พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ศุกร์ 19 ธ.ค. 2025 10:21 am
"..การบริกรรมภาวนา ให้จิตอยู่ ณ. จุดเดียว คือ พุทโธ เมื่อจิตมาจดจ้องอยู่ที่คำว่า พุทโธ ให้พิจารณาตามองค์ ฌาน 5 คือ การนึกถึง พุทโธ เรียกว่า วิตก จิตอยู่กับ พุทโธ ไม่พรากจากไปเรียกว่า วิจารณ์
หลังจากนี้ ปิติ และ ความสุข ก็เกิดขึ้น...เมื่อ ปิติและความสุขเกิดขึ้นแล้ว จิตของผู้ภาวนาย่อมดำเนินสู่ความสงบ เข้าไปสู่ อุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ ลักษณะที่จิตเข้าสู่อัปนนาสมาธิ ภาวะจิตเป็นภาวะสงบนิ่ง สว่าง ไม่มีกิริยาอาการแสดงความรู้ ในขั้นนี้เรียกว่า จิตอยู่ในสมถะ
ถ้าจะเรียกโดยจิตก็เรียกว่า อัปนนาจิต
ถ้าเรียกโดยสมาธิเรียกว่า อัปปนาสมาธิ
ถ้าเรียกโดยฌานก็เรียกว่า อัปปนาฌาน
บางท่านนำไปเทียบกับฌานขั้นที่ 5
จิตในขั้นนี้เรียกว่า จิตอยู่ในอัปปนาจิต อัปปนาสมาธิ อัปปนาฌาน จิตย่อมไม่มีความรู้อะไรเกิดขึ้น นอกจากมีสภาวะรู้อยู่อย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อนักปฏิบัติผู้ที่ยังไม่ได้ระดับจิต เมื่อจิตติดอยู่ในความสงบนิ่งเช่นนี้ จิตย่อมไม่ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น ให้พิจารณา กายคตาสติ เรียกว่ากายคตาปฏิปทา โดยการพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนังโดยน้อมนึกไปในลักษณะความเป็นของปฏิกูลน่าเกลียด เป็นของโสโครก จนกระทั่งจิตมีความสงบลง รู้ยิ่งเห็นจริงตามที่ได้พิจารณา
เมื่อผู้ปฏิบัติได้พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นสิ่งปฏิกูล ในที่สุดได้เห็นจริงในสิ่งนั้นว่าเป็นของปฏิกูล โดยปราศจากเจตนาสัญญาแล้ว ก็เกิดนิมิตเห็นสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครกจริงๆ โดยปราศจากสัญญาเจตนาใดๆทั้งสิ้น จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิจารณาเห็น อสุภกรรมฐาน
และเมื่อได้พิจารณาอสุภกรรมฐานจนชำนิชำนาญ จนรู้ยิ่งเห็นจริงในอสุภกรรมฐานนั้นแล้ว ให้พิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นธาตุ 4 ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จนกระทั่งเห็นเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ
เมื่อจิตรู้ว่าเป็นแต่เพียงสักแต่ว่าธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ จิตก็จะเกิดความรู้ขึ้นมาว่า ตามที่พูดกันว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่มี มีแต่ความประชุมพร้อมของธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น.
เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตก็ย่อมรู้จักอำนาจของความคิดขึ้นมาได้ว่า ในตัวของเรานี้ไม่มีอะไรอัตตา ทั้งสิ้น มีแต่ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น
ถ้าหากภูมิจิตของผู้ปฏิบัติจะมองเห็นแต่เพียงกายทั้งหมดนี้ เป็นแต่เพียงธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ รู้แต่เพียงว่าเพียงธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ และภูมิจิตของท่านอยู่แค่นั้น ก็มีความรู้เพียงแค่ขั้น สมถกรรมฐานและในขณะเดียวกันนั้น ถ้าภูมิจิตของผู้ปฏิบัติปฏิบัติความรู้ไปสู่ พระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง...ถ้าหากมีอนิจจสัญญา ความสำคัญมั่นหมายว่าไม่เที่ยง ทุกขสัญญา ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นทุกข์ อนัตตสัญญา ความสำคัญมั่นหมายว่าไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ภูมิจิตของผู้ปฏิบัตินั้นก็ก้าวเข้าสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา.
เมื่อฝึกฝนอบรมจิต ให้มีความรู้ด้วยอุบายต่างๆ และมีความรู้แจ้งเห็นจริงในลักษณะของอสุภกรรมฐานโดยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง จนมีความรู้แจ้งเห็นจริงในลักษณะที่ว่า กายเรานี้เป็นแต่เพียงธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ มีความเห็นว่า ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เป็นแต่เพียงธาตุ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา ด้วยอุบายดังกล่าวแล้ว ผู้ปฏิบัติยึดหลักอันนั้น ภาวนาบ่อยๆ กระทำให้มากๆ พิจารณาให้มากๆ พิจารณาย้อนกลับไปกลับมาจิตจะค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ภูมิรู้ ภูมิธรรม เป็นลำดับๆ ไป.."
กตฺตสีโลวาท
พระครูวิเวกพุทธกิจ (หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล) วัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๐๒–๒๔๘๔)
“โลกนี้มันเป็นโลกที่ไม่เที่ยงนะ มีกฏของไตรลักษณ์
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าบังคับบัญชาอยู่ตลอดเวลา แล้วมนุษย์เราแต่ละคนๆ ไม่ใช่ว่าอายุจะยืนยาวอะไรนักหนา แล้วก็บอกไม่ได้ด้วยว่าคนแก่จะต้องตายก่อนวัยเด็กเสมอไป เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุทำให้เสียชีวิตลง เกิดโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียนทำให้ตายก่อนวัยอันควร ท่านจึงสอนว่าอย่าประมาทในคุณงามความดี อย่าคิดว่าทำน้อยนิด มันจะไม่ให้ผล เมื่อทำอยู่บ่อยๆ มันก็จะติดเป็นนิสัย แล้วสิ่งเหล่านี้แหละที่จะชักนำเราให้พ้นทุกข์ไปภายในวันหนึ่งแน่นอน”
หลวงพ่อสุดใจ ทันตมโน
“เมื่อมีโอกาสให้ จงให้
อย่ามัวลังเลสงสัย
ว่าจะกำไรหรือขาดทุน”
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
“เมื่อทำดีแล้ว ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขา
ต้องคิดว่านั่นเป็นสมบัติของเขา ไม่ใช่ของเรา
ส่วนความดีที่เราทำก็ย่อมอยู่ที่ตัวเรา
คนทำผิดนั้นดีกว่าคนไม่ทำ ทำผิดยังแก้ให้ถูกได้
แต่คนไม่ทำนี่สิ ไม่รู้จะไปแก้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่า
ตนเป็นคนผิดหรือคนถูก การไม่ทำนั่นก็ผิดอยู่ในตัวแล้ว”
ท่านพ่อลี ธัมมธโร
"ผลของกรรม ไม่ได้เป็นไปตามความเชื่อ
แต่เป็นไปตามความจริง"
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
"คนเรามีทุกข์มาก ทุกข์จากการเกิด จากความแก่ ความเจ็บ และความตาย ความพลัดพราก ทุกข์จากความคิดปรุงแต่งในอดีต ในอนาคต ฉะนั้นจงอย่าประมาท อย่าทำชั่ว อย่าทำบาป"
โอวาทธรรม
หลวงปู่อ่ำ ธัมมกาโม
วัดสันติวรญาณ อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์
"ถ้าเราโกรธเขา เขามาว่าเรา พยายามดูที่จิต อะไรก็แล้วแต่พยามดู เราจะเกิดปัญญา ส่วนมากจิตของเรานี้ โดนเขาด่าหน่อย ตัวตนขึ้นมาทันทีเลยเพราะเรามันยึดมาก ยึดคนนั้น คนนี้ เหมือนเช่นยึดองค์นี้อาจารย์เยื้อน แต่ความยึดมันอยู่กับโลก มันเอาไปไม่ได้สักอย่างเลย เขามาปั้นให้เรียกว่า คนนั้น คนนี้ เท่านั้นเอง เราก็ไปตามชื่อซะ ถ้าเราไปตามชื่อเราก็วิ่งนอกจิต พอเรามาดูจิต แล้วเราไม่ต้องไปตามชื่อ ไม่ว่าโยม หญิง โยม ชาย ก็ตาม ถ้าเราไม่ตามชื่อ เราก็ไม่เดือร้อน เราต้องทำจิตให้รู้เท่าทันตรงนี้ คือ ถ้าเราไปตามชื่อ ตามชื่อที่สมมุติให้มันต้องทุกข์แน่นอน ที่ให้เราทำ"จิตให้เป็นหนึ่ง"เพื่อไม่ให้ไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งนี้ ให้เราคิดอย่างเดียว จะพุทโธๆๆๆ ก็พุทโธอย่างเดียว จะดูตรงที่ ผู้รู้ ก็ดูตรงนั้นอย่างเดียวไม่ต้องไปหวั่นไหว กับอะไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะยืนอยู่จุดนี้ นี้แหละที่เขาเรียกว่า "จิตเป็นหนึ่ง" เหมือนยืนนิ่งอยู่กับที่ เราไม่ถอยหลังไปตามอดีต ไม่เดินหน้าไปตามอนาคต "
พระธรรมเทศนา
#หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
จ.สุรินทร์
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.