พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พฤหัสฯ. 18 ก.ย. 2025 4:58 am
#ฝากคนอื่นทำบุญแทนตัวเอง
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านเมตตาตอบปัญหาเรื่อง "การฝากคนอื่นทำบุญ"
* #ถ้าให้คนอื่นทำบุญแทนเราจะได้บุญหรือเปล่า?
หลวงพ่อพุธ : ถ้าเป็นสมบัติของเรา เราให้คนอื่นเขาทำแทน เราจะได้บุญหลายทอด
ทอดที่ 1 เป็นบุญเพราะสละสมบัติของเราออกไป
ทอดที่ 2 เป็นการแบ่งบุญให้เขา เมื่อเราให้คนอื่นเขาทำ เราก็ได้บุญเพิ่มขึ้น เป็นการแบ่งปันความสุขให้กันและกัน
* #ถ้าฝากคนอื่นเขาทำบุญแล้วเราจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลได้หรือไม่?
หลวงพ่อพุธ : ทำได้ มีปัญหาอยู่ว่าคนเฒ่า - คนแก่โบราณมักจะพูดว่า "ทำบุญแล้วไม่กรวดน้ำจะไม่ได้บุญ" อันนี้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็แก้กันอยู่บ่อยๆ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทำดีได้ดี - ทำชั่วได้ชั่ว" ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว เราทำอะไรลงไปแล้ว เราจะได้รับผลอย่างแน่นอน เราไม่ต้องการกรวดน้ำเราก็ได้
แต่หากเราจะทำบุญเพื่ออุทิศให้ใครสักคนหนึ่ง ถ้าเราไม่น้อมใจนึกถึงเขา เขาก็จะไม่ได้รับส่วนบุญจากเรา จึงมี "พิธีกรวดน้ำ" เพื่ออุทิศส่วนกุศล
แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องส่วนตัว เราจะกรวดก็ตาม ไม่กรวดก็ตาม ทำลงไปแล้วจะได้ผลเฉพาะตัวเรา ถ้าจะให้คนอื่นด้วย ต้องตั้งจิตอธิษฐานว่าเราจะให้ส่วนบุญแก่คนๆนั้น เขาก็จะได้รับส่วนบุญจากเรา
* #ถ้าอุทิศส่วนกุศลไปแล้วบุญของเราจะเหลืออยู่หรือเปลา?
หลวงพ่อพุธ : สำหรับการให้ส่วนบุญ เป็นการแบ่งส่วนความดีที่เราทำให้กับคนอื่น "บุญที่เราทำนั้นไม่ได้หมด" แต่ยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น
แทนที่จะได้เฉพาะส่วนที่เราทำอย่างเดียว แต่เราได้ให้ส่วนบุญแก่คนอื่นด้วย การให้ส่วนบุญคนอื่นนั้น เรียกว่า "ทานบุญ" ให้บุญเป็นทาน
และถ้าสมมุติว่าเราเดินไปในที่ไหนๆก็ตาม ไปเห็นใครเขาทำบุญสุนทาน คนที่เขาทำจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่เราเห็นแล้ว "เราอนุโมทนา" แสดงความยินดีในบุญที่เขาทำ เราก็ได้บุญเหมือนกัน คือ "บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา"
* การทำบุญจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องทำกับพระสงฆ์ #ถ้าทำกับคนทุกข์คนยากจะได้บุญหรือไม่?
หลวงพ่อพุธ : "การทำบุญ" คือ "การให้" ไม่เฉพาะแต่ในพระพุทธศาสนาอย่างเดียว แต่เป็นอุบายผูกมิตรไมตรีระหว่างเพื่อนมนุษย์ เราอยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างให้ซึ่งกันและกัน ให้วิชาความรู้ ให้สิ่งของ ให้การช่วยเหลือ ได้ชื่อว่า "การให้ทาน" ทั้งสิ้น
ผู้ใดมีศรัทธาบริจาคทรัพย์สร้างถนนหนทาง / สร้างโรงพยาบาล / สร้างสาธารณะประโยชน์ ฯลฯ นับเป็น "การให้ทาน" เป็น "การทำบุญ" ได้บุญเหมือนกัน
เมตตาวิสัชนา...
#หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
#โอวาทธรรมทำสอน
พระโพธิญาณเถร
(หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
"..คำตำหนิว่าเสียชาติเกิด เป็นคำหนักแต่ไม่มีคำหยาบคายอยู่ในความหนักนี้ จึงเป็นที่ใช้กันสืบมาจนปัจจุบันโดยไม่ถูกต่อต้านจนต้องเลิกใช้ แม้คำนี้จะไม่หยาบคาย แต่ก็เป็นการตำหนิที่รุนแรง ที่ผู้ใหญ่โดยเฉพาะคือมารดาบิดานำมาใช้ แต่จะเป็นการสอนมากกว่าดุว่า คือเมื่อบุตรธิดาประพฤติไม่สมกับฐานะชาติตระกูล ก็จะได้รับคำเตือนว่าอย่าเสียชาติเกิด
เป็นคำเตือนให้รู้ ว่าไม่ได้เกิดมาต่ำ ต้องประพฤติตัวให้ดีงามสมกับฐานะชาติตระกูลของตน สมัยก่อนเด็กฟังก็จะเข้าใจจะได้คิดบ้าง ว่าตัวเองเป็นใคร มีความจำเป็นต้องประพฤติอย่างไร ให้เหมาะสมกับชาติตระกูลของตน เพื่อจะต้องไม่เสียชาติเกิด
ที่จริงไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่น่าจะเป็นการดี แม้จะนึกไว้ให้เป็นคติประจำใจว่า อย่าเสียชาติเกิด จะได้เป็นการช่วยยับยั้งไม่ให้คิดพูดทำที่ไม่เหมาะสมกับฐานะกับชาติตระกูลหรือความเป็นคนของตน หรือของผู้ที่ตนเคารพเทิดทูนศรัทธา ให้เหมาะให้ควรกับภาวะฐานะทั้งของท่านและของตน พยายามทำให้ได้ดังนี้ก็จะได้ไม่เสียชาติเกิดแน่นอน.."
พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
"..สงบจริงๆนั้น ไม่มีอะไรเลย แต่รู้สึกตนว่า ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องในที่นั้น นั่นล่ะความสงบแท้ แต่ว่าอันนี้พูดให้ฟังเพื่อเป็นอุบาย.."
" โอวาทหลวงปู่เทสก์ เทสรงํษี "
#พากันตั้งใจฝึกหัดปฏิบัติตามความสามารถของตน ถ้าหากคนเราไม่ปฏิบัติธรรมะ ก็จะไม่รู้จักธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ความสุขอันใดจะเสมอเหมือนความสงบไม่มี คำนั้นเป็นคำจริง ถ้าหากปฏิบัติไม่ถึง พอจะเดาๆ คิดนึกเอาเฉยๆ ก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อันความที่จะเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆจังๆ นี่เป็นของยากมาก ถึงหากเราเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ถ้าหากปฏิบัติลงไปถึงตรงนั้นแล้วจะเชื่อขึ้นมา อ๋อ! ตรงนี้หรอกคำที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้นั้นว่ามีความสุข ความสงบ อย่างนี้เป็นต้น
#ความสงบนั้นมันมีจากไหน คนเราโดยส่วนมากมันยุ่งมันวุ่นวายสารพัดทุกสิ่งทุกอย่าง แส่ส่ายไปในที่ต่างๆ มันหาความสงบไม่ได้ เหตุนั้นคนที่เชื่อว่า ความสงบเป็นความสุข จึงค่อยมีน้อยนัก เพียงแต่เดาๆ คิดๆ นึกๆ ไปเฉยๆ ที่จะให้ถึงความสงบจริงๆจังๆ มันต้องละทุกสิ่งทุกประการ อารมณ์ทั้งปวงวุ่นวี่วุ่นวายอยู่ในใจของตนหายหมด ไม่มีเกี่ยวข้อง ถึงซึ่งความสงบจริงๆจังๆ ถ้ายังไปเกี่ยวข้องเรื่องต่างๆอยู่ มันยังไม่ถึงความสงบขึ้นมาได้ ความตรงนี้ล่ะ ที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เชื่ออย่างจริงๆจังๆ เราฝึกหัดนี้ฝึกหัดหาความสงบ ทุกอย่างทุกประการที่อบรมมาก็เข้าหาความสงบอย่างเดียว ความไม่สงบมันมีมาก อย่างเราตั้งแต่เกิดขึ้นมาก็หาความสงบไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งๆ ๒๔ ชั่วโมงจะเอาความสงบจริงๆจังๆ สัก ๕ นาทีก็ยังดี ๑๐ นาทีก็ยังดี นั่นล่ะเห็นแจ้งความจริงของพระพุทธเจ้าที่ทรงเทศนาไว้จริงในใจของเราเลย
#การฝึกหัดในทางพุทธศาสนาจะหัดวิธีใดก็ตาม ถึงกัมมัฏฐานจะหัดต่างครูต่างอาจารย์ก็ตาม ก็ลงสู่ความสงบอันเดียวกัน อย่างเขาหัดยุบหนอพองหนอก็ดี สัมมาอรหังก็ดี อานาปานสติ มรณสติอะไรก็ดี คือให้เข้าถึงความสงบนั่นเอง แต่แท้ที่จริงเมื่อถึงความสงบแล้ว ไม่รู้จักความสงบซ้ำอีก ยังหาว่าความสงบเป็นความโง่ไปโน่นซ้ำอีก ความโง่อย่างนี้เคยไหม? หัดให้ถึงความโง่อันนี้ ไม่ถึงความโง่ไม่ได้ความฉลาดหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างให้มันเสียก่อนนั่นแหละ มันไม่ฉลาดก่อนหรอก ความสงบ จึงว่า เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ ที่เราปฏิบัตินั่นจะใช้อุบายแยบคายใดก็เอาเถอะ ที่ฟังเทศน์ฟังธรรมฟังอุบายจากครูบาอาจารย์ ทุกสิ่งทุกประการนั้นเรียกว่า อุบาย ครั้นเมื่อเข้าถึงความสงบแล้วนั้นเป็น แยบคาย
"..แยบคาย.." กับ " อุบาย " นั้นมันต่างกัน แยบคายนั้นใครสอนไม่ถูกรู้เฉพาะตนเองเป็นแยบคาย เข้าถึงความสงบแล้วนั่นแหละเป็นแยบคายของเรา แยบคายนั้นเมื่อถึงความสงบแล้ว เราจะเอามาสอนคนอื่นว่า ต้องทำอย่างนั้นๆ มันจึงเข้าถึงความสงบ อันนั้นเป็นอุบายอีก แยบคายแล้วมาเกิดเป็นอุบายของคนนั้น สอนคนอื่นต่อไป คนอื่นได้ฟังอีกก็เป็นอุบาย ครั้นเมื่อฝึกฝนอบรมเข้าถึงความสงบจริงๆ จังๆ เป็นแยบคายของแต่ละคน แยบคาย ก็คือ ตัวปัญญานั่นเอง จึงว่าพระพุทธศาสนานี้สอนให้เข้าถึงความสงบเสียก่อน จึงเรียกว่า สมถะ ถ้าไม่เกิดสมถะ ก็ไม่มี ปัญญา สมถะคือความสงบ ความสงบเกิดขึ้นมาในใจของตน มองเห็นหมดทุกสิ่งที่มันไม่สงบนั่น โทษของความไม่สงบเห็นที่นี่ เห็นแจ้งประจักษ์ในใจของตนเลย ชัดขึ้นมา นั่นล่ะคือตัว ปัญญา
#ถ้าไม่เข้าถึงความสงบจิตใจยังฟั่นเฝืออยู่ จิตใจยังกระวนกระวายเกี่ยวข้องอยู่ถึงชัดถึงจริงก็ไม่เป็นของชัดด้วยตนเอง มันยังปะปนด้วยอารมณ์ต่างๆ ด้วยกิเลสทั้งปวง จึงต้องกระสับกระส่ายอยู่ร่ำไป เมื่อเข้าถึงความสงบนั่นเป็นต้น ชัดด้วยตนเองเลยที่เดียว อ๋อ!…อย่างนี้หรอกความความสงบ ที่ท่านว่า "..ความสงบหาความสุขอันใดเสมอไม่ได้.." มันอย่างนี้เอง ถ้าพูดโดยอนุมาน เมื่อไม่มีสิ่งใดๆ ทั้งปวงหมดมาเกี่ยวข้องกับจิตแล้ว มันจะมีอะไรเหลือในที่นั้น? มันก็ไม่มีอะไรน่ะสิ อันที่มีสิ่งต่างๆ เกี่ยวข้องนั้น จิตมีสิ่งต่างๆ นั้นเรียกว่ามันไม่สงบ ไม่เห็นความสงบ
สงบจริงๆนั้น ไม่มีอะไรเลย แต่รู้สึกตนว่า ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องในที่นั้น นั่นล่ะความสงบแท้ แต่ว่าอันนี้พูดให้ฟังเพื่อเป็นอุบาย
#ถ้าคนใดเข้าถึงความสงบแล้ว เห็นด้วยตนเองเลย คราวนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนไม่ว่าจะพูดจะคุยอะไรต่างๆ มองเห็นความสงบอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ในขณะนั้นจะไม่ได้ความสงบอย่างเต็มที่ มันก็คิดถึงความสงบ ระลึกถึงความสงบ เห็นความสงบอยู่ตลอดเวลา หากได้โอกาสเวลาว่างๆ เราทำความเพียร เดินจงกรม นั่งภาวนาก็ดี มันสงบ ยังเหลือแต่จิตอันเดียว ไม่มีสิ่งเกี่ยวข้อง มันก็สุขน่ะซีตรงนั้น มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง มันก็สุขนะซี คนที่ไม่เคยละสิ่งที่เกี่ยวข้อง เลยไม่เห็นความสุข เห็นว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องน่ะเป็นความสุขความสบาย โน่นละไปโน่นอีก มันยากที่รู้จักธรรมเห็นธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า
#เหตุนั้น จึงว่าตั้งใจปฏิบัติไปเถิดไม่เป็นไรหรอก เราปฏิบัตินี่ถูกต้องแล้ว ปฏิบัติมุ่งหาความสงบนั้นถูกแล้ว ความไม่สงบมันมากมาย มันเป็นเองหรอก ความไม่สงบน่ะ มันเป็นตามเรื่องตามราวของมัน ของไม่สงบนั่นมันหากมีในนั้น ฉะนั้นสิ่งที่มันสงบน่ะมันหายาก สิ่งที่ไม่สงบน่ะมันหาง่าย ไปที่ไหนๆ ก็พบหรอกความไม่สงบ
#เหตุนั้น ในชีวิตอันนี้ ขอให้ได้ความสงบสักพักหนึ่งเถิดในวันหนึ่งๆ ขอให้ได้ความสงบสักพักหนึ่ง ก็นับว่าดีอักโขแล้ว เอาละ.."
โอวาทธรรมคำสอน พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิสิทธิ์ (เทสก์ เทสรํสี) วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย (๒๔๔๕-๒๕๓๗)
"การปฏิบัติธรรมก็เหมือนการปลูกต้นไม้
ศีล คือดิน สมาธิ คือลำต้น ปัญญา คือดอกผล
เราต้องการให้ต้นไม้เจริญงอกงาม ก็ต้องหมั่นรดน้ำ
พรวนดิน และต้องคอยระมัดระวังมิให้ตัวหนอน
คือ โลภ โกรธ หลง มากัดกิน"
หลวงปู่ดู่ พฺรหมฺปญฺโญ
"มนุษย์นี่ อย่างอื่นฉลาดหมด
สร้างรถก็ได้ สร้างเครื่องบินก็ได้
แต่จะสร้างจิตให้สงบนี่ไม่ได้
น่าสงสารเหมือนกัน"
หลวงปู่ชา สุภัทโท
"ธรรมะแสดงอยู่ทุกเมื่อ เกิดอยู่เสมอ
ผู้มีปัญญาย่อมโอปนยิโก คือ น้อมเข้ามาใส่ตัวเอง
น้อมเข้ามาพิจารณาในตัวเอง เมื่อพิจารณามากเข้า
ก็จะปัจจัตตัง คือ รู้ได้เฉพาะตน"
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.