนึ่งตายแน่ ๆ นะ จากแน่ ๆ นะ ไปแน่ ๆ นะ ทิ้งแน่ ๆ นะ ร่างกายสังขาร มันหาสาระ หาแก่นสารไม่ได้นะ ใจนะ อย่าไปลุ่มหลงมัวเมาเกินไปนะ ใจนะ พยายามดูใจของตนเองอยู่เสมอ เบรกใจของตนเองอยู่เสมอ นั่นล่ะเป็นผู้ไม่ประมาท

ถึงจะทำข้างนอกก็ทำ แต่ว่าในใจของเรามองตนเองอยู่เสมอ หลวงพ่อเป็นอย่างนั้นนะลูกหลานนะ ถึงจะทำข้างนอกก็เถอะ หลวงพ่อช่วยนั้นช่วยนี้พูดเป็นตุเป็นตะ แต่พอเวลาหลวงพ่อไหว้พระสวดมนต์นั่งภาวนามองตนเองแล้วทีนี้ หลวงพ่ออินทร์เอ๊ย ถึงจะทำดีขนาดไหนก็เถอะในโลกวัฏสงสาร อีกสักวันหนึ่งหลวงพ่ออินทร์จะต้องจากจะต้องหนีจากเขานะ อย่าไปลุ่มหลงอย่าไปมัวเมา อย่าไปให้ความสำคัญภายนอกมากเกินไปนะ เห็นไหม พระพุทธเจ้าท่านมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดไหนท่านจากไปเห็นไหม ครูบาอาจารย์แต่ละองค์เห็นไหม พ่อแม่ของเรา ปู่ยาตายายของเราเห็นไหม ครูบาอาจารย์ ญาติโกโหติกา ญาติผู้ใหญ่ของเราที่ผ่านๆ มาเห็นไหม หลวงพ่ออินทร์จะไม่เป็นอย่างนั้นใช่ไหม อันนี้ล่ะคือโอปนยิโก ให้มองตนเอง

เพราะฉะนั้นเราอยู่ ณ สถานที่ใด อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ให้มองตนเองไว้อยู่เสมอ ถ้ามองตนเองไว้อยู่เสมอ จะไม่ลืมเจ้าของ จะไม่หลงเจ้าของ จะไม่ผยองพองตน ถึงเขาจะยกย่องเชิดชูขนาดไหนก็เถอะมัน เป็นปากของเขานะ ของเรามีเท่าไรก็มีเท่านั้นล่ะนะ

นี่ล่ะ ให้พวกเราทุก ๆ ท่าน ศรัทธาญาติโยมลูกหลานหลวงพ่อทุกคน ให้มองตนเองไว้อยู่เสมอ เรื่องภาวนาเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “อย่าให้ตนเองถลำไปในกิเลส”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๘






พวกนี้อาตมารู้เลยว่า
จิตมันออกไปเพราะอะไร
พวกนี้ภาวนาจิตสงบมันจะมีนิมิต
แล้วมันตามว่านิมิตนั้นเป็นตัวตนขึ้นมา
จิตก็ไปเลย ออกนอกไปเลย เห็นไม่หยุดเลยตอนนี้
นิมิตทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นน่ะ ระวังให้ดี
"เราอย่าให้จิตของเราออกจากฐาน"

#หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโลวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
จังหวัดสุรินทร์






สร้างพื้นที่สงบเย็นให้จิตใจ
...
ถ้าเราหมั่นดูใจของเรา มีสติ เราก็จะเห็นว่า
ที่จริงแล้วที่เราทุกข์ ที่เราโกรธ เป็นเพราะใจ
เราไปรับคำชวนของคนรอบตัว เพราะฉะนั้น
จะโทษผู้อื่นฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง
ด้วยที่ไปรับคำชวนนั้น เขาไม่ได้บังคับให้เรา
โกรธ แต่เป็นเพราะเราไปรับคำชวน เราก็เลย
โกรธ เป็นทุกข์ ร้อนรุ่ม กลุ้มใจ แม้ว่าจะอยู่
ในที่ที่สงบสงัดแต่ใจก็ยังไม่สงบ

แต่ถ้าเรามีสติ เรารู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น
แม้ว่าจะอยู่ในที่ที่วุ่นวาย อึกทึกคึกโครม
ใจก็ยังสงบได้ ...

