นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 17 ก.ย. 2025 12:33 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บำเพ็ญบุญ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 12 ก.ย. 2025 6:03 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5053
"เรื่องของปาก ใครจะพูดจะทำอะไร มันก็กรรมของเขา ในครั้งพุทธกาล ก็มีคนนินทาพระพุทธเจ้า มันก็กรรมของเขาแหละ
เราไม่ไปทุกข์กับมัน มันก็ไม่ทุกข์หรอก เรื่องของเรา คือรักษาใจ รักษาความดี"

หลวงปู่เพียร วิริโย
วัดป่าหนองกอง จ.อุดรธานี





“อย่าไปยินดีในการทำชั่วของคนอื่น
เพราะเราจะมีส่วนในบาปนั้นด้วย
แต่ให้ยินดีในการประกอบคุณงามความดีของตน
และคนอื่น เพราะจะได้แต่บุญโดยฝ่ายเดียว”

หลวงปู่หลุย จันทสาโร





"ให้ขยันภาวนา และรักษาศีลให้ดี
คนเราโตแล้ว คิดเป็นทำเป็น
อย่างอมืองอเท้า ให้ขยันทำงาน
ทำงานอะไรก็แล้วแต่ ให้ทำด้วยสติ
คิดก่อนทำ ไม่ใช่ทำก่อนคิด
ให้รีบทำให้เสร็จ อย่าคั่งค้าง
ทำอะไรต้องทำให้รวดเร็ว อย่าชักช้า
แม้แต่การตื่นนอน ต้องตื่นก่อนนกกาไปหากิน
ถ้าตื่นสาย จะไปหากินอะไรได้"

หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ





“เลือกคบคนอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น
ถ้าคบคนพาลคนโกงหลงกามคุณ
ถ้าสติเราไม่พอ อีกไม่นานเราก็จะซึมซับ
สิ่งเหล่านั้นได้โดยไม่รู้ตัว
ถ้าไม่มีคนมีศีลมีธรรมอยู่รอบตัวเลย
จงเลือกเดินคนเดียว และมีสติเป็นเพื่อน”

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน





"...เราทั้งหลายต่างเกิดมาด้วยวาสนา มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภูมิดังที่ทราบอยู่แก่ใจ อย่าลืมตัวลืมวาสนา โดยลืมสร้างคุณงามความดีเสริมต่อภพชาติของเราที่เคยเป็นมนุษย์จะเปลี่ยนแปลง และกลับกลายหายไปเป็นชาติที่ต่ำทราม ไม่ปรารถนาจะกลายมาเป็นตัวเราเข้าแล้วแก้ไม่ตกความสูงศักดิ์ ความต่ำทราม ความสุขทุกขั้นจนถึง บรมสุข และความทุกข์จนเข้าขั้น มหันตทุกข์เหล่านี้ มีได้กับทุกคนตลอดสัตว์ ถ้าตนเองทำให้มี อย่าเข้าใจว่ามีได้เฉพาะผู้กำลังเสวยอยู่เท่านั้น โดยผู้อื่นไม่มี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติกลาง แต่กลับกลายมาเป็นสมบัติจำเพาะของผู้ผลิตผู้ทำเองได้ ท่านจึงสอนไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน เมื่อเห็นเขาตกทุกข์หรือกำลังจน จนน่าทุเรศ เราอาจมีเวลาเป็นเช่นนั้นหรือยิ่งกว่านั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระเข้าจริงๆ ไม่มีใครมีอำนาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมดีกรรมชั่วเรามีทางสร้างได้เช่นเดียวกับผู้อื่น จึงมีทางเป็นได้เช่นเดียวกับผู้อื่น และผู้อื่นก็มีทางเป็นได้เช่นเดียวกับที่เราเคยเป็น..."

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต





ถ้ากิเลสเกิดเมื่อไหร่ เราไล่มันออกจากจิตใจ
ทันทีได้ก็น่าภูมิใจ แสดงว่าเรามีความละอาย
ต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาปคอยป้องกัน
อันตรายได้พอสมควร แต่ในขณะเดียวกัน
เราต้องระวังไม่ให้เกิดวิภวตัณหาคือความ
ไม่อยากมีไม่อยากเป็น เป็นแรงผลักดันการ
ละกิเลส ถ้าดี ก่อนจะปล่อยวางกิเลสให้ตั้งสติ
สักครู่หนึ่งว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
นี่แค่ของทิ้ง ความคิดว่าเราเป็นผู้มีกิเลส
อยากเป็นคนไม่มีกิเลส คือหลุมพรางของ
นักปฏิบัติ ถ้าไม่เห็นกิเลสเป็นของเรา ไม่ใช่ว่า
เราจะประมาทนะ เหมือนขี้ฝุ่น เราปัดกวาด
ขี้ฝุ่นอยู่ทุกวันโดยที่ไม่เชื่อว่าเป็นของบ้านเรา
โดยไม่เชื่อว่าบ้านไม่ดีเพราะมีขี้ฝุ่น มันเป็น
ของธรรมดา แต่ผู้รักความสะอาดต้องจัดการ ...

พระอาจารย์ชยสาโร






#พระพุทธเจ้าจึงไม่ให้ประมาท
#อย่าประมาทว่าเรามีศีลดีแล้ว #เรามีข้อวัตรดีแล้ว
#อย่าประมาทว่าเรามีสมาธิดีแล้ว
#อย่าประมาทว่าเราอยู่ในที่สงบสงัดแล้ว
#อย่าประมาทว่าเราได้เนกขัมมสุขแล้ว
#พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้นิ่งนอนใจแม้เนกขัมมสุข

เนกขัมมสุขก็คือความสุขที่ไม่เจือด้วยกาม
ความสุขชนิดนี้จะมีอยู่โดยยั่งยืนในพระอนาคามี
พระอนาคามีนั้นเป็นผู้ตัดกามราคะขาดไปจากใจแล้ว
ฉะนั้นท่านจึงมีความสุขที่ไม่เจือด้วยกามโดยสิ้นเชิง
แม้กระนั้นพระพุทธเจ้าก็แนะไม่ให้ประมาท
ไม่ให้ประมาทในเนกขัมมสุข
ไม่ให้ประมาทในข้อศีลในข้อวัตร ในที่สงบสงัด

มีภิกษุกลุ่มหนึ่งท่านมีความคิดว่า
ท่านมีศีลดีแล้ว มีสมาธิดีแล้ว
อยู่ในที่สงบสงัด มีเนกขัมมสุข
มีความรู้สึกว่าตนเองจะบรรลุอรหัตตมรรคอรหัตตผลเมื่อไรวันใด ก็สามารถจะบรรลุได้

พระพุทธเจ้าทรงทราบ
จึงเสด็จมาสอบถามภิกษุเหล่านั้น
ภิกษุเหล่านั้นก็ยอมรับว่า ท่านถือว่าท่านมีศีลสมบูรณ์
มีข้อวัตร มีธุดงควัตร อยู่ในที่สงบสงัด
บางรูปก็ถือว่าตนเองมีเนกขัมมสุข เป็นอนาคามี
มีความคิดว่าตนเองจะบรรลุเป็นพระอรหันต์วันใดก็บรรลุได้

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าไม่ให้ประมาท
ชีวิตที่ยังเกิดแม้เพียงชาติเดียว
อย่างพระอนาคามีแม้ท่านสิ้นชีวิตไป ท่านจะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิ
มีอบายภูมิ ๔ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖
อนาคามีไม่กลับมาเกิดในมนุษย์อีก เทวดาอีก
ไปสู่พรหมโลกเท่านั้น
ถ้าพระอนาคามีที่มีอินทรีย์ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งแก่กล้าก็ไปสู่สุทธาวาสภูมิ
แล้วย่อมเป็นพระอรหันต์ในภพนั้น

แม้กระนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ประมาท
เพราะขึ้นชื่อว่าภพ
แม้จะเกิดในภพใดก็ตามย่อมจะมีทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น
จะเป็นภพน้อยภพใหญ่ จะเป็นเทวดาเป็นพรหมก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์

เหมือนอุจจาระนั้นแม้จะก้อนเล็กน้อย มันก็มีกลิ่นเหม็น
แม้จะเกิดจากอาหารดีประณีตอย่างไร
มันก็ยังเป็นของปฏิกูล
เพราะฉะนั้น #ภพชาตินั้นจะเป็นภพชาติใดก็ตาม
#เป็นเทวดา #เป็นมนุษย์ #เป็นพรหมก็ตาม #มันก็ไม่พ้นทุกข์ ก็ยังมีทุกข์
#ขึ้นชื่อว่ามีสังขารแล้วก็ต้องเป็นทุกข์

จริงอยู่พรหมนั้นไม่มีความยินดีในกาม
เขาไม่มีทุกข์ในกามแบบนี้
แต่เขาก็ยังมีรูปมีนามที่ยังเกิดดับ เป็นทุกข์ในตัวของมันอยู่
คือรูปนามมันเกิดมันดับ มันก็เป็นความทุกข์ในสภาพของรูปนาม
แต่ว่าเขาไม่มีทุกข์ในลักษณะที่ปวดเจ็บร่างกาย ไม่สบายกาย
ไม่มีอย่างนี้

แต่ถึงไม่มีอย่างนี้มันก็เป็นไประยะหนึ่ง ชั่วอายุขัย
เมื่อหมดอายุขัยก็ต้องตาย
ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา
ก็มีกิเลสตามเดิมถ้าหากว่าเป็นปุถุชน
ถ้าเป็นอนาคามีนั้นก็ไม่กลับมาแล้ว
ถ้าเป็นปุถุชนไปเกิดในพรหมโลก หมดอายุขัยก็ต้องมาเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา
ก็มีกิเลสตามเดิม ราคะโทสะโมหะก็ยังมีได้
แล้วก็ย่อมพลาดในการทำบาป
อำนาจของความโลภความโกรธความหลง ทำบาป
ก็ต้องลงไปสู่อบาย
ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอีก

#ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าภพนั้นย่อมเป็นทุกข์
#พระพุทธเจ้าจึงสอนไม่ให้ประมาท
#ให้เร่งขวนขวายในการที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์
#ที่สุดแห่งทุกข์ก็คือสิ้นทุกข์ดับทุกข์ได้
#เราต้องอาศัยการประพฤติปฏิบัติธรรม

#ในการปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้ทำที่ไหน
#แต่กระทำอยู่ที่กายใจของตนเอง

ธรรมบรรยาย พิสูจน์กันที่ผัสสะ
(ชุด ความเป็นไปแห่งทุกข์และความดับทุกข์)
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา







เรื่องการฝึกตน มีธรรมะข้อหนึ่งที่ปรากฏ
ในมงคลสูตร และมีคำที่ปรากฏใน
พระไตรปิฎกหลายที่ ที่คนมักจะมองข้าม
ในภาษาอังกฤษจะมองข้ามมาก เพราะเขา
แปลแบบกว้าง ๆ อ่านแล้วจะข้ามไป
คำนั้นก็คือ “อารติ” ตรงข้ามกับคำว่า“รติ”
ซึ่งแปลว่าเพลิน มีความสุข ส่วนมากเรามักใช้
ในความหมายที่ไม่ดี เพลินอยู่ในกาม
เพลินอยู่ในรูปเสียงกลิ่น ท่านจะใช้คำว่า “รติ”
“อารติ” คือไม่เพลิน ไม่เพลินในสิ่งที่เป็นอกุศล
ก็เป็นสิ่งที่ดีไป แต่ในความหมายอีกนัยหนึ่ง
ที่ว่าคนมักจะมองข้ามคือ พระพุทธองค์ทรง
กล่าวถึงอานิสงส์ของพรหมวิหาร ๔ ข้อ
คือบุญกุศลที่เราควรจะพัฒนาในจิตใจ
ความเมตตา เมตตาธรรมก็เพื่อป้องกัน
ความโกรธ ความกรุณา เราพัฒนา เราฝึกตน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความพยาบาท หรือการ
ปองร้ายอยู่ในใจ คือพยายามย้ำคำว่า
“ป้องกัน” ไม่ใช่ว่าโกรธแล้วจะแก้ยังไง
โกรธแล้วก็แผ่เมตตา ท่านจะสอนอย่างนั้น
แต่ที่จริงมันสายเสียแล้ว มันต้องเจริญเมตตา
ภาวนา เพื่อป้องกันไม่ให้โกรธตั้งแต่ต้น
กรุณาคือฝึกให้มีความยินดี ความปรารถนา
ความต้องการ ให้สัตว์ทั้งหลายได้พ้นจาก
ความทุกข์กายทุกข์ใจ คิดอย่างนี้บ่อย ๆ แล้ว
ความปองร้ายจะเกิดขึ้นได้อย่างไร โอกาสจะ
เกิดมีน้อย ส่วนมุทิตาป้องกันอะไร ชนะอะไร
บทบาทความสำคัญของมุทิตา ความพลอย
ยินดีในความสุขความเจริญของคนอื่น ในสิ่งที่
ถูกต้องดีงาม เพื่อป้องกันกิเลสตัวไหน
พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสว่า เพื่อป้องกันหรือ
เพื่อระงับ อารติ เราอาจจะนึกว่าพระพุทธองค์
จะทรงตรัสว่าเพื่อป้องกันเพื่อระงับความอิจฉา
แต่ไม่ใช่ ในพระไตรปิฎกพระพุทธองค์
จะทรงใช้คำว่า “อารติ” เกือบทุกครั้ง

พระพรหมพัชรญาณมุนี
พระอาจารย์ชยสาโร
บ้านบุญ วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๘





กรรมบางกรณี มันให้ผลช้า
แต่ให้ผลแน่นอน ไม่ผิดฝาผิดตัว

ผลของกรรม ถูกบันทึกตั้งแต่เราเริ่มกระทำความชั่ว

สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับกรรมเช่นนั้น เที่ยงตรง แน่นอน ให้ผลช้ายังไง ก็ให้ผลแน่นอน

(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)





#ทาน_คือเครื่องแสดงน้ำใจของมนุษย์

ผู้มีจิตใจสูง มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์
และสัตว์ด้วยการให้ การเสียสละ แบ่งปัน
มากน้อยตามกำลังวัตถุเครื่องสงเคราะห์
ที่มีอยู่ จะเป็นวัตถุทาน ธรรมทาน หรือวิทยาทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น โดยไม่หวัง
สิ่งตอบแทนใดๆ นอกจากกุศล คือความดี
ที่ได้จากทานนั้น

#ศีล_คือพืชแห่งความดีอันยอดเยี่ยม

ที่ควรมีประจำชาติมนุษย์ ไม่ปล่อยให้สูญ
หายไป แม้โลกเจริญด้วยวัตถุจนกองสูง
กว่าพระอาทิตย์ แต่ความรุ่มร้อนแผดเผา
จะทวีคูณยิ่งกว่าพระอาทิตย์ ถ้ามัวคิดว่า
วัตถุมีค่ามากกว่าศีลธรรม

#ภาวนา_วิธีภาวนาก็คือ

วิธีสังเกตตัวเอง สังเกต จิตที่มีนิสัยหลุก
หลิก ไม่อยู่เป็นปกติสุข ด้วยมีสติระลึกรู้
ความเคลื่อนไหวของจิตโดยมีธรรมบทใด
บทหนึ่งเป็นคำบริกรรมเพื่อ เป็นยารักษาจิต
ให้ทรงตัวอยู่ได้ ด้วยความสงบสุข ในขณะภาวนา

#จุดที่ยอดเยี่ยมของโลกคือ_ใจ

ควรบำรุงรักษาด้วยดี ได้ใจแล้ว...
คือได้ธรรม เห็นใจแล้วคือเห็นตน ถึง
ใจแล้ว.. คือ.. ถึง"นิพพาน"
---------------------------
#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







"...เราทั้งหลายต่างเกิดมาด้วยวาสนา มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภูมิดังที่ทราบอยู่แก่ใจ อย่าลืมตัวลืมวาสนา โดยลืมสร้างคุณงามความดีเสริมต่อภพชาติของเราที่เคยเป็นมนุษย์จะเปลี่ยนแปลง และกลับกลายหายไปเป็นชาติที่ต่ำทราม ไม่ปรารถนาจะกลายมาเป็นตัวเราเข้าแล้วแก้ไม่ตกความสูงศักดิ์ ความต่ำทราม ความสุขทุกขั้นจนถึง บรมสุข และความทุกข์จนเข้าขั้น มหันตทุกข์เหล่านี้ มีได้กับทุกคนตลอดสัตว์ ถ้าตนเองทำให้มี อย่าเข้าใจว่ามีได้เฉพาะผู้กำลังเสวยอยู่เท่านั้น โดยผู้อื่นไม่มี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติกลาง แต่กลับกลายมาเป็นสมบัติจำเพาะของผู้ผลิตผู้ทำเองได้ ท่านจึงสอนไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน เมื่อเห็นเขาตกทุกข์หรือกำลังจน จนน่าทุเรศ เราอาจมีเวลาเป็นเช่นนั้นหรือยิ่งกว่านั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระเข้าจริงๆ ไม่มีใครมีอำนาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมดีกรรมชั่วเรามีทางสร้างได้เช่นเดียวกับผู้อื่น จึงมีทางเป็นได้เช่นเดียวกับผู้อื่น และผู้อื่นก็มีทางเป็นได้เช่นเดียวกับที่เราเคยเป็น..."

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต





“#อย่าอยู่กับตราบาป”

คนเรานั้น ไม่มีหรอกที่จะไม่เคยทำผิดพลาด หลวงปู่ดู่ท่านยังพูดว่า “คนเราเป็นอยู่ด้วยบาปทั้งนั้น ขนาดว่าเดินไปเดินมาเหยียบมดเหยียบแมลงตายก็บาปแล้ว” แม้แต่อยู่เฉยๆ นั่งคิดปรุงให้จิตเศร้าหมอง บาปก็เกิดแล้ว (ทางธรรมท่านนิยมใช้คำว่าอกุศล เพราะให้ความหมายชัดกว่าคำว่าบาป) ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะบาปน้อยที่สุด

บาปกรรมในอดีต เป็นสิ่งให้เราเรียนรู้และพึงสำรวมระวังมิให้เกิดอีก แต่บาปกรรมในอดีตมิใช่สิ่งที่เราจะมายึดฝังแน่นเป็นตราบาปทำร้ายจิตใจตนเองให้บอบช้ำจมอยู่กับทุกข์อย่างไม่รู้จบ

หลวงปู่สอนวิธีลดความทุกข์ที่ไม่จำเป็นด้วยการ “หมั่นดูจิต รักษาจิต” เวลาเผลอไปจมอยู่กับความผิดในอดีตอย่างที่เคยคุ้นชิน ก็ให้พยายามมีสติดูจิต รู้จิตโดยเร็ว แล้วใช้ปัญญาอบรมจิต สอนจิต เพื่อชำระความเศร้าหมองออกจากใจเรา กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ และมีความปลอดโปร่งโล่งใจให้ได้โดยเร็ว เพราะความเศร้าหมองขุ่นมัว ถ้าครอบงำจิตนานเท่าใด สุขภาพจิตก็เสียไปมากเท่านั้น

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
พระผู้จุดประทีปในดวงใจ






"เรื่องของปาก ใครจะพูดจะทำอะไร มันก็กรรมของเขา ในครั้งพุทธกาล ก็มีคนนินทาพระพุทธเจ้า มันก็กรรมของเขาแหละ
เราไม่ไปทุกข์กับมัน มันก็ไม่ทุกข์หรอก เรื่องของเรา คือรักษาใจ รักษาความดี"

หลวงปู่เพียร วิริโย
วัดป่าหนองกอง จ.อุดรธานี





#การภาวนามีอานิสงส์มากกว่าบุญทั้งหลาย

เราไปเทศน์ที่ไหนไม่พ้นที่จะพูดถึงเรื่องการภาวนา ถึงจะไม่รู้ไม่เห็นอะไรก็ตาม ผลแห่งการภาวนาของเรามีผลมากเป็นอันดับหนึ่ง ทาน ศีลอะไรเป็นอันดับที่สอง

อันดับที่หนึ่งก็คือการภาวนา ยิ่งรู้ยิ่งเห็นแล้วยิ่งปลูกศรัทธาความเชื่อมั่นในผลของตนที่ทำขึ้นมาเรื่อย ๆ ทีนี้ก็หนุนทาน หนุนศีล หนุนความดีทุกอย่าง แล้วหิริโอตตัปปะความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมทั้งหลายมันจะรู้เข้ามา อันใดที่ควรกลัวมันจะปัดปุ๊บ ๆ เลยในหัวใจนั่นแหละ

อย่างพระโสดาท่าน เพียงท่านสำเร็จโสดา นั่นคือเข้าสู่ความจริงแล้ว เชื่อบาปเชื่อบุญเชื่อกรรมแล้วนั่น ฝังแล้ว เมื่อฝังแล้วท่านจึงมีธรรมประจำใจเป็นนิสัยขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
เพราะฉะนั้นพระโสดาจึงไม่มีการรับศีล เป็นสมุจเฉทวิรัติโดยอัตโนมัติไปเลย คือหิริโอตตัปปะสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมไปในนั้นเสร็จเลย เช่นรับศีล 5 ศีล 8 ศีลอะไรนี้ หากว่าอยู่กับหมู่กับเพื่อนท่านก็นำบรรดาประชาชนรับเท่านั้น

ผู้ที่เป็นพระโสดานั้นท่านจะไม่มีเจตนาว่าตั้งใจจะรับศีล เพราะศีลเราด่างพร้อยหรือขาดทะลุ ไม่มี เป็นแต่เพียงเป็นผู้นำ ๆ นี่เรียกสมุจเฉทวิรัติของพระอริยบุคคล สมุจเฉทวิรัติของปุถุชนนี้ตั้งความงดเว้นไว้ตลอดวันตาย นี้เรียกว่าวิรัติตลอดวันตายเลย

ส่วนพระอริยบุคคล เช่น ขั้นพระโสดาขึ้นไปนี้จะเป็นสมุจเฉทวิรัติโดยอัตโนมัติตลอดวันตายเหมือนกัน ไม่ได้ตั้งท่าตั้งทาง เรื่องหิริโอตตัปปะสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมทั้งหลายนี้เป็นขึ้นมาเอง ๆ

นี่ละออกจากภาวนา ออกจากการได้ยินได้ฟัง รู้เห็นธรรมเป็นความจริงแล้วปลูกขึ้นมาทุกอย่างขึ้นชื่อว่าความจริง ความจอมปลอมปัดออก ๆ ท่านเป็นอย่างนั้น

ไปที่ไหนเราก็ได้เทศน์เสมอเรื่องภาวนา เพราะเป็นหลักสำคัญมาก มันจะไม่เป็นก็ตาม การภาวนาของเราก็มีผลมากตลอดอยู่แล้วนี่อันหนึ่ง แล้วยิ่งจะได้รู้สิ่งนั้นเห็นนี้ยิ่งจะแตกกระจัดกระจายออกไป ฝังลึกลงโดยลำดับ

เรื่องเชื่อบุญเชื่อกรรมไม่ต้องบอก เป็นขึ้นมาเอง แล้วกระจายออกไปความเชื่อ กระจายกว้างขวางลึกซึ้งไปเรื่อย ๆ นี่เกิดขึ้นจากการภาวนา การที่เราได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์นี่ก็เป็นบทหนึ่ง แต่สู้บทภาวนาที่ประจักษ์ขึ้นในเจ้าของไม่ได้จากครูบาอาจารย์สอนแล้วทำอย่างนั้น ๆ อันนี้จะเป็นที่แน่ใจตัวเองได้โดยลำดับ จึงอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้ภาวนา

ที่สรุปลงมานี้คือจากการภาวนานะ การภาวนาจึงพิสดารมากทีเดียว สิ่งไม่เคยรู้เคยเห็นไม่เคยคาดเคยคิด เป็นขึ้นมาได้ไม่สงสัย ก็กิเลสอันเดียวเท่านั้นปิดไว้ พอเปิดนี้จ้า มันก็เห็น เปิดมากเปิดน้อยเห็น เปิดจ้าหมด เห็นกระจ่างเต็มหัวใจเลย เป็นอย่างนั้นนะ ต่างกัน จึงอยากให้ภาวนา ไปที่ไหนทุกวันนี้มักจะเทศน์ทางภาวนา เพราะความสงสาร อยากให้ตั้งหลักตั้งเกณฑ์ไว้ในจุดภาวนา ถึงจะไม่ได้ความแปลกประหลาดอัศจรรย์

การภาวนานี้มีอานิสงส์มากยิ่งกว่าการสร้างบุญทั้งหลายนะ จะได้สั่งสมบุญกุศลตลอด จะรู้เห็นอะไรไม่เห็นอะไรก็ตาม ส่วนบุญกุศลเกิดขึ้นจากการภาวนา เป็นรากฐานสำคัญและมีอานิสงส์มากด้วย จึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจทำภาวนา บำรุงลำต้นให้ดี กิ่งก้านสาขาดอกใบจะแตกกระจายออกไป

การทำบุญให้ทาน รักษาศีลนี้ เป็นกิ่งของการภาวนา ถ้าการภาวนามีหลักมีเกณฑ์ดีเท่าไร เรื่องการทำบุญให้ทานภายนอกนั้นจะมีกำลังดึงดูดกันเอง มีกำลังไปเอง เพราะอำนาจแห่งการภาวนา ความเชื่อมั่นในจิตของตัวเองจากภาวนานี้เป็นเครื่องหนุนให้ทำความดีหนักเข้า ๆ หนักเข้าในเรื่องบุญเรื่องกรรม ทุกอย่างหนักเข้าไป การภาวนาจึงเป็นของสำคัญ

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี






โลกนี้และชีวิตนี้ไม่มีอะไร
เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้มานานแล้ว
เราสุข..เราทุกข์อย่างนี้
มาหลายภพ..หลายชาติแล้ว
อย่าโศกเศร้าเสียใจไปนักเลย

ดีใจให้พอประมาณ
ทุกข์ใจให้พอประมาณ
ไม่มีสิ่งไหนที่จะตั้งอยู่ตลอดไป
ทุกๆ ชีวิตต้องเดินทางสู่ที่ที่จากมาและเริ่มต้นใหม่ทั้งนั้น

น้อมนำคำสอนหลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป





#กิเลสมันหลอกต่างๆ_หลอกเจ้าของไปเรื่อยๆ

แต่งงานแล้วคงดีนะก็เลยแต่งงาน พอมีครอบครัวแล้วก็คิดว่า ต้องหาเงินสร้างครอบครัว ก็เหนื่อยหาเงินอีก อยู่ไปก็คิดว่า ถ้าเรามีลูกซะก็คงจะดี อ้าว ! มีลูกออกมา คิดเอาว่าเราอุ้มลูกเอาไว้ ให้พ่อออกไปทำงานครอบครัวคงมีความสุขดี ลูกโตหน่อยให้เรียนคงดี ไปหาเงินให้เรียนอีก โตอีกหน่อยเราคงจะสบาย ส่งให้เขาเรียนต่ออีกสักหน่อย ก็หาเงินส่งอีก ถ้าเข้าวิทยาลัยแล้วก็สบาย หาอีก...ค่าเทอมหมดไปเป็นล้าน...หลอกไปยังงั้นแหละ หลอกไปเรื่อยนะ กิเลส เออออ ! มีหลานคงสบายเลี้ยงหลานอีก ตายไปเปล่าๆ ไม่สิ้นสุด กิเลสมันหลอกให้วนอยู่ในวัฏฏะสงสาร แล้วเมื่อไหร่...เราจะภาวนากัน นี่เป็นเวลาที่เราจะแก้ตัว ทำสิ่งผิดให้ถูก ที่ดีให้ดีขึ้น

โอวาทธรรม
#หลวงปู่คำบ่อ_ฐิตปัญโญ
วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร






ทานมัย

# บุญ ๓ ประการ #

..... พระพุทธเจ้ากล่าวว่าเหตุที่เป็นบุญ ก็คือ

๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน บรรดาท่านพุทธบริษัททำแล้วทั้ง ๒ ประการ คือถวายทานกับพระสงฆ์ด้วยอาหารและถวายทานกับพระสงฆ์ด้วยผ้าผ่อนท่อนสไบและปัจจัยเป็นต้น
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล บรรดาท่านพุทธบริษัทก็สามารถ สมาทานศีลแล้วก็
๓. ภาวนามัย ผลสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา นั่นคือบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้าตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนาด้วยความตั้งใจ ด้วยความเคารพอย่างนี้เรียกว่า ภาวนามัยทั้งหมดทั้ง ๓ ประการนี้ เมื่อพร้อมกันแล้วเสร็จ เป็นปัจจัยให้เข้าถึงสิ้นพระนิพพาน .....

โดย พระเดช พระคุณ
หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )
วัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานี

" ธรรมปฏิบัติ "

"ทางสายพระอริยบุคคล"
๑๑ กันยายน ๒๕๖๘






#ความมีอัตภาพนี่_มันเป็นทรัพย์ภายนอก

เงิน-ทอง แก้วแหวน บ้านช่องเรือนชานต่าง ๆ
ที่หามาได้ ก็เป็นทรัพย์ภายนอก
ติดตามเราไปไม่ได้ดอก เมื่อตายแล้วก็ทิ้งไว้
กายอันนี้เมื่อตายแล้ว...
ก็นอนทับถมแผ่นดินอยู่ ไม่มี ผู้ใดเก็บกระดูก
ก็กระจายไป
กระดูกหัว ก็ไปอยู่ที่อื่น
กระดูกแขน ก็ไปอยู่ที่อื่น
กระดูกขา ก็ไปอยู่ที่อื่น
กระดูกสันหลัง ก็ไปอยู่ที่อื่น
กระจายไป เท่านั้นแหละ...

เรามันกลัวตัณหาหลาย มันเชื่อตัณหาหลาย คนหนึ่ง ๆ มันมีสองศาสนา
ศาสนาหนึ่ง มันตัณหาสั่งสอน
ศาสนาหนึ่ง เป็นศาสนาของพระพุทธเจ้า
เรามันยึดถือตัณหานี่ ชอบกันนัก หมอนี่!!
มันก็บังคับเอา เราก็ยึดถือหมอนี่!
มันสอนให้เราเอา ให้ตีเอา ลักเอา ฉกชิง
วิ่งราวเอา มันสอนอย่างนี้...ตัณหาน่ะ

พระพุทธเจ้าว่า...
ให้ทำมาหากินโดยชอบธรรม ให้เป็นศีล
เป็นธรรม อย่าเบียดเบียนกัน มันไม่อยากฟัง มันเกลียด ตัณหานี่!
มันกลัวพระยามัจจุราช พระยามารก็ผู้ช่วยมัน
มันไม่อยากให้เราไปฟังอื่น
ให้ฟังมัน มันผูกใจเราไว้ ครั้น...จะไปดำเนิน
ตามทางของพระพุทธเจ้า มันไม่พอใจ
พอจะรับศีล รับทำไม? มันว่า อย่า...ไปรับมัน
อย่า...ไปทำมัน นี่! มันก็ถูกใจมันเท่านั้นแหละ
มันสอนนะ มันชอบอย่างนั้น...

ส่วนธรรมะของพระพุทธเจ้า
ครั้นอุตส่าห์ทำไป ปฏิบัติดีแล้ว...เราก็มีสุคติ
โลกสวรรค์เป็นที่ไป ทำความเพียรภาวนา
หนัก ๆ เข้า ก็ได้บรรลุพระนิพพาน กำจัดทุกข์ อันนี้ ไม่อยากไป ไม่อยากฟัง ไม่เอา ไม่ชอบ
เพราะฉะนั้น ต้องระวังตัณหา กิเลส
ที่มันชักจูงใจเรา ไม่ให้ทำความดี อย่าไปเชื่อ
มัน

พยายาม...
ฝึกหัดขัดเกลาจิตใจ ให้อยู่...ในศีล ในธรรม
พระพุทธเจ้าว่า...
ให้เป็นผู้หมั่นขยันในทางที่ชอบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น แม่นในหน้าที่ของตน เป็นความบริสุทธิ์ ผู้ขยันหมั่นเพียรนั่นแหละ...
จะเป็นเจ้าของทรัพย์ เป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์

มิใช่ว่า จะรักษาศีลภาวนาแล้วเฮ็ดหยังบ่ได้ มันบ่แม่น นั่น! มันความเห็นผิดไป
พระพุทธเจ้าว่า...ให้ขยันหมั่นเพียร
อะไรที่ชอบธรรม ก็ทำได้
กลางคืนจนแจ้ง ก็ทำไป
กลางวัน ก็ทำได้หมดตลอดวัน
ทำไร่ ทำสวน ทำนา ให้ทำสุจริต
ไม่เบียดเบียนใคร เท่านั้น.

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ขาว_อนาลโย





#ข้อคิดสำหรับผู้ฝึกหัดสมาธิ

"ผู้ฝึกหัดสมาธิย่อมได้ที่พึ่งของตน สมาธิเปรียบเหมือนเป้าหรือหลุมเพลาะ ปัญญาเปรียบเหมือนอาวุธ ทำสมาธิเปรียบเหมือนอัดดินเข้าในกระสุนหรือฝังตัวอยู่ในป้อม

ฉะนั้น สมาธินี้เป็นสิ่งสำคัญ และมีอานิสงส์มากทีเดียว

ศีล อันเป็นเบื้องต้นแห่งมรรค ก็ไม่ค่อยจะยากเท่าไรนัก

ปัญญา อันเป็นเบื้องปลายแห่งมรรคก็ไม่ค่อยจะยากเท่าไรนัก

ส่วนสมาธิอันเป็นท่ามกลางแห่งมรรคต้องพยามยามหน่อย เพราะเป็นการบังคับปรับปรุงกันในด้านจิตใจ จริงอยู่การทำสมาธินั้น เปรียบเหมือนปักเสาสะพานกลางแม่น้ำ ย่อมเป็นสิ่งลำบาก แต่เมื่อปักลงได้แล้วย่อมเป็นประโยชน์แก่ศีลและปัญญา

ศีลนั้นเหมือนปักเสาสะพานในฝั่งนี้ ปัญญาเหมือนปักเสาทอดสะพานข้างฝั่งโน้น แต่ถ้าเสากลาง คือ สมาธิ ท่านไม่ปักแล้ว ท่านจะทอดสะพานข้ามแม่น้ำ คือ โอฆะสงสาร ไปได้อย่างไร"

โอวาทธรรม
#ท่านพ่อลี_ธัมมธโร





"... ท่านพระอาจารย์มั่นท่านย้ำอยู่เสมอ
ว่า..ให้ใช้บทพุทโธเป็นบทบริกรรมสำหรับ
ผูกจิตก็ได้ เมื่อจิตสงบลงเป็นสมาธิแล้วให้
วางบทบริกรรมเสีย แล้วพิจารณาร่างกาย
ครั้งแรกให้พิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งที่เรา
สามารถที่เราจะเพ่งพิจารณาได้อย่าง
สะดวกในอาการ ๓๒

เมื่อพิจารณาจนเกิดความชัดเจนกลับไป
กลับมาหรือที่เรียกว่าอนุโลมปฏิโลมแล้ว
เมื่อหายสงสัยในจุดที่พิจารณานั้นแล้ว จึง
ค่อยเปลี่ยนเป็นจุดอื่นต่อไป อย่าพิจารณา
เป็นวงกว้างทั้งร่างกาย เพราะปัญญายังไม่
แก่กล้า

ถ้าพิจารณาพร้อมกันทีเดียวทั้งร่างกาย
ความชัดเจนจะไม่ปรากฏ ต้องค่อยเป็น
ค่อยไป เมื่อจิตมีความชำนาญเพียงพอแล้ว
คำบริกรรมพุทโธก็ไม่จำเป็น เพียงกำหนด
จิตก็จะสงบเข้าสู่สมาธิได้ทันที

ผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาถ้าส่งจิตออกไป
ภายนอกจากร่างกายแล้ว เป็นอันผิดทาง
มรรคภาวนา แนวการปฏิบัติไม่พ้นไปจาก
กายจึงเป็นสนามรบ กายจึงเป็นยุทธภูมิที่
ปัญญาจะต้องค้น เพื่อทำลายกิเลสและ
กองทุกข์ซึ่งจิตของเราทำเป็นธนาคารเก็บ
สะสมไว้ภายใน หอบไว้ หาบไว้
หามไว้ หวงไว้ จนนับภพนับชาติไม่ได้

สัตว์ทั้งหลายไม่ว่าชนิดใดในสังสารวัฏนี้
ล้วนแต่ติดอยู่กับกายนี้ทั้งสิ้น ทำบุญ
ทำบาปก็เพราะกายอันนี้ มีความรัก มีความ
ชัง มีความหวงมีความแหน ก็เพราะกายอัน
นี้ เราสร้างทรัพย์ขึ้นมาก็เพราะกายอันนี้

เราประพฤติศีลประพฤติธรรมก็เพราะ
กายอันนี้ เราประพฤติผิดศีล เราประพฤติ
ผิดธรรมก็เพราะกายอันนี้

ในพระพุทธศาสนา พระอุปัชฌาย์
ก่อนที่จะให้ผ้ากาสายะแก่กุลบุตรผู้เข้ามา
ขอบรรพชาอุปสมบท ก็สอนให้พิจารณา
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
ร่างกายที่เห็นได้โดยง่าย ...“
_______________________
#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
(พ.ศ.๒๔๓๐-๒๕๒๘)
#จากหนังสือบูรพาจารย์






#พุทโธ_ดูจิต_วิปัสสนา

"ให้นึกพุทโธ คำเดียวหลับตางับปากเสีย
ให้ระลึกอยู่...ในใจ พุทโธ คือความรู้
ความรู้ อยู่...ตรงไหน ตั้งสติไว้ตรงนั้น...
ให้เรานึกพุทโธ พุทโธ
บริกรรมเพ่งเล็ง ดู...จิตของเราในพุทโธนั้น

เราไม่อยากเป็นกรรมเป็นเวร
เราก็ต้องตัด ตัดอารมณ์น่ะล่ะ
ให้ อยู่...ในที่รู้
ให้กำหนด ดู...ความรู้ อยู่...ตรงไหนแล้ว
เราก็เพ่ง อยู่ตรงนั้น...
สิ่งทั้งหลายทั้งหมด เกิดจากดวงใจ ของเรา มโนความน้อมนึก
มันเกิดตรงไหน ก็ดับตรงนั้น...
ไม่รู้จักที่เกิด ไปดับที่อื่น มันก็ไม่ดับซี่!

อุปมาเหมือนดับไฟฟ้า ดับดวงนี้...
ดวงนั้น ก็ยังอยู่...
ดับดวง นั้น...ดวงอื่น ยังอยู่...
คนผู้ฉลาดดับที่หม้อแบตเตอรี่
มันก็มืดม๊ดทั่วพระนคร
อันนี้! ไปดับจิตดวงเดียว ก็หมด
ไม่ต้องไปดับตา ดับหู ดับจมูก ดับลิ้น
ดับกาย ดับใจ ดับที่ใจ ดวงเดียวแล้ว...
ดับม๊ด เพราะทั้งหมด...มันเกิดจากใจ

ให้ตั้งสติเพ่งตรง ผู้รู้...
เข้าถึงสมาธิ คือจิตตั้งมั่น มันก็ไม่หวั่นไม่ไหว
ในทุกขเวทนา ทั้งหลาย
เวทนา ก็สักแต่เวทนา
สัญญา ก็สักแต่ว่าสัญญา
สังขาร วิญญาณ ก็สักแต่ว่า
เป็นสังขาร วิญญาณ นึกถึง แต่ผู้รู้...
รู้เท่า...สังขาร รู้เท่า...วิญญาณ
เรื่องมันเป็น ยังงั้น

ท่านว่า...มันไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น...เป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์
สิ่งนั้น...ไม่ใช้ตัวตน

จิต ของเรา ถ้ามันเที่ยง
ไม่แปรผันโยกย้ายไปมา ก็พึงพาอาศัยได้
นี่! มันไม่เป็นยังงั้น
บอกให้มัน นิ่ง...มันก็ไม่นิ่ง
บอกให้ไปทางนี้ มันไปทางโน้น ยังงี้!
จึงพึ่งไม่ได้
เราจึงต้องมาพากันทำสมาธิ
ดูสิ่งเหล่านี้...เป็นคน หรืออะไร
ให้มารู้จักนะ รู้จักโม หัวใจตัวเรา
มันจึงจะรักษาได้ เราไม่เห็นนะ
ไม่เห็นโม แล้ว...หัวใจตัวเราก็รักษาไม่ได้

มันก็ทะเยอทะยานในรูปในเสียง
ในกลิ่นในรส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ทั้งหลาย
ต้องนั่ง พิจารณาดู...
ให้มันรู้มันเห็น ไม่ต้องไปหาที่ไหนนะ
ให้ ดูสิ่งที่มีอยู่...ในใจเรานี่หละ!
มันมืด หรือมันสว่าง นี่หละ! อัตตะโนนาโถ
เป็นที่พึ่งของตน

ให้รู้จักภาวนาพุทโธ ทำดวงจิตให้ผ่องใส
จะได้เป็นที่พึ่งของเรา ได้แน่นอน
ให้ทราบว่า ในโลกนี้ ไม่มี...แก่นสารอันใด
เกิดมาแล้ว...ก็ต้องตาย เอาอะไรไปไม่ได้
สักอย่าง
ที่จะเอาได้ ก็เป็นเรื่องของดวงจิต เท่านั้น

ฉะนั้น...จึงให้รู้จักทำจิต
คลายจากความชั่ว ความเศร้าหมอง
ทำจิตใจให้เป็นบุญ เป็นกุศล
เป็นจิตที่สงบผ่องใส เป็นสมาธิ
ให้รู้จักใช้ปัญญา พิจารณารูป-นาม
ให้เห็นตามความเป็นจริงของสังขาร

จนสามารถ ละ...วาง...
ตัณหาอุปทาน ทั้งหลายได้."

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ฝั้น_อาจาโร





#พึงระลึกรู้อยู่เสมอว่า

ต้นเหตุของความทุกข์ คือการประกอบกรรมชั่ว
ต้นเหตุของความสุข คือการประกอบกรรมดี การที่คิดว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว จัดเป็นความคิดอย่างมิจฉาทิฐิ ด้วยเหตุที่ยังไม่มีปัญญาสอดส่องรู้ถึงกฎแห่งกรรม อันเป็นกฎแห่งธรรมะ

ท่านทั้งหลายควรเริ่มต้นแก้ไขปัญหาชีวิตของตนเองด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้อง แล้วไม่ประมาทในการศึกษาอบรมเพิ่มพูนคุณธรรม เพื่อความเจริญก้าวหน้าสืบไป..

โอวาทธรรม
#สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ_สมเด็จพระสังฆราช_สกลมหาสังฆปริณายก






"..คำว่าสติย่อมถือเป็นธรรมสำคัญของความเพียรทุก ๆ ประโยค และคำว่าปัญญาก็ย่อมถือเป็นสำคัญในเวลาที่ควรใช้ตามกาลของตน เพราะปัญญาเป็นธรรมจำเป็นไปตามภูมิของธรรม ส่วนสติเป็นธรรมจำเป็นตลอดไปในอิริยาบถต่างๆ กาลใดที่ขาดสติ กาลนั้นเรียกว่าขาดความเพียร แม้กำลังเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่ก็สักแต่ว่าเท่านั้น แต่มิได้เรียกว่าเป็นความเพียรชอบ ดังนั้นท่านจึงสอนเน้นลงในความมีสติมากกว่าธรรมอื่น ๆ เพราะสติเป็นรากฐานสำคัญของความเพียรทุกประเภทและทุกประโยคที่ทำ จนกลายเป็นมหาสติขึ้นมาและผลิตปัญญาให้เป็นไปตาม ๆ กัน ภูมิต้นเพื่อความสงบต้องใช้สติให้มาก ภูมิต่อไปสติกับปัญญาควรเป็นธรรมควบคู่กันไปตลอดสาย.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระธรรมวิสุทธิมงคล
(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
วัดป่าบ้านตาด
จ.อุดรธานี
(พ.ศ.๒๔๕๖-๒๕๕๔)







#พระพุทธเจ้าให้นั่งพิจารณาดู

และให้เข้าวัดทุกวัน จะนั่งอยู่ก็ดี จะนอนอยู่ก็ดี กราบที่พึ่งของเราเสียก่อน
คือ กราบครั้งที่หนึ่ง "พุทโธ" นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา กราบครั้งที่สอง "ธัมโม" นึกถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งของเรา กราบครั้งที่สาม "สังโฆ" นึกถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา เข้าวัดพักนี้แหละ เอาใจของเรานึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแล้วมารวมว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ คำเดียว รักษากาย หลับตา งับปาก ลิ้นก็ไม่กระดุกกระดิก ระลึกพุทโธไว้ในใจนี่แหละ เข้าวัดกันตรงนี้ ให้เข้าวัด วัดอยู่ที่ตรงนี้ จะได้รู้จะได้เห็นความสุข มิใช่อื่นสุข นอกจากใจเราสงบแล้ว ไม่มีอื่นสุข..

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ฝั้น_อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม
จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)






"..พระพุทธเจ้าให้นั่งพิจารณาดู และให้เข้าวัดทุกวัน จะนั่งอยู่ก็ดี จะนอนอยู่ก็ดี กราบที่พึ่งของเราเสียก่อน คือกราบครั้งที่หนึ่ง "พุทโธ" นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา กราบครั้งที่สอง "ธัมโม" นึกถึงพระธรรมเป็นที่พึ่งของเรา กราบครั้งที่สาม "สังโฆ" นึกถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา เข้าวัดพักนี้แหละ เอาใจของเรานึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแล้วมารวมว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ คำเดียว รักษากาย หลับตา งับปาก ลิ้นก็ไม่กระดุกกระดิก ระลึกพุทโธไว้ในใจนี่แหละ เข้าวัดกันตรงนี้ ให้เข้าวัด วัดอยู่ที่ตรงนี้ จะได้รู้จะได้เห็นความสุข มิใช่อื่นสุข นอกจากใจเราสงบแล้ว ไม่มีอื่นสุข.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม
จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)






#เพลิน_ก็ดี
#โศก_ก็ดี

เพราะเงา ของจิต ที่แสดงออกเป็นเรื่อง
เป็นราว เรื่องนั้น...เรื่องนี้...
เรื่องอดีต เรื่องอนาคต ที่เคยผ่านมาแล้ว
ก็ดี ที่ยังไม่มาถึง ก็ดี ที่ไม่มี...ก็ดี

เราอยู่...
ด้วยความคิด ความปรุง
ความวาดภาพ ต่างๆ ของตัวเอง
เพลิน และโศกด้วยความคิดปรุง
ด้วยความวาดภาพ ของตัวเอง...
ทั้งนั้น ในวันเวลาหนึ่งๆ

ไม่มีเวลา ว่าง...
จากการวาดมโนภาพหลอกกวน ตัวเองเลย
ปราชญ์ท่านรู้ทัน...
กลมายาของขันธ์ ท่านจึงไม่หลง.

โอวาทธรรม
#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน






ใครก็ตามมีสติสัมปชัญญะ
ควบคุมความรู้สึกนึกคิด
ของตนเองอยู่ตลอดเวลา
ทำความรู้สึกให้สำนึกผิดชอบชั่วดี
อยู่ในจิตใจตลอดเวลา
ผู้นั้นได้ชื่อว่า มีพุทธะอยู่ในใจ

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา





มาร แปลว่า ผู้ฆ่า ผู้ทำลายล้าง มารข้างนอก
คือผู้มุ่งทำลายล้างข้างนอก มารข้างใน คือ
กิเลสในใจของตนเอง เป็นต้นว่าความรัก
ความชัง ความหลง ซึ่งบังใจเราไม่ให้เกิด
ปัญญาในเหตุผล เมื่อชนะมารในใจของตน
ได้แล้ว มารข้างนอกก็ทำอะไรไม่ได้
ความดีที่จะทำให้สำเร็จการชนะนั้น
ก็ต้องใช้ปัญญาค้นหา คือวิธีชนะที่จะไม่ต้อง
เบียดเบียนใคร เป็นความดีชั้นตรี
ถ้าเป็นการชนะชนิดเกื้อกูลเขาอีกด้วย
โดยเฉพาะทำให้เขาซึ่งเป็นคนไม่ดี เลิกละ
ความไม่ดีของเขา หรือกลับเป็นคนดี
ก็นับว่าเป็นความดีชั้นโท
ส่วนความดีชั้นเอก ก็คือความดีที่ชนะ
ความชั่วของตนเอง ...
...
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร





" ไม่ควรปล่อยให้วันคืนผ่านไปสูญเปล่า วัยย่อมเสื่อมไปทุกขณะ จงตรวจสอบตนด้วยตนเองว่า บัดนี้เราทำอะไรอยู่ "

" ไม่มีใครไม่พบทุกข์ หลักธรรมดา ที่จริงหลักธรรมะ คือ "หลักธรรมดา" แต่ว่าเราเข้าใจธรรมดาไหม ถ้าเราเข้าใจธรรมดา แสดงว่าเข้าใจธรรมะ ก็ธรรมะ มันเกิดจากสิ่งที่มันเกิดอยู่แล้ว"

พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ
วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช






คนเราย่อลง เพื่อกระโดดให้สูงขึ้น เหมือนน้ำในบ่อที่แห้งขอดลง ก็เพื่อรอฝนตกใหม่ น้ำฝนจะเต็มบ่อกว่าเดิม

โอวาทธรรม #พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่มหาศิลา สิริจันโท





"เราเกิดมาชาติหนึ่งชาติหนึ่ง เพียงอาศัยร่างกายนี้ไว้ดำรงชีพอยู่ ถ้าเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด ก็อาศัยความที่มีกายนี้ ให้เป็นพิเศษคือ อบรมกาย วาจา ใจของตน ให้มีทาน ศีล ภาวนา อบรมให้ประเสริฐยิ่งขึ้น คือใช้โอกาสนี้บำเพ็ญบุญให้เกิดมีขึ้น"

#พระราชวัชรปัทมคุณ
#หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร





"เรื่องของปาก ใครจะพูดจะทำอะไร มันก็กรรมของเขา ในครั้งพุทธกาล ก็มีคนนินทาพระพุทธเจ้า มันก็กรรมของเขาแหละ
เราไม่ไปทุกข์กับมัน มันก็ไม่ทุกข์หรอก เรื่องของเรา คือรักษาใจ รักษาความดี"

หลวงปู่เพียร วิริโย
วัดป่าหนองกอง จ.อุดรธานี





ขั่นมีพระข่อยบูชาติดโต ไปทางได๋เทวดาน้อยใหญ่ จะเข้ามาช่วยเหลือตลอด ขั่นอธิษฐานขอได้แล้วกะๆ เฮ็ดบุญให้เขานำ พระนี่มีเทวดาหลายเพิ้นๆวา ขอสร้างบารมีนำเลยพากันมา อุทิศบุญให้เขาบ่อยๆ แล้วสิสมหวัง พระมีฤทธิ์ย้อนพวกเทพเทวดาเขานับถือ เขารอเกิดนำพระศรีอาริย์ "

#ศรัทธาหลวงปู่ศิลา_สิริจันโท





“#ศีลห้าทำให้บริสุทธิ์..

#เมื่อสมบูรณ์แล้วตาในจึงจะเกิดขึ้น
ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย เราเป็นฆราวาส ห้าตัวนี้พอแล้ว..

#ไม่ต้องไปขอกับพระ #ให้สังวรณ์ระวัง...

สิ่งที่ทำผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องคำนึง นับแต่วันนี้ต่อไปจะสังวรณ์ระวังให้สะอาด ไม่มีใครช่วยเราได้เวลาเราจะตาย มีเราตัวคนเดียว ผัวก็ไม่ได้ เมียก็ไม่ได้ ลูกก็ไม่ได้

#ตนแลเป็นที่พึ่งของตน แต่พระพุทธเจ้าไม่บังคับใครนะ ของดีไม่ต้องบังคับ พระพุทธเจ้าสอนความจริงล้วน ๆ ไม่บังคับใครให้นับถือ ใครอยากดีก็เอา ใครชอบขี้เกียจพระพุทธองค์ก็ไม่ได้ว่า เอาเลย เดี๋ยวเจอเอง กุศลนี่บริสุทธิ์สมบูรณ์ ให้นึกไว้เป็นประจำ จะชะล้างจิตใจ จิตใจจะผ่องใสฉาบล้างอยู่ตลอด กรรมห้าเวรห้า เราเป็นผู้ชำระเอง ไม่ต้องไปเขียนนะเจ้ากรรมนายเวร เจ้าของเป็นผู้ทำเอง ไม่มีใครทำให้หรอก หยุดทำซะ แค่นี้ก็พอ”

#โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ทุย ฉันทกโร วัดป่าแสงอรุณ
(วัดป่าดานวิเวก) อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ.
.


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO