พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พุธ 10 ก.ย. 2025 5:05 am
เมื่อ “สติ” ของเราหนาแน่น ไม่ย่อหย่อน
“สมาธิ” ของเราก็แข็งขึ้น ใจก็เที่ยง
สติ จึงเป็นตัวเหตุ เป็นตัวอุปการีที่อนุเคราะห์
ส่งเสริมให้สมาธิของเรา เจริญขึ้น
สติ จึงเปรียบเหมือนกับ พ่อแม่ของเรา
เราจะต้องเลี้ยงดู ไว้เสมอ
สตินั้น ท่านเรียกว่า มาติกากุสลา
แปลว่า “แม่ของกุศล”
...
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
"..ผู้ที่มีคุณธรรมอย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรืออริยสาวกผู้ที่ไกลจากกิเลสเหล่านี้เป็นต้น ท่านจึงหลีกเร้นไปอยู่ในที่อันสงบสงัด ปราศจากสิ่งที่รบกวน เป็นอย่างนั้นเพราะสถานที่เหล่านั้นเป็นที่บำเพ็ญความสงบสงัดของใจท่านให้ได้รับความร่มเย็น
เพราะฉะนั้นอย่างเรานี้ก็เหมือนกันผู้ที่เข้ามาฟัง เข้ามาวัดเข้ามาวาฟังเทศน์ฟังธรรมจำศีลภาวนาอย่างนี้ ก็เป็นการปลดเปลื้องภาระอันภายนอกให้คลายออกไปได้เปราะหนึ่ง
เช่นมารักษาศีลอุโบสถอย่างนี้เป็นต้นก็ทิ้งภาระตั้งแต่เช้าจนกระทั่งค่ำ จนกระทั่งรุ่งสว่างก็ปลดเปลื้องภาระของร่างกายออกไปจากใจจากกายได้ชนิดหนึ่ง
แต่ทีนี้การเข้ามาปลดเปลื้องอย่างนี้ด้วยรักษาอุโบสถ แต่บางทีใจนั้นยังกังวลวุ่นวาย คิดอาลัยสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องใช้การประหัตประหารอย่าให้สิ่งเหล่านั้นมาบั่นทอน บั่นทอนความดีของเราอันนั้นที่ตั้งใจจะบำเพ็ญให้เกิดขึ้น คือไม่ได้อะไรก็ให้นึกถึง พุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดบทหนึ่ง อย่าให้สิ่งนั้นเข้ามากวนใจของเรา เมื่อรู้ตัวอย่างนั้นแล้ว ก็พยายามระลึกอยู่ตลอดเวลา ใจนั้นก็จะบังเกิดความสุข คือ เกิดความสงบของหัวใจนั่นเอง
อย่างนั้นจึงเรียกว่า "ศีลบริสุทธิ์" ไม่ด่างพร้อย ไม่เศร้าหมอง ถึงซึ่ง "ความบริสุทธิ์ของสมาธิ" ได้อย่างนั้น นั่นเรียกว่า "ผู้ที่อบรมถูกทาง" ถูกต้องเรียกว่าตามกายวาจาใจ
พร้อมด้วยศีลและก็เข้าถึงสมาธิ อย่างนี้เป็นต้น.."
โอวาทธรรม
พระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
(พ.ศ.๒๔๕๙-๒๕๔๗)
"ความเจ็บไข้มาถึง นี่เราจะนั่งร้องไห้อยู่ทำไม
เราก็พิจารณาว่ามันมาสอนให้เราฉลาด
ให้เราเข้มแข็ง ให้เรารู้จักความจริงว่าชีวิตมันเป็นอย่างนี้"
ท่านพุทธทาสภิกขุ
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิด
#การได้เกิดเป็นมนุษย์ถือว่าเป็นบุญลาภของชีวิต
#ได้สิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
#เราอาจจะรู้สึกว่าเป็นมนุษย์ไม่ยากอะไร
#แต่ที่จริงนั้นยาก
พระพุทธเจ้าได้ตรัสในเรื่องนี้ไว้ในอามกธัญญเปยยาล
ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัตว์ที่จะไม่รับที่ไร่ที่นาที่ดินนั้นมีน้อย
ส่วนมากก็จะรับที่ไร่ที่นาที่ดิน
สัตว์ที่จะประกอบทูตกรรมและการรับใช้นั้นมีมาก
สัตว์ที่จะไม่ประกอบทูตกรรมและการรับใช้มีน้อย
สัตว์ที่จะโกงด้วยตาชั่ง โกงด้วยของปลอม โกงด้วยเครื่องตวงวัดมีมาก
สัตว์ที่จะไม่โกงด้วยตาชั่ง ไม่โกงด้วยของปลอม ไม่โกงด้วยเครื่องตวงวัดมีน้อย
สัตว์ที่จะรับสินบน หรือการล่อลวง การทำของปลอมมีมาก
สัตว์ที่จะไม่รับสินบน ไม่ล่อลวง ไม่ทำของปลอมมีน้อย
สัตว์ที่มีการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิงวิ่งราว การปล้นการกรรโชกมีมาก
สัตว์ที่จะเว้นจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิงวิ่งราว การปล้นการจี้การกรรโชกมีน้อย
จริงไหมโยม
ยิ่งสมัยนี้ของปลอมเยอะ
รับสินบนคอรัปชั่นมีไหม
สัตว์ที่รับสินบนมีมาก ที่จะไม่รับสินบนมีน้อย
นี่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่สมัย ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว
ที่จะเว้นจากการล่อลวง เว้นจากการทำของปลอมมีน้อยเหลือเกิน
สัตว์ที่จะล่อลวง ที่จะทำของปลอมมีมาก
ยิ่งสมัยนี้ของปลอมเยอะ
ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าทรงใช้นะขาคือเล็บช้อนฝุ่นขึ้นมานิดหนึ่ง
เอามาเป็นอุปกรณ์การสอน
แล้วตรัส
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ระหว่างฝุ่นที่อยู่ในเล็บของตถาคต กับฝุ่นกับแผ่นดินทั้งแผ่นดิน
อันไหนมากกว่ากัน?
ภิกษุก็กราบทูลว่า
ฝุ่นที่อยู่ในนะขาของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีน้อยมาก
ถ้าเปรียบเทียบกับฝุ่นกับแผ่นดินทั้งแผ่นดิน เทียบ กันไม่ได้
วัดไม่ถึงเสี้ยวหนึ่ง
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
อย่างนั้นแหละภิกษุทั้งหลาย
สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ แล้วจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อย เหมือนฝุ่นที่ติดอยู่ในเล็บ
สัตว์ส่วนใหญ่ตายจากมนุษย์ ไปตกนรกมีมาก
สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ ที่จะเกิดเป็นมนุษย์มีน้อย
ส่วนมากก็ตายจากมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมีมาก
“จุติ” แปลว่าตาย ไม่ใช่เกิด
แปลว่าเคลื่อนจากภพเก่า
บางทีเราเอามาใช้กันผิด
ตายจากมนุษย์แล้วเกิดเป็นเทวดามีน้อย
ใครที่ตายจากมนุษย์แล้วไปเป็นเทวดามีน้อย
ส่วนสัตว์ที่ตายจากมนุษย์ไปลงนรก
ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเป็นปิตติวิสัย (เปรตวิสัย) มีมากกว่าเยอะ
สัตว์ที่ตายจากเทวดาแล้วเกิดเป็นมนุษย์ก็มีน้อย
ส่วนมากตายจากเทวดาก็เกิดเป็นสัตว์นรก เดรัจฉาน ปิตติวิสัยมากกว่าเยอะ
หรือสัตว์ที่ตายจากสัตว์นรก แล้วได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีน้อย
ส่วนใหญ่ตายจากสัตว์นรกก็เกิดเป็นสัตว์นรกอีก เกิดตายเกิดตายอย่างนั้น
หรือเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือปิตติวิสัยมีมากกว่า
สัตว์ที่ตายจากสัตว์เดรัจฉาน
หมู หมา เป็ด ไก่ วัว ควาย สุนัข แมว จิ้งจก ตุ๊กแก
สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ในน้ำบนบกมากมายมหาศาล
จะตายจากสัตว์เดรัจฉานแล้วจะเกิดเป็นมนุษย์มีน้อยมาก
ส่วนมากก็ตายจากสัตว์เดรัจฉานแล้วก็ไปลงนรก
หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก
หรือเกิดเป็นปิตติวิสัยมีมากกว่าเยอะ
สัตว์ที่ตายจากปิตติวิสัยแล้วจะเกิดเป็นมนุษย์ก็มีน้อย
สัตว์ที่ตายจากปิตติวิสัย
แล้วเกิดเป็นสัตว์นรก หรือเดรัจฉาน หรือเปรตวิสัยมีมากกว่าเยอะ
สัตว์ที่เกิดเป็นปิตติวิสัย ตายแล้วจะเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดามีน้อย
ส่วนมากก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต สัตว์นรก
เป็นอย่างนี้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
#ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุใด
ทำไมจึงต้องไปอย่างนั้น เพราะเหตุอะไร?
#เพราะไม่รู้แจ้งอริยสัจ
#สัตว์ไม่รู้แจ้งในสัจธรรมความเป็นจริง
อริยสัจเป็นไฉน?
ความจริงที่จะทำให้เข้าถึงความประเสริฐความเป็นอริยะเป็นไฉน?
พระองค์ก็ได้แสดงว่า
ได้แก่
๑. ทุกขสัจ
ความจริงคือทุกข์
๒. สมุทัยอริยสัจ
ความจริงคือเหตุให้เกิดทุกข์
๓. นิโรธอริยสัจ
ความจริงคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ความจริงคือข้อปฏิบัติถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เพราะเหตุเช่นนั้นภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงประกอบความเพียรเพื่อทำให้แจ้งในอริยสัจ
ว่าทุกข์เป็นอย่างนี้
เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้
ความดับทุกข์เป็นอย่างนี้
ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์เป็นอย่างนี้
พระพุทธเจ้าตรัสเพื่อจะเตือนพระภิกษุ
รีบขวนขวายในการที่จะทำความรู้แจ้งในอริยสัจให้เกิด
ไม่อย่างนั้นมันก็จะไปอยู่ในชนกลุ่มมาก
กลุ่มน้อยก็คือตายจากมนุษย์เกิดเป็นมนุษย์ ตายจากมนุษย์เกิดเป็นเทวดา นี่กลุ่มน้อย
กลุ่มมากก็คือตายจากมนุษย์ ลงนรก เป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉานมาก ถ้าไม่รู้แจ้งอริยสัจ
#การที่จะรู้หนทางแห่งความรู้แจ้งความดับทุกข์ก็ต้องอาศัยพุทธศาสนา
#อาศัยความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ได้ตรัสรู้เรื่องนี้
เรื่องอริยสัจหนทางแห่งความดับทุกข์
หนทางที่จะทำให้เข้าถึงความประเสริฐ
#เพราะว่าความเป็นมนุษย์มันมีศักยภาพที่จะศึกษาที่จะปฏิบัติ
#ที่จะพัฒนาจิตวิญญาณตัวเองได้
แต่ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานมันพัฒนาไม่ได้ที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจ
หมาแมวที่เราเห็นอยู่แถวนี้
เขาสอนเรื่องอริยสัจ สอนให้เดินจงกรม สอนให้นั่งภาวนา ฟังธรรม
มันจะรู้เรื่องไหม
มีแมวตัวไหนนั่งสมาธิ
มีแต่นอน มีแต่เล่น มีแต่สืบพันธุ์
ที่จะมาเดินจงกรมอย่างพวกมนุษย์
มาเดินจงกรม มานั่งสมาธิ ฟังธรรม มันไม่ได้เลย
ทั้ง ๆ ที่มันอยู่กับวัด อยู่กับเสียงธรรมะ ก็ไม่รู้เรื่อง
เป็นอาภัพบุคคล
#เพราะฉะนั้นความเป็นมนุษย์มันมีโอกาส
#พระองค์จึงได้เตือนภิกษุ
#เธอจงประกอบความเพียรในการทำความรู้แจ้งในอริยสัจเถิด
#รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างนี้
ก็คืออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕
การเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์
ความเศร้าโศกพิไรรำพัน ทุกข์กายทุกข์ใจ คับแค้นใจเป็นทุกข์
ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งจากบุคคลอันเป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์
#ว่าโดยย่อคืออุปาทานขันธ์ทั้ง๕เป็นตัวทุกข์
เราต้องเร่งขวนขวายทำความรู้จักทุกข์
กำหนดรู้ทุกข์คือขันธ์ทั้ง ๕
รูปเป็นอย่างนี้
การเกิดขึ้นของรูปเป็นอย่างนี้
ความดับไปของรูปเป็นอย่างนี้
เวทนาเสวยอารมณ์เป็นอย่างนี้
สัญญาจำได้หมายรู้เป็นอย่างนี้
สังขารเป็นอย่างนี้สิ่งที่ปรุงแต่ง
วิญญาณธาตุรู้เป็นอย่างนี้
มีความเกิดขึ้นอย่างนี้
มีความเสื่อมไปอย่างนี้ ดับไปอย่างนี้
พิจารณาขันธ์ ๕ ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
#ก็ด้วยการต้องเจริญสติกำหนดรู้
#เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้
ก็คือตัณหา
กามตัณหา ความกำหนัดยินดีในกามคุณอารมณ์
ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ ในสัสสตทิฏฐิ
วิภวตัณหา ความทะยานอยากในอุจเฉททิฏฐิ ความเห็นที่ขาดสูญเป็นอย่างนี้
พึงละเสียตัณหาทั้งหลาย
#ความดับทุกข์เป็นอย่างนี้
คือความที่สละ ความสละทิ้ง ความสลัดคืน ความปล่อยวาง
ความสิ้นอาลัยในตัณหานี่เอง
เป็นความดับทุกข์
#ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์เป็นอย่างนี้
ความเห็นชอบ ดำริชอบ คือเรื่องความคิดที่ถูกต้อง
การพูดจาให้มันถูกต้อง
การกระทำที่ถูกต้อง อาชีพสุจริต
ความเพียรที่ถูกต้อง
สติที่ระลึกอย่างถูกต้อง
สมาธิที่ตั้งมั่นอย่างถูกต้อง
เป็นข้อปฏิบัติที่จะทำให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เธอทั้งหลายจงประกอบความเพียร
ในการที่จะรู้แจ้งในอริยสัจนี้เถิด
สัมโมทนียกถา วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๘
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
"ภาวนา...ก็เหมือนกับไม้ท่อนเดียว
วิปัสสนา อยู่...ปลายท่อนนี้
สมถะ อยู่...ปลายท่อนทางนั้น
ถ้าเรายกไม้ท่อนนี้ขึ้น ปลายท่อนไม้
จะขึ้นข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง
ถ้ายกไม้ท่อนนี้ขึ้นปลายทั้งสอง ก็จะขึ้นด้วย
อะไร จะเป็นตัววิปัสสนา
อะไร จะเป็นตัวสมถะ ก็ตัวจิตนี่เอง
และเมื่อจิตสงบแล้ว...
ความสงบเบื้องแรก สงบด้วยสมถะ
คือสมาธิธรรม ทำให้จิตเป็นสมาธิ มันก็สงบ
ถ้าความสงบหายไปเกิดทุกข์ ทำไม?
อาการนี้ จิต จึงให้ทุกข์ เพราะความสงบ
ของสมถะ เป็นตัวสมุทัยแน่นอน
มันจึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อมีความสงบ
แล้วยังไม่จบ พระศาสดามองเห็นแล้วว่า...
ไม่จบ ภพยังไม่สิ้น ชาติยังมีอยู่ พรหมจรรย์
ไม่จบ...
มันไม่จบเพราะอะไร เพราะมันยังมีทุกข์ อยู่...
ท่านจึงเอาตัวสมถะ ตัวสงบนี่พิจารณาต่อไปอีก ค้นหาเหตุผล จนกระทั่งท่าน...
ไม่ติด ในความสงบ ความสงบ...ก็เป็นสังขาร
อันหนึ่ง ก็เป็นสมมุติ เป็นบัญญัติอีก ติดอยู่นี่ !
ก็ติดสมมุติ ติดบัญญัติ
เมื่อติดสมมุติ ติดบัญญัติ
ก็ติดภพ ติดชาติ ภพชาติ ก็คือ...ความดีใจ
ในความสงบนี่แหละ ก็เป็นภพอีก
เกิดอยู่...อย่างนี้ ภพชาติเกิดขึ้นมา
ทำไม? พระพุทธเจ้าจะไม่รู้
ทีนี้ ! เรามาทำจิตของเราให้เป็นผู้รู้ ตื่นอยู่...
คอยรักษาจิตของเรา อยู่...ถ้าแขกมาเมื่อไร โบกมือห้าม มันจะมานั่งที่ไหน มีที่นั่งที่เดียวเท่านั้น เราก็พยายามรับแขก อยู่...ตรงนี้ตลอดวัน นี่คือพุทโธ ตัวตั้งมั่นอยู่นี่! ทำความ
รู้นี้ไว้ จะได้รักษาจิต
เรานั่ง อยู่ตรงนี้แล้ว...
แขกที่เคยมาเยี่ยมเรา ตั้งแต่เราเกิดตัวเล็กๆโน้น มาทีไรมาที่นี่หมด เราจึงรู้จักมันหมดเลย
พุทโธ อยู่...คนเดียว พูดถึงอาคันตุกะแขก
ที่จรมาปรุงมาแต่งต่างๆ นานา ให้เราเป็นไปตามเรื่องของมัน
อาการ ของจิตที่เป็นไปตามเรื่องของมัน
นี่แหละเรียกว่า...เจตสิก
มันจะเป็นอะไร จะไปไหน ก็ช่างมัน
ให้เรารู้จักอาคันตุกะที่มาพัก ที่รับแขก
มีเก้าอี้เดียว เท่านั้นเอง...
เราเอาผู้หนึ่ง ไปนั่ง...ครั้งต่อไป ก็จะมาอีก
มาเมื่อไร ก็พบแต่ผู้นี้นั่งอยู่ ไม่หนีสักที
มันจะมากี่ครั้ง? เพียงพูดกัน อยู่...ที่นั่น
เราก็จะรู้จักหมดทุกคน พวกที่ตั้งแต่เรา
รู้เดียงสาโน้น มันจะมาเยี่ยมเราหมดนั่นแหละ
เพียง...เท่านี้."
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
.
#วิธีตัดกำลังกรรมเก่า
" #งานสาธารณประโยชน์
มันเป็น ปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด
อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด
ทำให้เร่งรัดพวกเราให้เร็วที่สุด
ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรงให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการบั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่างๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตา
#กฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่ "
---------------------------
พุทธโอวาทสมเด็จองค์ปฐม
จากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓"
โดย พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
"..ผู้ที่มีคุณธรรมอย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรืออริยสาวกผู้ที่ไกลจากกิเลสเหล่านี้เป็นต้น ท่านจึงหลีกเร้นไปอยู่ในที่อันสงบสงัด ปราศจากสิ่งที่รบกวน เป็นอย่างนั้นเพราะสถานที่เหล่านั้นเป็นที่บำเพ็ญความสงบสงัดของใจท่านให้ได้รับความร่มเย็น
เพราะฉะนั้นอย่างเรานี้ก็เหมือนกันผู้ที่เข้ามาฟัง เข้ามาวัดเข้ามาวาฟังเทศน์ฟังธรรมจำศีลภาวนาอย่างนี้ ก็เป็นการปลดเปลื้องภาระอันภายนอกให้คลายออกไปได้เปราะหนึ่ง
เช่นมารักษาศีลอุโบสถอย่างนี้เป็นต้นก็ทิ้งภาระตั้งแต่เช้าจนกระทั่งค่ำ จนกระทั่งรุ่งสว่างก็ปลดเปลื้องภาระของร่างกายออกไปจากใจจากกายได้ชนิดหนึ่ง
แต่ทีนี้การเข้ามาปลดเปลื้องอย่างนี้ด้วยรักษาอุโบสถ แต่บางทีใจนั้นยังกังวลวุ่นวาย คิดอาลัยสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องใช้การประหัตประหารอย่าให้สิ่งเหล่านั้นมาบั่นทอน บั่นทอนความดีของเราอันนั้นที่ตั้งใจจะบำเพ็ญให้เกิดขึ้น คือไม่ได้อะไรก็ให้นึกถึง พุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดบทหนึ่ง อย่าให้สิ่งนั้นเข้ามากวนใจของเรา เมื่อรู้ตัวอย่างนั้นแล้ว ก็พยายามระลึกอยู่ตลอดเวลา ใจนั้นก็จะบังเกิดความสุข คือ เกิดความสงบของหัวใจนั่นเอง
อย่างนั้นจึงเรียกว่า "ศีลบริสุทธิ์" ไม่ด่างพร้อย ไม่เศร้าหมอง ถึงซึ่ง "ความบริสุทธิ์ของสมาธิ" ได้อย่างนั้น นั่นเรียกว่า "ผู้ที่อบรมถูกทาง" ถูกต้องเรียกว่าตามกายวาจาใจ
พร้อมด้วยศีลและก็เข้าถึงสมาธิ อย่างนี้เป็นต้น.."
โอวาทธรรม
พระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
(พ.ศ.๒๔๕๙-๒๕๔๗)
"พระอนาคามี
ให้สังเกตตนเองว่า เมื่อมีมดเข้าหู หรือเข้า
รูจมูกเราๆ หงุดหงิดหรือไม่ ?
ถ้าหงุดหงิดอยู่ก็ไม่ใช่พระอนาคามี
และสังเกต กามารมณ์ของเรา ที่รบกวนเราแบบละเอียดละออ ในขณะจิตเรานึกจะเสพนั้นหรือไม่ ? ถ้ามีอยู่...ก็ไม่ใช่พระอนาคามี
พระอนาคามีไม่มีกามวิตก
ความตรึกในทางกาม และไม่ส่งเสริมในใจของตนเองด้วย คือ ไม่กำหนัดนั่นเอง
ความหงุดหงิด...ไม่มี
ปองร้ายหมายขวัญ...ไม่มี
ในพระอนาคามีเลย ขอให้เข้าใจว่ากาม ก็ดี โทสะ ก็ดี พระอนาคามีขาดไปแล้ว ไม่ขบถคืน อันนี้ เข้าใจชัดกว่าที่พูดมาแล้วนั้น...
ส่วนโมหะความสำคัญตัว ยังมีอยู่...
ความสำคัญตัวเกี่ยวกับเรากับเขา เพราะมีเราเขาสัมปยุตอยู่ ดองอยู่ในหัวใจ ยังไม่ขาดไปได้ เพราะเป็นกิเลสอันละเอียดคล้ายๆ กับขวดน้ำปลา ที่ล้างไม่ดียังมีกลิ่นน้ำปลาอยู่
อารมณ์ ต่างๆ
ที่มากระทบจิต เป็นยาวิเศษ
อารมณ์ ต่างๆ
มากระทบจิต สิ่งที่มากระทบจิต ย่อมเป็นยาวิเศษ เป็นเหตุให้ระอาการมากระทบ
ผู้ที่ราคะ โทสะ ไม่กระทบจิต นั้น...
เป็นญายะปฏิปันโน คือพระอนาคามี นั่นเอง
ส่วนพระอรหันต์นั้น...ขาดไปแล้ว
ไม่มี กลิ่นน้ำปลาอยู่ในขวดเลย ถ้าหากเทียบในทางไฟ พระอรหันต์นั้น...เปรียบเหมือนไฟ
ที่ดับไปแล้ว ไม่มี...ไออุ่น
ด้วยเดชพระพุทธศาสนา
พวกเราทั้งหลาย จงข้ามทะเลหลง
ด้วยความไม่หลงอยู่...ทุกเมื่อเทอญฯ"
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ)บ้านแวง อ.หนองสูงใต้ จ.มุกดาหาร
สวดมนต์เป็นภาวนาหรือไม่ ?
โยมผู้ถาม : การสวดมนต์ ถือว่าเป็นการภาวนาไหมคะ ?
หลวงปู่แบน : การสวดมนต์ ถือว่าเป็นการภาวนาได้ ภาวนา แปลว่าทำให้เกิด การสวดมนต์ก็ทำให้เกิดความรื่นเริงเพลิดเพลิน หรือทำให้เกิดความสงบภายในจิตในใจได้
ขณะสวดมนต์อยู่ บางทีอุบายเกิด บางทีธรรมะเกิดขึ้นมาขณะสวดมนต์ก็ได้ ให้มีความตั้งอกตั้งใจ เคารพในการสวด มีความแน่วแน่ในคำสวดของเรา นั้นเป็นการภาวนาอย่างสมบูรณ์ทีเดียว
.
--- โอวาทธรรม หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.