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล






"..หลวงปู่มั่นท่านแสดงศีล ๕ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ไม่ขัดต่อภพกำเนิดและเพศวัยให้ฟัง พร้อมอานิสงส์เป็นใจความย่อว่า
“หนึ่ง สิ่งที่มีชีวิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง จึงไม่ควรเบียดเบียนและทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป อันเป็นการทำลายคุณค่าของกันและกันเป็นบาปกรรมแก่ผู้ทำ
สอง สิ่งของของใคร ๆ ก็รักและสงวนแม้คนอื่นจะเห็นว่าไม่ดีมีคุณค่า แต่ผู้เป็นเจ้าของย่อมเห็นคุณค่าในสมบัติของตน ไม่ว่าสมบัติหรือสิ่งของใด ๆ ที่มีเจ้าของ แม้มีคุณค่าน้อยก็ไม่ควรทำลาย คือ ฉกลัก ปล้นจี้ เป็นต้น อันเป็นการทำลายสมบัติและทำลายจิตใจกันอย่างหนัก ทั้งเป็นบาปมาก ไม่ควรทำ
สาม ลูกหลานสามีภริยาใคร ๆ ก็รักสงวนอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนาให้ใครมาอาจเอื้อมล่วงเกิน จึงควรให้สิทธิเขาโดยสมบูรณ์ ไม่ล่วงล้ำเขตแดนของกันและกัน อันเป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่างหนักและเป็นบาปไม่มีประมาณ
สี่ มุสา การโกหกพกลมเป็นสิ่งทำลายความเชื่อถือของผู้อื่นให้ขาดสะบั้นลง ขาดความนับถืออย่างไม่มีชิ้นดีเลย แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานเขาก็ไม่พอใจในคำหลอกลวง จึงไม่ควรพูดโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นเสียหาย
ห้า สุรา ตามธรรมชาติเป็นของมึนเมาและให้โทษอยู่ในตัวของมันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เมื่อดื่มเข้าไปย่อมสามารถทำคนดี ๆ ให้กลายเป็นคนบ้าได้ในทันทีทันใด และลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดีมีสติปกครองตัวอย่างมนุษย์ทั้งหลาย จึงไม่ควรดื่มสุราเครื่องทำลายสุขภาพทางกายและทางใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นการทำลายตัวเองและผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน
อานิสงส์ของศีล ๕ เมื่อรักษาได้
หนึ่ง ทำให้อายุยืนปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียน
สอง ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความครอบครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวีเบียดเบียนทำลาย
สาม ระหว่างลูกหลาน สามีภริยาอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้มาคอยล่วงล้ำกล้ำกราย ต่างครองกันด้วยความเป็นสุข
สี่ พูดอะไรมีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะด้วยสัตย์ด้วยศีล เทวดาและมนุษย์เคารพรัก ผู้มีสัตย์มีศีลไม่เป็นภัยแก่ตนและผู้อื่น
ห้า เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้า หลงหลัง จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าบอหาสติไม่ได้.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)










"เมื่อท่านบวชเข้ามาแล้ว หมดจากญาติ หมดจากพี่น้อง วงศ์วารต่างๆ

ท่านต้องอาศัยบาตรลูกหนึ่ง แล้วก็อุ้มไป เที่ยวบิณฑบาตกินจนกว่าท่านจะสิ้นชีวิต คือแปลว่า เราไม่แสดงตนว่าเป็นคนมั่งมี เที่ยวซื้อถูกขายแพงมาหากิน

เราหากินอย่างนก ซึ่งธรรมดานกนั้น ถึงตอนเวลาหากิน ก็บินไป เมื่อไปเกาะกับต้นไม้ใหญ่ มีในสถานที่ใดก็กินกัน

กินอิ่มแล้วก็ไม่ต้องคาบใส่ปีกบินกลับมา มาแต่ตัว

พระผู้บวชในศาสนาก็เช่นกัน ไม่ต้องสะสมอะไรต่างๆ นี่พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเรา"

ท่านพ่อลี​ ธมฺมธโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO