Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

พรหมวิหาร

ศุกร์ 05 ธ.ค. 2025 9:58 am

"..หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม สอนวิธีเจริญสมาธิ.."
๑.วิธีนั่งสมาธี ให้นั่งขัดสมาธิเอาขาขวาวางทับขาซ้าย เอามือขวาวางทับมือซ้าย "อุชุ กายํ ปณิธาย" ตั้งกายให้ตรง คือไม่ให้เอียงไปข้างซ้าย ข้างขวา ข้างหน้า ข้างหลัง และอย่าก้มนักเช่นอย่างหอยนาหน้าต่ำ อย่าเงยนักเช่นอย่างนกกระแต้ (นกกระต้อยตีวิด) นอนหงายถึงดูพระพุทธรูปเป็นตัวอย่าง อุชุ จิตฺตํ ปณธาย ตั้งจิตให้ตรงคืออย่าส่งใจไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และอย่าส่งใจไปข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้าย ข้างหวา พึงกำหนดรวมเข้าไว้ในจิตฯ

.
๒. วิธีสำรวมจิตในสมาธิ

มนสา สํวโร สาธุ สำรวมจิตให้ดี คือ ให้นึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจ พระธรรมอยู่ที่ใจ พระอริยสงฆ์อยู่ที่ใจ นึกอยู่อย่างนี้จนใจตกลงเห็นว่า อยู่ที่ใจจริงๆ แล้วทอดธุระเครื่องกังวลลงได้ว่า ไม่ต้องกังวลอะไรอื่นอีก จะกำหนดเฉพาะที่ใจแห่งเดียวเท่านั้น จึงตั้งสติกำหนดใจนั้นไว้ นึกคำบริกรรมรวมใจเข้าฯ

.
๓. วิธีนึกคำบริกรรม

ให้ตรวจดูจิตเสียก่อน ว่าจิตคิดอยู่ในอารมณ์อะไร ในอารมณ์อันนั้นเป็นอารมณ์ที่น่ารัก หรือน่าชัง เมื่อติดใจในอารมณ์ที่น่ารัก พึงเข้าใจว่าจิตนี้ลำเอียงไปด้วยความรัก เมื่อติดใจในอารมณ์ที่น่าชัง พึงเข้าใจว่าจิตนี้ลำเอียงไปด้วยความชัง ไม่ตั้งเที่ยง พึงกำหนดส่วนทั้งสองนั้นให้เป็นคู่กันเข้าไว้ที่ตรงหน้าซ้ายขวา แล้วตั้งสติกำหนดใจตั้งไว้ในระหว่างกลาง

ทำความรู้เท่าส่วนทั้งสอง เปรียบอย่างถนนสามแยกออกจากจิตตรงหน้าอก ระวังไม่ให้จิตแวะไปตามทางเส้นซ้าย เส้นขวา ให้เดินตรงตามเส้นกลาง แต่ระวังไม่ให้ไปข้างหน้า ให้กำหนดเฉพาะจิตอยู่กับที่นั่นก่อน แล้วนึกคำบริกรรมที่เลือกไว้จำเพาะพอเหมาะกับใจคำใดคำหนึ่ง เป็นต้นว่า “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” ๓ จบ แล้วรวมลงเอาคำเดียวว่า “พุทโธๆๆ” เป็นอารมณ์เพ่งจำเพาะจิต จนกว่าจิตนั้นจะวางความรักความชังได้ขาด ตั้งลงเป็นกลางจริงๆ แล้วจึงกำหนดรวมทวนกระแสประชุมลงในภวังค์ ตั้งสติตามกำหนดจิตในภวังค์นั้นให้เห็นแจ่มแจ้ง ไม่ให้เผลอฯ

.
๔. วิธีสังเกตจิตเข้าสู่ภวังค์

พึงสังเกตจิตใจเวลากำลังนึกคำบริกรรมอยู่นั้น ครั้งเมื่อจิตตั้งลงเป็นกลาง วางความรัก ความชังทั้งสองนั้นได้แล้ว จิตย่อมเข้าสู่ภวังค์ (คือจิตเดิม) มีอาการต่างๆ กัน บางคนรวมผับลง บางคนรวมปึบลง บางคนรวมวับแวมเข้าไปแล้วสว่างขึ้นลืมคำบริกรรมไป บางคนก็ไม่ลืม แต่รู้สึกว่าเบาในกายเบาในใจที่เรียกว่า กายลหุตา จิตฺตลหุตา กายก็เบา จิตก็เบา กายมุทุตา จิตฺตมุทุตา กายก็อ่อน จิตก็อ่อน กายปสฺสทฺธิ จิตฺตปสฺสทฺธิ กายก็สงบ จิตก็สงบ กายุชุกตา จิตฺตชุกตา กายก็ตรง จิตก็ตรง กายกมฺมญํญตา จิตฺตกมฺมญฺญตา กายก็ควรแก่การทำสมาธิ จิตก็ควรแก่การทำสมาธิ กายปาคุญฺญตา จิตฺตปาคุญฺญตา กายก็คล่องแคล่ว จิตก็คล่องแคล่ว หายเหน็ดหายเหนื่อย หายเมื่อย หายหิว หายปวดหลังปวดเอว ก็รู้สึกว่าสบายในใจมาก ถึงเข้าใจว่าจิตเข้าสู่ภวังค์แล้วให้หยุดคำบริกรรมเสีย และวางสัญญาภายนอกให้หมด ค่อยๆ ตั้งสติตามกำหนดจิตจนกว่าจิตนั้นจะหยุด และตั้งมั่นลงเป็นหนึ่งอยู่กับที่ เมื่อจิตประชุมเป็นหนึ่งก็อย่าเผลอสติ ให้พึงกำหนดอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะนั่งเหนื่อย นี้แลเรียกว่าภาวนาอย่างละเอียดฯ

.
๕. วิธีออกจากสมาธิ

เมื่อจะออกจากที่นั่งสมาธิภาวนา ในเวลาที่รู้สึกเหนื่อยแล้วนั้น ให้พึงกำหนดจิตไว้ให้ดี แล้วเพ่งเล็งพิจารณาเบื้องบนเบื้องปลายให้รู้แจ้งเสียก่อนว่า เบื้องต้นได้ตั้งสติกำหนดจิตอย่างไร พิจารณาอย่างไร นึกคำบริกรรมอะไร ใจจึงสงบมาตั้งอยู่อย่างนี้ ครั้นเมื่อใจสงบแล้ว ได้ตั้งสติอย่างไร กำหนดจิตอย่างไร ใจจึงไม่ถอนจากสมาธิ พึงทำในใจไว้ว่า ออกจากที่นั่งนี้แล้ว นอนลงก็จะกำหนดอยู่อย่างนี้จนกว่าจะนอนหลับ แม้ตื่นขึ้นมาก็จะกำหนดอย่างนี้ตลอดวันและคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เมื่อทำในใจเช่นนี้แล้วจึงออกจากที่นั่งสมาธิ เช่นนั้นอีกก็ถึงทำพิธีอย่างที่ทำมาแล้วฯ

.
๖. มรรคสมังคี

มรรคมีองค์อวัยวะ ๘ ประการ ประชุมลงเป็นเอกมรรค คือ ทั้ง ๗ เป็นอาการ องค์ที่ ๘ เป็นหัวหน้า อธิบายว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ก็คือจิตเป็นผู้เห็น สัมมาสังกับโป ความดำริชอบ ก็คือจิตเป็นผู้ดำริ สัมมาวาจา กล่าววาจาชอบ ก็คือจิตเป็นผู้นึกแล้วกล่าว สัมมากัมมันโต การงานชอบ ก็คือจิตเป็นผู้คิดทำการงาน สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ ก็คือจิตเป็นผู้คิดหาเลี้ยงชีวิต สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ ก็คือจิตเป็นผู้มีเพียรมีหมั่น สัมมาสติ ความระลึกชอบ ก็คือจิตเป็นผู้ระลึก ทั้ง ๗ นี้แหละเป็นอาการ ประชุมอาการทั้ง ๗ นี้ลงเป็นองค์สัมมาสมาธิ แปลว่าตั้งจิตไว้ชอบ ก็คือความประกอบการกำหนดจิตให้เข้าสู่ภวังค์ได้แล้ว ตั้งสติกำหนดจิตนั้นไว้เป็นเอกัคคตาอยู่ในความเป็นหนึ่ง ไม่มีไป ไม่มีมา ไม่มีออก ไม่มีเข้า เรียกว่า มรรคสมังคี ประชุมมรรคทั้ง ๘ ลงเป็นหนึ่ง หรือเอกมรรคก็เรียก มรรคสมังคีนี้ประชุมถึง ๔ ครั้ง จึงเรียกว่า มรรค ๔ ดังแสดงมาฉะนี้ฯ

.
๗. นิมิตสมาธิ

ในเวลาจิตเข้าสู่ภวังค์และตั้งลงเป็นองค์มรรคสมังคีแล้วนั้น ย่อมมีนิมิตต่างๆ มาปรากฏในขณะจิตอันนั้น ท่านผู้ฝึกหัดใหม่ทั้งหลายพึงตั้งสติกำหนดใจไว้ให้ดี อย่าตกใจประหม่ากระดากและอย่าทำความกลัวจนเสียสติและอารมณ์ ทำใจให้ฟุ้งซ่านรั้งใจไม่อยู่ จะเสียสมาธิ

นิมิตทั้งหลายไม่ใช่เป็นของเที่ยง เพียงสักว่าเป็นเงาๆ พอให้เห็นปรากฏแล้วก็หายไปเท่านั้นเองฯ

นิมิตที่ปรากฏนั้น คือ อุคคหนิมิต ๑ ปฏิภาคนิมิต ๑

นิมิตที่ปรากฏเห็นดวงหทัยของตนใสสว่างเหมือนกับดวงแก้ว แล้วยึดหน่วงเหนี่ยวรั้ง ให้ตั้งสติกำหนดจิตไว้ให้ดี เรียกว่า อุคคหนิมิต ไม่เป็นของน่ากลัวฯ

นิมิตที่ปรากฏเห็นคนตาย สัตว์ตาย ผู้ไม่มีสติย่อมกลัว แต่ผู้มีสติแล้วย่อมไม่กลัว ยิ่งเป็นอุบายให้พิจารณาเห็นเป็นอสุภะ แยกส่วนแบ่งส่วนของกายนั้นออกดูได้ดีทีเดียว และน้อมเข้ามาพิจารณาภายในกายของตนให้เห็นแจ่มแจ้ง จนเกิดนิพพิทาญาณ เบื่อหน่ายสังเวชสลดใจ ยังใจให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิมีกำลังยิ่งขึ้น เรียกว่า ปฏิภาคนิมิตฯ

.
๘. วิธีเดินจงกรม

พึงตั้งกำหนดหนทางสั้นยาวแล้วแต่ต้องการ ยืนที่ต้นทาง ยกมือประนม ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แล้วตั้งความสัตย์อธิษฐานว่า ข้าพเจ้าจะตั้งใจปฏิบัติเพื่อเป็นปฏิบัติบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับทั้งพระธรรม และพระอริยสงฆ์สาวก ขอให้ใจของข้าพเจ้าสงบระงับตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีปัญญาเฉลียวฉลาดรู้แจ้งแทงตลอดในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการเทอญ

แล้ววางมือลง เอามือขวาจับมือซ้ายไว้ข้างหนึ่ง เจริญพรหมวิหาร ๔ ทอดตาลงเบื้องต่ำ ตั้งสติกำหนดจิตนึกคำบริกรรมเดินกลับไปกลับมา จนกว่าจิตจะสงบรวมลงเป็นองค์สมาธิ ในขณะที่จิตกำลังรวมอยู่นั้น จะหยุดยืนกำหนดจิตให้รวมสนิทเป็นสมาธิก่อนจึงเดินต่อไปอีกก็ได้ ในวิธีเดินจงกรมนี้กำหนดจิตอย่างเดียวกันกับนั่งสมาธิ แปลกแต่ใช้อิริยาบถเดินเท่านั้นฯ

เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฝึกหัดใหม่ทั้งหลายพึงเข้าใจเถิดว่า การทำความเพียรคือฝึกหัดจิตในสมาธิวิธีนี้ มีวิธีที่จะต้องฝึกหัดในอิริยาบททั้ง ๔ จึงต้องนั่งสมาธิบ้าง เดินจงกรมบ้าง ยืนกำหนดจิตบ้าง นอนสีหไสยาสน์บ้าง เพื่อให้ชำนาญคล่องแคล่ว และเปลี่ยนอิริยาบถให้สม่ำเสมอฯ.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ (หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม) วัดป่าสาลวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
(พ.ศ.๒๔๓๒-๒๕๐๔ )






“ความทุกข์สอนธรรม
แต่ความสุขความสบาย
เป็นเครื่องบังธรรม
อย่ากลัวทุกข์ เพราะทุกข์
เป็นครูสอนธรรมที่ยอดเยี่ยม!”

หลวงปู่หา สุภโร





"...ขณะเรานั่งสมาธิหลับตาภาวนานั้น
ก็ให้หลับแต่ตา
ส่วนใจเราต้องให้สว่างไสวเหมือนต้นไม้นอนในเวลากลางคืน
ซึ่งใบไม้ไม่ปิดตาเรา

เมื่อเราฟอกดวงจิตของเราให้ขาวสะอาดเป็นจิตที่บริสุทธิ์แล้ว
จิตนั้นก็ย่อมจะเกิดแสงสว่างเป็นความรู้ ความคิด
ความเห็นขึ้นในตน สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็จะเกิดขึ้น
สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็จะเกิดขึ้น..."

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร





"..พระพุทธเจ้าก็ดี พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ท่านผู้เป็นพระอริยะทั้งหลายเหล่านั้น ท่านมีข้อวัตรปฏิบัติเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างทุกกาลทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ท่านไม่ได้เลิกละสละปล่อยวางจนตลอดชีวิต พระองค์ไม่คลุกคลี ทรงชักนำพาสาวกยินดีแต่ในที่สงบวิเวก พาสาวกของพระองค์ปฏิบัติ อัปปิจฉตา มักน้อย สันโดษ มีจิตใจเด็ดเดี่ยวมั่นคง คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง มรรคผล ธรรมวิเศษนั้น ไม่เลือกบุคคล เพศ ภูมิ ชนชั้น วรรณะ และไม่เลือกกาล สถานที่ ผู้ดีมีจน มรรคผลมีตลอดกาล ตลอดเวลา มีประจำอยู่แต่ไหนแต่ไรมา
เรายังขาดศีล สมาธิ ปัญญา ศรัทธา สติ ความเพียร ยัง ไม่แก่กล้าเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ จิตจึงไม่มีกำลังต่อสู้เอาชนะกับกิเลสได้
พวกเรามานี้ไม่ใช่มาเล่น เราบวชก็ไม่ใช่บวชเล่น เราบวชจริง เรามาจริง เราต้องปฏิบัติจริง จึงจะรู้จึงจะเห็นธรรมอันเป็นของจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมจริง เป็นสัจธรรม พระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นคำที่มั่นคง มีอยู่และตั้งอยู่ตลอดกาล ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่เคยคราคร่า ยังสดใส ใหม่เอี่ยม เต็มเปียมอยู่ตลอดกาลทุกเมื่อ ไม่เคยขาดตกบกพร่องแม้ แต่น้อย จงพากันปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อจิตจะได้มีกำลังแข็งแกร่ง ต่อสู้กับข้าศึกผู้คึกคะนองก่อกวนเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเวลาอันยาวนาน จะนับจะประมาณกี่ร้อยกี่พันกัปกัลป์อนันตชาติ ก็ประมาณมิได้ ทำให้ เราได้รับทุกข์ทรมานมาแสนสาหัสจนนับร่องรอยไม่ได้.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






“มีพระฝรั่งรูปหนึ่งเล่าให้อาตมาฟังว่า ...
หลังจากที่อยู่ในวัดในทวีปเอเชียหลายปี
ท่านมีธุระต้องกลับภูมิลำเนา ระหว่างที่
กลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ท่านพบปัญหามากมาย
จนรู้สึกเอือม เหงา ท้อแท้ใจ ท่านจะแผ่เมตตา
ให้แก่ผู้คนรอบข้างก็แผ่ไม่ค่อยออก ท่านนั่ง
ซึมเซาจนกระทั่งได้ข้อคิดว่า ...
ในขณะนี้ น่าจะต้องมีชาวพุทธทั่วโลกกำลัง
แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย และตัวเรา
ก็เป็นหนึ่งในสรรพสัตว์ทั้งหลายที่กำลังเป็น
ผู้รับการแผ่เมตตาอยู่ พอคิดอย่างนี้ ก็รู้สึก
อบอุ่นขึ้นทันที ท่านบอกว่าปกติพระเราจะเน้น
ที่การแผ่เมตตาให้คนอื่น การที่สำนึกว่ามีผู้แผ่
เมตตาให้ตัวเรา ทำให้มีความสุขได้เหมือนกัน”
...
คำสอน พระอาจารย์ชยสาโร
สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี นครราชสีมา






"..เป็นต้นทางที่ตรงถูกต้องก็คือ สติอันเดียวนี้เอง.."

ก่อนจะไปจากกันคืนสุดท้าย ครูอาจารย์ขาวชี้แจงแนะนํา เรื่องการทำสมถะในสติปัฏฐาน ๔

เพิ่นว่า

“นักปฏิบัติพวกเราผมจะขอชี้แนะว่า สมถกรรมฐานก็ดี วิปัสสนา กรรมฐานก็ดี ก็ประสงค์ลงในเอกัคคตารมณ์เท่านั้น คือรวมอารมณ์ลงเป็นอันเดียว เพราะทางความบริสุทธิ์ สิ้นชาติขาดจากภพของการปฏิบัตินั้น ท่านทั้งหลายก็พากันข้ามห้วงน้ำใหญ่ขึ้นท่าน้ำท่าเดียวเท่านี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ทางเดียวเป็นทางออก

ทำความระลึกที่กาย - กายานุปัสสนา
ทำความระลึกที่เวทนา - เวทนานุปัสสนา
ทำความระลึกที่จิต - จิตตานุปัสสนา
ทำความระลึกที่ธรรม - ธัมมานุปัสสนา

เห็นซึ่งกายในกาย คือเห็นแจ้งรู้ทั้งกายนอก - กายใน เห็นซึ่งเวทนาในเวทนา คือ เห็นแจ้งรู้แจ้งในเวทนานอก - เวทนาใน เห็นซึ่งจิตในจิต คือ เห็นแจ้งทั้งจิตนอก - จิตใน เห็นซึ่งธรรมในธรรม คือ เห็นแจ้งทั้งธรรมนอก - ธรรมใน

นี่ล่ะที่ผมพอเข้าใจมาอย่างนี้ แต่ที่ว่ามานี้มันเป็นทางอ้อมเยิ่นเย้อยืดยาว ยังห่างจากความจริงอยู่ แต่ก็นี่เองล่ะที่ได้อาศัยเป็นต้นทาง ที่ตรงถูกต้องก็คือ สติอันเดียวนี้เอง ยกสติขึ้นเป็นใหญ่ ยกธรรมขึ้นเป็นประธาน เพราะจิตก็เป็นจิต เวทนาก็เป็นเจตสิก กายก็เป็นรูป รูป จิต เจตสิก ก็มาจากไหน ถ้ามิใช่มาจากธรรม ด้วยเหตุนี้หากตั้งสติอยู่กาย จิตก็อยู่ เจตสิกก็อยู่ อยู่ด้วยกัน ไปด้วยกัน จึงให้ชื่อว่า สมถกรรมฐาน รูปหยาบก็หยาบ รูปปานกลางก็ปานกลาง รูปสุขุมก็สุขุม จึงเรียกทั้ง ฌาน รูปฌาน และอรูปฌาน

สติธรรมในกิริยาพากเพียรนี้เอง ที่จะแก่กล้าขึ้นมาเป็นองค์สัมมาสติ อาการของสติธรรมขั้นนี้ หากมีอยู่แล้วในตนของตน ย่อมจักทำให้เราเห็นกายนอก-กายใน เห็นเวทนานอก - เวทนาใน, เห็นจิตนอก - จิตใน, เห็นธรรมนอก - ธรรมใน เพราะเห็นตามสกลกายแล้ว เห็นตามจริงเป็นจริงนี้แล้วก็เป็นตัวอธิศีล เป็นสติสัมโพชฌงค์ เพราะทำให้อารมณ์รวมลงเป็นเหตุให้รู้แจ้งเห็นจริง จิตก็ยกขึ้นเป็นอธิจิต ตัวธรรมอธิปัญญา_ก็ตรงในสัมมาสติสมาธิ

ครูอาจารย์ใหญ่ก็อธิบายให้ผมฟังเช่นนี้เหมือนกัน มืดแปดด้าน งงเป็นไก่ตาแตก เพราะเข้าใจว่าสติปัฏฐาน ๔ ก็มี ๔ หมวด เพิ่นก็ย้ำลงในใจของผมว่า ธรรมนั้นเป็น ประธานฉายออกไปเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูปกาย กาย เวทนา จิต ก็เป็นสังขาร

เตสํ วูปสโม สุโข ก็เพราะเหตุเป็นสังขารนี้เองจึงดับระงับลงได้ ดับก็ใช่ว่าจะดับที่ไหน ก็ดับที่กาย กายดับเหลือเวทนาเหลือจิต เวทนาดับเหลือจิต จิตดับก็เป็นธรรม

ครั้นเป็นธรรมแล้วก็หาที่ดับต่อไปอีกไม่มี เพราะ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ เป็น วิสังขารธรรม อาการดับระงับอันผ่านมานั้น ก็ดับได้มาเป็นลำดับเพราะเป็นตัวสังขารธรรมทั้งหมดนี้สมถะจึงเป็นบาทของไตรลักษณ์

สมถกรรมฐานเดินมาจดกันกับอธิปัญญา

จากนั้นปัญญาใหญ่เดินคู่กับไตรลักษณ์ พอเป็นไตรลักษณ์เต็มภูมิเต็มธรรมแล้วก็ ถึงแก่โคตรภูจิตนี่สูงสุดของสังขารอยู่เท่านี้ ต่อว่าเมื่อใดที่โคตรภูจิต แสดงตัวเป็นอนัตตาธรรมอย่างเต็มภูมิแล้ว เป็นโคตรภูธรรมแล้ว ก็เป็นอันหมดเรื่อง ปลดภาระของไตรลักษณ์ ส่วนสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน

ต่อนี้ไปก็เป็นวิสังขารธรรมทั้งหมด เพิ่นครูอาจารย์ใหญ่เรียกขานตรงนี้ไว้ว่า เป็นธรรมฐีติ

นี่แผนที่ยุทธศาสตร์ที่ทุกคนต้องเป็นสงครามใหญ่ ในสนามรบใหญ่นี้เสมอกันทุกคน หากใครผู้ใดปฏิเสธสมรภูมิรบนี้แล้ว ก็มิอาจพ้นได้ไปหาสุขที่หาส่วนเปรียบนั้นมิได้ ผมเองก็เป็นตายมากับแบบแผนอย่างนี้ จนพอได้ลงความเชื่อประกาศตนกับความจริงมาได้จนวันนี้”

ครูอาจารย์ขาว อนาลโย แสดงชี้แจงให้ไว้เราก็พากเพียรจนสุด เมื่อได้ผลบ้าง เล็กน้อยพอได้อุ่นอกอุ่นใจ แต่ก็ยังมิหนําใจ ต่อสู้ดิ้นรนเสาะหาภาวนาค้นหาตัวเองไปหมด ทุกที่ทุกทาง ทำไปตามเรื่องตามเหตุของใจของตนเต็มที่เต็มกําลัง

ปีนั้นครูอาจารย์ขาว อนาลโย อายุได้ ๕๕ ปี พรรษา ๑๙ เข้า ๒๐ เรียนถามอายุของเพิ่นๆ ก็หัวเราะ “นับไปตามโลกนับไปตามสังขาร” เราก็เรียนถามว่า “ครูอาจารย์พอเป็นสุขกับการเกิดการตายมานานแล้วหรือครับผม”

“เข้าปีที่ ๒ แล้วละจามเอ๊ย”

อนาลโยวาท
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)
อ้างอิงหนังสือ
ธรรมประวัติ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ





#คนมีบุญ
#หลวงปู่สมกอง ญาณาสโย อายุ 80 ปี วัดดานนกเขียน ต.นาทัน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์

เมตตาให้ธรรมะ

“คนไม่มีบุญจะมีอะไร นั่งอยู่ที่ไหนก็เศร้าหมอง เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า พระสาวก พระอรหันต์ ผู้เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีมาบวช พอมาบวชแล้ว ลืมทรัพย์สมบัติหมดเลย พระโมคลา พระสาลีบุตร เป็นลูกเศรษฐี พระมหากัสสปะ ก็เป็นมหาเศรษฐี พอภาวนาแล้วจิตใจถึงสุขแล้ว ไม่อยากได้เลยเงิน

เพราะฉะนั้นแล้วคนที่มีบุญจึงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก คนไม่มีบุญจะอยู่ยังไงก็เป็นทุกข์ จะไปอยู่อย่างไรก็ไม่เป็นสุขในโลกอันนี้ เทวบุตรเทวดาดูแลคนมีบุญ แต่คนมีบาปเขาไม่ดูแลนะ ปล่อยไปตามยถากรรม คนมีบุญไปอยู่ไหนก็มีโชคลาภ เทวบุตรเทวดาเขาดูแลคุ้มครอง เขาจะช่วยเหลือผู้มีบุญ คนมีบุญนี้เป็นคนขาวสะอาด เทวบุตรเทวดาก็มองเห็น ส่วนคนมีบาปอยู่ในโคลนตมไม่มีใครมองเห็น เพราะฉะนั้นแล้วคนมีบุญจึงไม่กลัวอะไรสักอย่าง”







"..คนที่จะพ้นจากทุกข์ได้ พ้นจากโลกนี้ได้ พ้นจากกรรมได้ ก็เพราะใจอันเดียว จงยึดใจถือใจ เป็นสำคัญ จะมาเกิดก็เพราะใจ เกิดแล้วจะมาสร้างกิเลสขึ้นก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ ถ้าใจไม่เป็นทุกข์ ใจไม่ยึดถือ ปล่อยทิ้งเสีย กายอันนี้ก็ไปตามเรื่องของกาย ใจก็เป็นตามเรื่องของใจ หมดเรื่องหมดราวกันที.."

ธมฺมธโรวาท
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
(พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔ )







#ธรรมะถึงใจ
๕ ธันวาคม ๒๕๖๘

"ถ้าไม่อยากไปเกิด
เป็นสัตว์เดรัจฉาน
ก็ต้องรักษาศีล ๕
ให้ได้ตลอดเวลา
คือไม่ละเมิดเลย
แม้แต้ข้อเดียวทั้งชีวิต"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี








"..จงพากันรีบชำระแก้ไขให้พอเห็นช่องทางเดินของจิตเสียแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใครเพียร ใครอาจหาญ ใครอดทนในการต่อสู้กับกิเลสตัวฝืนธรรมอยู่ตลอดเวลา ผู้นั้นจะเจอร่มเงาแห่งความสงบเย็นใจในโลกนี้ ในบัดนี้และในใจดวงนี้ ไม่เนิ่นนานเหมือนการท่องเที่ยวที่เจือไปด้วยสุขด้วยทุกข์อยู่ทุกภพทุกชาติ ไม่มีวันจบสิ้นลงได้นี้ ธรรมทุกบททุกบาทที่ศาสนาสอนไว้ ล้วนเป็นธรรมรื้อขนสัตว์ผู้เชื่อฟังพระองค์ให้พ้นทุกข์ไปโดยลำดับ จนถึงขั้นธรรมที่ไม่กลับมาหลงโลกที่เคยเกิดตายนี้อีกต่อไป.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






"..เปรียบเหมือนกับเมล็ดข้าวสารที่ห่อหุ้มอยู่ด้วยเปลือกนอกของมัน และเก็บใว้ในยุ้งฉางหรือกระสอบ เมื่อได้รับสิ่งประสบ คือความเย็นชื้นแห่งดิน น้ำ และอากาศภายนอกเข้าเมื่อใด เมล็ดข้าวเหล่านั้น ก็ย่อมจะต้องแตกงอกงามออกมาเป็นต้นข้าว มีใบรวงและก่อพืชพันธุ์สืบต่อไปอีกไม่มีสิ้นสุด แต่ถ้าเรานำเมล็ดข้าวนั้นไปกะเทาะหรือฝัดสีข้าวเปลือกนอกออก หรือนำไปใส่ภาชนะคั่วไฟเสีย มันก็จะต้องหมดเชื้อหมดยางนำไปเพาะอีกไม่ได้ ฉันใดก็ดี ดวงจิตของเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราได้ ใช้ความเพียร บำเพ็ญตบะ บำเพ็ญพรต แผดเผากิเลสเกิดขึ้นภายในดวงจิตของเรา ด้วยการทำสมาธิ และพิจารณาธรรมด้วยสติปัฏฐาน ๔ มีกาย เวทนา จิต ธรรม อยู่เนือง ๆ แล้ว ตัวกิเลสของเราก็ต้องกระเด็นออกไปเหมือนกับเมล็ดข้าวสารที่ถูกคั่วด้วยไฟ และกระเด็นออกไปจากกระทะฉันนั้น การบำเพ็ญอย่างนี้เรียกว่า จิตไม่ตาย พ้นจากความตาย กายก็ไม่ตาย จิตก็ไม่ตาย นี่แหละที่เข้าถึงความจริงได้ โดยประการฉะนี้.."

ธมฺมธโรวาท
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
(พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔ )





คนทำบุญ ไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้
ถ้าจิตเราเป็นบุญแล้ว ทำบุญอยู่ที่ไหน
มันจะเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ
ไม่ต้องฉลอง ไม่ต้องให้ใครรู้
ไม่ต้องให้ใครเห็น ไม่ต้องมีอะไร
มีแต่กำลังจิตที่เชื่อมั่นในความดี ...
...
หลวงพ่อชา สุภทฺโท





"บางเรื่องรู้แล้วมันทุกข์ อย่ารู้ดีกว่า..
ทุกวันนี้มันมีแต่ประเภท..รู้ไปหมดแต่มันอดไม่ได้ รู้ไปทั่วแต่เอาตัวไม่รอด.."

#หลวงปู่หา สุภโร






"..ร่างกายเสื่อมก็ช่างจิตเราต้องไม่เสื่อมตาม.."
"..ร่างกายมีสภาพแต่จะต้องตกไปในกระแสของความเสื่อมถ่ายเดียว
แต่ส่วน "จิต" จะไม่ตกไปอย่างนั้น
จะต้องไหลไปสู่ความเจริญได้ตามกำลังของมัน
ถ้าใครมีกำลังแรงมากก็ไปได้ไกล

ถ้าใครไปติดอยู่ในเกิด เขาก็จะต้องเกิด
ใครไปติดอยู่ในแก่ เขาก็จะต้องแก่
ใครไปติดอยู่ในเจ็บ เขาก็จะต้องเจ็บ
ใครไปติดอยู่ในตาย เขาก็จะต้องตาย
ถ้าใครไม่ไปติดอยู่ในเกิด ไม่ติดอยู่ในแก่
ไม่ติดอยู่ในเจ็บ และไม่ติดอยู่ในตาย
เขาก็จะต้องไปอยู่ในที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย

เรียกว่า มองเห็นก้อน "อริยทรัพย์" แล้ว คือ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ
ผู้นั้นก็จะไม่ต้องกลัวจน ถึงร่างกายเราจะแก่ จิตของเราไม่แก่
มันจะเจ็บก็เจ็บไป ตายก็ตายไป แต่จิตของเราไม่เจ็บ จิตของเราไม่ตาย
พระอรหันต์นั้นใครจะตีให้หัวแตก แต่จิตของท่านก็อาจไม่เจ็บด้วย

"จิต" เมื่อมันสุมคลุกเคล้ากับโลก ก็จะต้องมีการกระทบ
เมื่อกระทบแล้วก็จะหวั่นกลอกกลิ้งไปกลิ้งมา
เหมือนก้อนหินกลมๆ ที่มันอยู่รวมกันมากๆ ก็จะกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างเดียวกัน
ดังนั้นใครจะดีจะชั่ว เราไม่เก็บมาคิดให้เกิดความชอบความชัง
ปล่อยไปให้หมด เป็นเรื่องของเขา

นิวรณ์ เป็นตัวโรค ๕ ตัว ซึ่งเกาะกินจิตใจคนให้ผอมและหิวกระหาย
ถ้าใครมี "สมาธิ" เข้าไปถึงจิตก็จะฆ่าตัวโรคทั้ง ๕ นี้ให้พินาศไปได้
ผู้นั้นก็จะต้องอิ่มกาย อิ่มใจ เป็นผู้ไม่หิว ไม่อยาก ไม่ยาก ไม่จน
ไม่ต้องไปขอความดีจากคนอื่น

ผลที่ได้ คือ
๑) ทำให้ตัวเองเป็นผู้เจริญด้วย "อริยทรัพย์"
๒) ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็จะต้องพอพระทัยมาก
เหมือนพ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนร่ำรวย ตั้งเนื้อตั้งตัวได้เอง
ท่านก็หมดความเป็นห่วงใย นอนตาหลับได้

สรุปแล้ว
"โลกียทรัพย์" เป็นเครื่องบำรุงกาย
"อริยทรัพย์" เป็นเครื่องบำรุงกำลังใจ

จึงขอให้พากันน้อมนำธรรมะข้อนี้ไปปฏิบัติ
เพื่อฝึกตน ขัดเกลากาย วาจา ใจของตน
ให้เป็นความดีงาม บริสุทธิ์ เพื่อจะได้ถึงซึ่งอริยทรัพย์
อันเป็นทางนำมาแห่งความสุขเป็นอย่างยอด คือ พระนิพพาน.."

ธมฺมธโรวาท
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
(พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔ )






..อยู่บ้านอยู่ช่องก็ให้รู้จักพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญ ตรวจตราตนเองดูอยู่บ่อยๆว่าขณะนี้เราทำอะไรอยู่เดี๋ยวนี้หนอ เราทำดีหรือไม่ดีหนอ เรียกว่าเป็นคนปฏิบัติอยู่นั่นเอง ไม่ใช่มาแต่ที่วัดจึงจะเรียกว่าปฏิบัติ ก็เรียกว่าเรามีความขวนขวายอยู่ หาวิธีละกิเลสอยู่ ดูตนเองอยู่ เรียกว่าเป็นคนฉลาด คนฉลาดนี้ไปที่ไหนก็ไม่ทำให้เสียเวลา มีประโยชน์ทั้งนั้นที่จะทำเวลานั้นให้ตนเองมีค่ามีประโยชน์ ถ้าคนไม่ฉลาดนั้นก็ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร มันทำเข้าไปเดินเข้าไป ยิ่งทุกข์มันก็ยิ่งทำอยู่
..เหมือนเขารบราฆ่าฟันประเทศต่างๆ ไม่รู้จักทุกข์ มีการศึกษาเล่าเรียนทางโลกจนจบดอกเตอร์ก็มี ก็ยังสร้างอาวุธนานาต่างๆมารบราฆ่าฟันกัน ไม่รู้จักว่ามันจะเป็นทุกข์ เป็นบาปเป็นกรรม มันไม่รู้ เลยทำอย่างนั้น ทำเข้าไปเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์ รบราฆ่าฟันกันเบียดเบียนกัน แตกบ้านแตกเมืองกันจนไม่มีที่จะอยู่ มันก็ยังไม่รู้ทุกข์ เพราะมันพิจารณาปัญหาไม่ออก มันเดินหนทางผิดนั่นเอง คนทำความผิดทั้งหลายมันก็ไม่รู้ว่ามันจะทำให้เกิดทุกข์ ก็เลยทำไปเรื่อยๆ..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..





“ความทุกข์สอนธรรม
แต่ความสุขความสบาย
เป็นเครื่องบังธรรม
อย่ากลัวทุกข์ เพราะทุกข์
เป็นครูสอนธรรมที่ยอดเยี่ยม!”

หลวงปู่หา สุภโร






"..ธรรมอยู่ที่ใจนั่นแล ต่อไปท่านจงรักษาระดับจิตระดับความเพียรไว้ให้ดีอย่าให้เสื่อมได้ นั่นแลคือฐานของจิต ฐานของธรรม ฐานของความเชื่อมั่นในธรรม และฐานแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ที่นั่นแล จงมั่นใจและเข้มแข็งต่อความเพียรถ้าอยากพ้นทุกข์ การพ้นทุกข์ต้องพ้นที่นั่นแน่นอนไม่มีที่อื่นเป็นที่หลุดพ้น อย่าลูบคลำให้เสียเวลา เรามิใช่คนตาบอดพอจะลูบคลำ.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







ความสุขหนึ่ง ความสงบหนึ่ง มันต่างกัน
ไกลกันคนละฟ้ากับดิน แต่ใครไม่รู้จัก
ก็คิดว่าสุขกับสงบมันอันเดียวกัน นี่ ...
มันเป็นซะอย่างนั้นนะ มันคิดกันเช่นนี้
มนุษย์จึงไม่พิจารณา ว่าเห็นความสุขแล้ว
ก็คิดว่ามันสงบแล้ว ไอ้ความเป็นจริง
ความสุข ความทุกข์ ความสงบ
มันคนละอย่างกันนะ สุขอยู่ แต่ว่ามันสงบ
ทุกข์อยู่ แต่ว่ามันสงบ
มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ ...
...
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทฺโท)







.. เมื่อบุคคลไม่มีความโกรธความเกลียดความเคียดความแค้น ก็ไม่มีโลภะ โลภะนี้จะเอาอะไรเขาก็รู้จัก โทสะจะเกิดขึ้นเพราะอะไร โมหะความลุ่มหลงจะเกิดขึ้น อย่างไร ก็เพราะจิตใจนี้ลุ่มหลง ไม่ใช่รูปร่างกายนี้มันหลง หลงทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ หลงสิ่งของที่มีอยู่ จิตใจมันหลงไม่ใช่ร่างกายมันหลงนะ ต้องดูเข้าไปให้ดีๆ คนอยากได้รถ ก็เพราะว่าจิตใจมันอยากได้ อยากได้บ้านก็เพราะจิตใจมันอยากได้ พระอยากได้วัดอยากได้โบสถ์อยากได้วิหาร ก็เพราะจิตใจ มันอยากได้ คนอยากได้เงินได้ทองได้สิ่งของอะไรต่างๆ จิตใจมันอยากได้ ก็ดูสิอยากได้อะไรต่างๆก็ดี เมื่อได้มาจริงๆแล้ว ใจมันได้รับผลอะไร เหมือนบางทีได้รถมาแล้ว มันก็ยังไม่อยู่กับรถ จิตใจนี้ มันยังคิดออกไปหาบ้าน ออกไปนู่นไปนี่ นั่งอยู่ในรถมันยังคิดไปที่อื่นไปจังหวัดอื่น มันนั่งรถไปกับเราไหมจิตใจนี้..มันไม่นั่ง ได้รถมาแล้วจิตใจมันไม่ได้ใช้ เป็นรูปร่างกายมันใช้ ได้เครื่องนุ่งเครื่องห่มมาก็ดี รูปร่างกายมันใช้ จิตใจมันไม่ได้ใช้ด้วย เหมือนเราอยากกินข้าวก็เหมือนกัน เป็นเรื่องจิตใจนี้มันอยาก แต่เวลากินรูปร่างกายมันเป็นคนกิน จิตใจนี้ไม่ได้กินด้วย นี่มันเป็นอย่างนี้ เพราะจิตใจมันเป็นนามธรรม มันไม่มีตัวมีตน มันจะกินได้อย่างไร..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..








"..พระพุทธเจ้าก็ดี พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ท่านผู้เป็นพระอริยะทั้งหลายเหล่านั้น ท่านมีข้อวัตรปฏิบัติเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างทุกกาลทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ท่านไม่ได้เลิกละสละปล่อยวางจนตลอดชีวิต พระองค์ไม่คลุกคลี ทรงชักนำพาสาวกยินดีแต่ในที่สงบวิเวก พาสาวกของพระองค์ปฏิบัติ อัปปิจฉตา มักน้อย สันโดษ มีจิตใจเด็ดเดี่ยวมั่นคง คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง มรรคผล ธรรมวิเศษนั้น ไม่เลือกบุคคล เพศ ภูมิ ชนชั้น วรรณะ และไม่เลือกกาล สถานที่ ผู้ดีมีจน มรรคผลมีตลอดกาล ตลอดเวลา มีประจำอยู่แต่ไหนแต่ไรมา
เรายังขาดศีล สมาธิ ปัญญา ศรัทธา สติ ความเพียร ยัง ไม่แก่กล้าเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ จิตจึงไม่มีกำลังต่อสู้เอาชนะกับกิเลสได้
พวกเรามานี้ไม่ใช่มาเล่น เราบวชก็ไม่ใช่บวชเล่น เราบวชจริง เรามาจริง เราต้องปฏิบัติจริง จึงจะรู้จึงจะเห็นธรรมอันเป็นของจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมจริง เป็นสัจธรรม พระองค์ทรงแสดงธรรมเป็นคำที่มั่นคง มีอยู่และตั้งอยู่ตลอดกาล ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่เคยคราคร่า ยังสดใส ใหม่เอี่ยม เต็มเปียมอยู่ตลอดกาลทุกเมื่อ ไม่เคยขาดตกบกพร่องแม้ แต่น้อย จงพากันปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อจิตจะได้มีกำลังแข็งแกร่ง ต่อสู้กับข้าศึกผู้คึกคะนองก่อกวนเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเวลาอันยาวนาน จะนับจะประมาณกี่ร้อยกี่พันกัปกัลป์อนันตชาติ ก็ประมาณมิได้ ทำให้ เราได้รับทุกข์ทรมานมาแสนสาหัสจนนับร่องรอยไม่ได้.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







" ..พ่อแม่เป็นบุพพาจารย์ เป็นอาจารย์คนแรกของบุตรธิดา เราเกิดมาทีแรก เราก็มองเห็นหน้าพ่อแม่ก่อน แล้วพ่อแม่ก็เลี้ยงดูเรามา เลี้ยงน้ำนม จะกินน้ำยังไง เรายังแบเบาะไม่รู้จักเดียงสาภาวะอะไรในช่วงนั้น พ่อแม่เลี้ยงดู ขี้ยังไง เยี่ยวยังไง เลี้ยงอาหารยังไง อดตาหลับขับตานอนยังไง ค่ำคืนร้องไห้ขึ้นมา เป็นเพราะอะไร พ่อแม่ต้องดูตลอด จากนั้นมาก็พอรู้เดียงสาภาวะได้บ้าง ท่านก็สอนวิชาให้ กินอย่างนี้นะ นอนอย่างนี้นะลูก เรียกพี่ป้า น้าอาอย่างนี้นะ เรียกพ่อเรียกแม่อย่างนี้นะ สอนให้เป็นคนแรก พ่อแม่ต้องสอนก่อน ท่านจึงว่าพ่อแม่เป็นบุพพาจารย์ เป็นอาจารย์คนแรกของบุตรธิดา

ต่อมาท่านก็บอกว่าพ่อแม่เป็นพรหมของบุตร เป็นผู้มีเมตตาต่อบุตรธิดา ไม่มีใครที่จะรักเมตตายิ่งกว่าพ่อแม่ที่ให้กับลูก ๆ ท่านเห็นลูกของท่านแล้วมีแต่อยากจะให้ลูกของท่าน มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มีเมตตา กรุณา มุทิตา ที่ท่านทำกับลูก

เมตตาคือมีความสงสารรักลูกของตนเองเท่ากับชีวิต
กรุณา อยากจะให้ลูกดี มีความรู้ความฉลาดมั่งมีศรีสุขเหนือกว่าใคร ๆ
มุทิตา ยินดีเมื่อลูกได้ดี เมื่อลูกเป็นนายร้อย นายพัน นายพลได้เป็นข้าราชการชั้นระดับไหนก็ตาม ไปบวชพระพุทธศาสนาได้เป็นพระอริยเจ้าเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในพุทธศาสนาพ่อแม่ก็ยินดีอย่างมาก มุทิตายินดีกับลูก

แต่หลวงตามหาบัวท่านบอกว่า ไม่มีพ่อแม่คนใดจะวางอุเบกขากับลูกได้ อุเบกขาคือวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจ เมื่อลูกถึงคราววิบัติ พ่อแม่จะวางใจไม่ได้ เสียใจร้องห่มร้องไห้ทั้งวี่ทั้งวัน ไม่มีไม่มีพ่อแม่คนใดที่วางอุเบกขาได้

นี่แหละพ่อแม่เป็นพรหมวิหาร เมตตา กรุณา มุทิตา แต่ไม่ยอมใช้อุเบกขานะ อันนี้ก็ให้พวกเราทุก ๆ ท่านที่มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายทั้งหลายที่เราได้เป็นมาอยู่อย่างนี้ก็พระคุณของท่าน ที่ได้ทั้งปู่ทั้งย่าและท่านก็ให้มรดกมาให้ที่ดินที่ดอน ที่บ้านที่เรือนมา เราก็ได้ร่มเย็นเป็นสุข

สรุปแล้วก็คืออย่าลืมเจ้าของ อย่าหลงเจ้าของ จุดนี้สำคัญมาก อยู่ในสถานะไหนก็ตาม ให้รู้เท่ารู้ทัน ให้รู้สถานะของตนเองการเป็นอยู่ ให้รู้จักสัมมาคาราวะ นอบน้อมต่อผู้มีพระคุณ .."

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “น้ำใจของพ่อแม่”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
ตอบกระทู้