Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ความเป็นจริง

อาทิตย์ 07 ก.ย. 2025 5:55 am

"โลกเสียเวลาไปมากกับการศึกษาเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการดับทุกข์โดยตรง ไม่ว่าประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โบราณคดี

ทางตรงคือ เข้าหาหลักศาสนา
อย่างที่เราสวดทำวัตรเช้า
มะยันตัง ธัมมัง สุตวา, เอวัง ชานามะ

พวกเราเมื่อได้ฟังธรรมนั้นแล้ว จึงได้รู้อย่างนี้ว่า

ชาติปิทุกขา
แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์

ให้ดูเด็กสิ พอแม่คลอดออกมาก็ร้องไห้กันทุกคน ไม่ว่าเจ๊ก ฝรั่ง เพราะมันมีแต่ทุกข์

อริยสัจ ๔ เป็นของจริง เข้าให้ถูกล๊อค ไปหาวัดโน่น วัดนี่ ก็ไม่เจอ ให้หากะตัว

ท่านสอนกรรมฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เราทุกคนก็มีกัน อย่าไปมัวหลงไหล นี่แหละกรรมฐาน

นอนอยู่บนเตียงในบ้าน ก็มีกรรมฐานได้ ถ้าไม่มีฌานก็ไม่มีปัญญา ฌานคือการเพ่งดู

กาลเวลาผ่านไปๆ กิจภายนอกมี กิจภายในก็มี อยากเกินโลก ต้องนั่งสมาธิ

บ่นั่ง ก็บ่เห็นของจริง เกิดมาก็ร้องไห้อยู่ร่ำไป"

หลวงปู่ทองผุด ญาณวโร
วัดภูเขาดิน ผาพอด อ.เชียงคาน จ.เลย





อาจารย์ใจ

เราทุกๆ คนนี้ ก็เหมือนกัน ไม่ได้เป็น
อย่างอื่นหรอก ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครเป็นครู
เป็นอาจารย์ เพราะจะตรัสรู้ธรรม ... ใจน่ะ
มันต้องสอนตัวเอง ถ้าไม่สอนตัวเอง ให้ผู้อื่น
ไปสอนปานใด มันก็ไม่ฟัง มันไม่รู้จัก
ถ้าใจไม่สอน ใจนั่นแหละเป็นครู
ใจนั่นแหละเป็นอาจารย์ คนเราไม่เห็น
ตัวเองง่ายๆ ไม่เห็น มันยาก เห็นตัวเอง
เห็นยาก ให้พากันคิดสักหน่อย ทำมาแล้ว
ทุกๆ คน เคยทำบาปมา เมื่อแก่เฒ่ามาแล้ว
ก็ควรพากันหยุด ให้มันเบาบางลงไป ให้มัน
น้อยลงไป ถอยลงไป มันไม่มีอะไรหรอก
มีเท่านี้แหละ ให้เข้าหาศีลธรรม ...

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)






เรื่องกรรมเมื่อกระทำแล้วจะหลีกเลี่ยงแก้ไม่ได้ พระในปัจจุบันอย่างพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบท่านเหาะเหินเดินอากาศหายตัวได้ ท่านยังเลี่ยงกรรมของตนเองไม่พ้น ท่านยังเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต เพราะกรรมหักขากบเขียด ดึงขาปูให้ขาดออกจากกัน

เราถามพ่อแม่ครูอาจารย์ใช้ฤทธิ์รักษาตนเองได้ไหมข้าน้อย พ่อแม่ครูอาจารย์ชอบบอก ฤทธิ์เดชใดๆกะสู้ฤทธิ์กรรมบ่ได้ เฮาขอใช้กรรมเป็นชาติสุดท้ายให้จบเบิ่ดทุกอย่าง..

คติธรรม

#หลวงพ่อสมศรี อตฺตสิริ
วัดป่าเวฬุวนาราม อ.วังสะพุง จ.เลย







"การพิจารณากาย นี้...
เป็นของสำคัญ ผู้ที่จะพ้นทุกข์
ล้วนแต่...ต้องพิจารณากายทั้งสิ้น
สิ่งสกปรก น่าเกลียด นั่นก็คือ...ตัวเรานี่เอง

ร่างกาย นี้...
เป็นที่ประชุม แห่งของโสโครก
เป็นอสุภะ ปฏิกูลน่าเกลียด
เพราะฉะนั้น...จงพิจารณากายนี้
ให้ชำนิ ชำนาญ ให้มีสติพิจารณา...
ในทุกที่ ทุกสถาน ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม
ทำ คิด พูด ก็ให้มีสติ...รอบคอบ ในกาย อยู่...
เสมอ

ณ. ที่นี้
พึงทำให้มาก เจริญให้มาก
คือพิจารณาไม่ต้องถอยเลย ทีเดียว."

ภูริทตฺตเถระวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






"..คนเกิดมาไม่เหมือนกัน เพราะมีความประพฤติที่ต่างกัน ผู้ที่เขาประพฤติดี รักษาศีลมีการให้ทาน มีการสดับรับฟังพระธรรม เขาจึงมีปัญญาดี มีการศึกษาเล่าเรียนดี การจำแนกสัตว์ให้ดีให้ชั่วต่าง ๆ กัน มันเป็นเพราะกรรม ถ้ามันยังทำกรรมอยู่ ก็ต้องได้รับผลกรรมทั้งกรรมดีกรรมชั่ว มันต้องได้รับผลตอบแทน เหตุนี้ เราจึงควรทำกุศล รักษาศีลให้บริสุทธิ์สมบูรณ์ แล้วทำสมาธิจะมีความสงบสงัด จิตรวมลงได้ง่าย เพราะมันเย็น มันราบรื่นดี ไม่มีลุ่มไม่มีดอน จงพากันทำไปในอิริยาบถทั้งสี่ นั่ง นอน ยืน เดิน อะไรก็ได้ แล้วแต่ความถนัด แล้วแต่จริต อันใดมันสะดวกสบายใจ หายใจดี ไม่ขัดข้องฝืดเคือง อันนั้นควรเอาเป็นอารมณ์ของใจ พุทโธ พุทโธ หมายความว่า ให้ใจยึดเอาพุทโธเป็นอารมณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้จิตออกไปสู่อารมณ์ภายนอก.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)







"...บุญนั้นไม่ได้เกิดแต่การบริจาคทานอย่างเดียว
บุญเกิดจากการรักษาศีล บุญเกิดจากการภาวนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเจริญภาวนา เป็นบุญที่สามารถทำได้ไม่เลือกบุคคล

ไม่ว่าจะเป็นคนแก่คนเฒ่าหรือเด็ก หญิงหรือชาย
หรือคนเจ็บป่วยก็ตาม สามารถทำได้ คนที่มีสติปัญญา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็เป็นบุญแล้ว ทำการ
ทำงานก็เป็นบุญ ทุกสาขาอาชีพที่เป็นอาชีพ
บริสุทธิ์

ถ้าเราระลึกพุทโธคราวใด บุญก็เกิดขึ้นคราวนั้น
ไม่ต้องหาไกล คนมีปัญญาไม่ต้องหาไกล หาอยู่
ในกาย หาอยู่ในวาจา หาอยู่ในจิต..."

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต






#ทำบุญชำระบาปไม่ได้ เพราะว่าบุญกับบาปจะประสานกันไม่ได้มันคนละทาง ดูตัวอย่าง พระโมคคัลลาน์ เมื่อ ๑๐๐ ชาติที่แล้ว ทุบพ่อทุบแม่เพราะเมีย หลังจากนั้นท่านตายไปแล้วก็ลงนรกไปแล้ว
.
แต่ภายหลังเมื่อ ๑๐๐ ชาติผ่านมา ท่านเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้มีฤทธิ์ เศษกรรมอันนี้บันดาลให้โจรมาทุบท่าน เห็นไหมเล่า พ้นไม่ได้ ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดเราพยายามทำบุญหนี
.
แต่ไม่ต้องลงทุนมากนะ จะลำบาก ไม่ต้องไปกู้เขามาทำบุญ มีน้อยก็ไม่ต้องทำจนหมดตัว เรื่องทำทานนี่ทำพอสมควรที่เราจะไม่ลำบาก การบูชาพระการภาวนาก็ทำให้หนัก ไม่ต้องลงทุนมาก
.
แล้วก็ไม่ต้องใช้เวลามากนะ เอาเวลาสักเล็กน้อยพอสมควร พอเริ่มไม่สบายก็เลิก ทำอย่างนี้มันพอจะหนีกันได้ ล้างน่ะไม่ได้ ต้องหนีกัน
.
ที่มา : หนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๓ (หน้า ๑๖๓)





เจริญสติ ไม่ใช่เพื่อความสงบ
แต่เพื่อสร้างความรู้ตัว รู้ทุกอย่าง
ที่เกิดขึ้นกับกายและใจ รู้โดย
ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ได้เอาความสงบ
เพราะความสงบ มันไม่จีรังยั่งยืน
มันขึ้นกับสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าเรารู้แล้ววาง
รู้แล้ววาง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน
ก็สามารถสงบได้ทุกที่
...
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล





#เกิดแล้วตาย_ตายแล้วเกิด

หลวงปู่ลี : เป็นอย่างไรแม่ออก การภาวนา หรือมากินมานอนอยู่อย่างนั้นหรอ?

โยม : มีแต่เจ็บแต่ปวด จะทำอย่างไรคะ

หลวงปู่ลี : “โอ๊ย...ทำให้มันเลยความเจ็บความปวดไปนู่นล่ะ ตอนนอนหลับ ไม่เห็นมันเจ็บมันปวดอะไร แต่ใจก็ไม่เห็นมันตายนะ ตอนนอนหลับ เราก็รู้ว่าวันนี้นอนเหมือนตายไม่รู้สึกตัว วันนี้ฝันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ความเจ็บความปวดมันมีอยู่ที่ไหน ของอันนี้แหละไปยึดมัน อันไหนก็ของกูของกูหมดมันก็เจ็บหน่ะซิ ก็วางมันดูซิ ถ้าว่ามันเจ็บ แต่นี่จิตมันไม่เป็นสมาธิ เป็นสมาธิเพียงแต่นอนเท่านั้น มันแยกกันไม่ออกเท่านั้นเอง

ถ้าจิตเป็นสมาธิจริงๆ แล้ว เป็นอัปมาสมาธิแล้ว มันไม่มีแล้วกาย มันมีแต่ผู้รู้ที่มันสัมผัสอยู่นั่นแหละ ถึงจะนั่งทั้งคืนก็ทั้งคืน ถ้าอย่างนั้นจะไปอัศจรรย์อย่างไรธรรมของพระองค์เจ้า มีแต่ชมครูบาอาจารย์ มีแต่ชมของพระพุทธเจ้าอยู่เฉยๆ แต่หัวใจตัวเองไม่ได้ดื่มสักที มีแต่ดื่มความเจ็บความปวด แล้วมันจะไปอัศจรรย์อะไร มีแต่ไปตามกิเลสตัณหาเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไร แล้วไม่ลงมือทำสักที เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่อย่างนี้แหละ วัฏฏะตัวนี้ เปลี่ยนพ่อเปลี่ยนแม่ เปลี่ยนพี่เปลี่ยนน้องกันอยู่อย่างนั้น เพราะจิตมันข้องเกี่ยวกันอยู่อย่างนั้นนะ ลงมือทำเอานะ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เท่านี้ก็ดีแล้ว มันจะเปลี่ยนแปลงเรานะ เรื่องการกระทำ อีกหน่อยไปเกิดเป็นสัตว์ให้เขาทำไร่ทำนา ถูกเขาเฆี่ยนเขาตี มันจะเป็นเองหรอกนับวันไปแล้ว ถ้าไม่เห็นสิ่งนี้ เขาจะมาบวชเหรอ

ขอให้จิตมันสงบเถอะ ก็เรื่องราคะนั่นแหละ ที่มันพาไปเกิดที่นั่นที่นี่ ตามจิตให้มันทันเถอะ ถ้าอยากเห็นภพเห็นชาติ ก็ต้องฝึกหัดสติให้เป็นมหาสติ ฝึกหัดปัญญาให้เป็นมหาปัญญาดูซิ ตามจิตตัวเองให้มันทัน แต่นี่จะไปทันอะไรกัน แค่วันเดียวก็ตามจิตตัวเองไม่ทันแล้ว ไม่รู้ว่าจิตตัวเองมันคิดไปทางชั่วหรือทางดี ก็เลยไม่รู้ ก็เหมือน "หมาเห่าบ่าง” หมามันไม่รู้ว่าบ่างมันหนีขึ้นต้นไม้ต้นไหนก็เลยเห่าไปทั่ว เพราะมันไม่ได้กลิ่นนะ นี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ

ดูครูบาอาจารย์ท่านฝึกหัด กว่าจะได้รู้คุณวิเศษ ท่านฝึกหัดพุทโธอยู่เป็นปีเป็นปีนะ กว่าจะได้ มันไม่ได้ฝึกกันง่ายๆ นะ แต่เรื่องภพเรื่องชาตินั้นมันชำนาญแล้ว เรื่องเทียวเกิดเทียวตายนั้นมันชำนาญมากแล้วไม่ได้ฝืน เหมือนเขาฝึกหัดควายฝึกหัดวัว เวลาเขาเอาแอกใส่คอมันก็ต้องดิ้นหนีบ้างเป็นธรรมดา เพราะมันไม่เคยแบกสักที มันก็ต้องพลิกข้างนั้นบ้างข้างนี้บ้าง ถ้ามันด้านแล้วมันไม่ได้พลิกหล่ะ เพราะบ่ามันด้านแล้วนี่ มีแต่ไถไปหล่ะ เร็วด้วย ถ้าไม่ชำนาญก็ไถไปหยุดเริ่มใหม่อยู่อย่างนั้นแหละ

แต่นี่จิตใจของเราก็เหมือนกันนั่นแหละ การนั่งสมาธิภาวนาก็เหมือนกันนั่นแหละ จิตมันไม่สงบสักที จิตไม่เป็นสมาธิสักที แล้วมันจะวางอุปาทานได้อย่างไร ก็แบกหามอยู่นั่นแหละ ถ้านอนหลับแล้วมีได้เท่านั้นแหละ ความสุขของผู้มีกิเลสตัณหา มีแต่นอนหลับเท่านั้นแหละ นอกนั้นมีแต่ไฟหมดเท่านั้นแหละ ดีไม่ดีก็โกรธให้ตัวเอง เพราะทำอะไรไม่ได้ดั่งใจตัวเองก็โกรธเครียดให้ตัวเองก็มี จะฆ่าตัวเองก็มี แต่ธรรมของพระองค์เจ้าท่านไม่เป็นอย่างนั้นนะ ท่านไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ให้เบียดเบียนตนเอง หัดเข้าฝึกเข้า อยู่ที่การฝึกเข้านั่นแหละนั่งก็ฝึกนอนก็ฝึกอยู่อย่างนั้นฝึกตัวเอง ฝึกจิตฝึกใจฝึกการฝึกงาน เขาเรียนมาแล้วในตำราเรียนเขาเรียนหมด แล้วก็มาฝึกงานอีก

เรานี้นักปฏิบัติต้องฝึกตนเองอยู่อย่างนั้น ไม่มีผู้ใดทำแทนเราได้ ครูบาอาจารย์มีแต่บอกทางเท่านั้นแหละ สิ่งที่ต้องทำ เราต้องเป็นผู้ทำเองทั้งหมด เหมือนกันกับกินข้าวนั่นแหละ ถึงจะนั่งเฝ้าอาหารอยู่ก็ตาม ถ้าไม่ยอมกิน มันก็ไม่รู้จักรสชาดไม่รู้จักความอิ่ม เหมือนกันกับความเจ็บความปวดนั่นแหละ นี่ก็ไปเพียงถามอาการนั่นแหละ ถ้าไปว่าอาการนั้นเป็นอย่างนั้น ไปถามว่าวันนี้เป็นอย่างนี้ มีแต่ถามกันเท่านั้นแหละ ความเจ็บปวดเป็นแทนกันไม่ได้ แต่นี่มีแต่ท่านสอน พอสอนแล้วก็จำเอาคำพูดท่านไป ไปโฆษณาเท่านั้นแหละว่าท่านดีเทศน์ดีเท่านั้น แต่จะละกิเลสตัณหานั่นไม่มี นี่แหละมีแต่เราต้องทำเอาเอง นี่แหละไม่อยากพูดเพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดูหมู่พวกอยู่เหมือนกัน โอ๊ย มีแต่เล่น เห็นแล้วระอาใจ

เรื่องการรับหมู่พวกทุกวันนี้ ผมไม่ได้ทำเล่นนะ ก็ทำอยู่อย่างั้นแหละ เดินจงกรมหมดทั้งวันก็เดินได้ นั่งภาวนาก็นั่งทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้ทำเล่น เป็นคนที่เล่นกับเพื่อนไม่เป็น หยอกล้อกับใครไม่เป็น ความสนุกเฮฮาไม่เคยทำ ฝึกมาอย่างนั้นนะ มีแต่ไปคนเดียวไปคนเดียว ถ้าเห็นหมู่พวกติดตามมากก็เข้าบ้านตาด พอเข้าไปแล้ว พอว่างจากการช่วยการช่วยงานท่านแล้วก็หลบไป เป็นอย่างนั้นตั้งแต่พรรษามากขึ้นมา แต่ถ้าพรรษายังน้อยก็อยู่ประจำกับท่าน(หลวงตามหาบัว)นั่นแหละ ท่านพูดอะไรก็จับทันที จับเอาไปพิจารณาเอาไปทำนะ เพราะความตายไม่รู้จะมาวันไหนนะ นั่งก็ตาย นอนก็ตาย พิจารณาเรื่องความอยากให้มันชินกับความตาย ดูซิเวลาตายก็ร้องไห้ฟูมฟายจนให้คนอยู่รำคาญ บ้านอื่นก็รำคาญโอ่ยโอ้ยอยู่นั่นแหละ ตายแบบนั้นถือว่าตายขาดทุนนะ ไม่มีที่ไปเกิดก็ไปเกิดเป็นตุ๊กแก เกาะอยู่กับตุ่มเพราะมันห่วงอันนั้นนะ ของกูของกูอยู่อย่างนั้น ก็จิตมันไปเป็นอย่างนั้นแหละ ลองตามดูดีๆ นะ ถ้าว่ามันตายเอาธรรมของพระพุทธเจ้าไปวัดดูซิ

คนไม่ซื่อสัตย์ไม่เห็นหรอกเรื่องภพภูมิ คนไม่มีศีลไม่มีธรรม มีแต่พระอริยเจ้าทั้งหลายนั่นแหละ ระดับจิตท่านรับได้หมด ส่วนปุถุชนคนหนานั้นมันจะไปรับอะไรได้ แค่จิตของตัวเองก็ยังรักษาไม่ได้ ก็เลยปล่อยมันไปทั่ว ก็เลยไม่เกิดอานิสงส์อะไร เดินจงกรมก็เดิน แต่ไม่รู้สติมันไปทางไหน แล้วมันจะอัศจรรย์อะไร สุนัขถึงขนาดมันวิ่งมันยังไม่ได้ตรัสรู้เลย เดินไม่มีสติไม่มีปัญญา ถ้านั่งก็นั่งเฉยๆ นั่งหลับตาสัปหงก แต่ก็ยังหาว่าตัวเองทำความเพียร มันก็ไม่เห็นอะไรนะ สักหน่อยก็ตำหนิธรรมของพระองค์เจ้า ตัวเองทำไม่จริงไม่ตำหนินะไปตำหนิผู้อื่น เรื่องกิเลสมันเป็นอยางนั้นแหละ อะไรก็ต้องให้มันถูกใจตนเองหมดถึงดี มันเป็นอย่างนั้น

เอาเรื่องกิเลสมาพูดก็เชื่อมันนะ ก็เชื่อมาหลายภพหลายชาติแล้ว เชื่ออยู่อย่างนั้นก็เพราะตัวเองไม่อยากออกจากโลก ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าอยางนั้นคนมั่งคนมีคนยากคนจน ก็เห็นกันอยู่อย่างนี้แหละ ความสุขความทุกข์ก็เห็นกันอยู่อย่างนี้ ข้าวเกิดในจานก็มี ข้าวเกิดในหม้อก็มี ความสุขของมนุษย์ก็ดูให้มันชัดๆ อาบเหงื่อต่างนั้นเหมือพวกเราก็มี หรือจนถึงขนาดที่ว่าหาอะไรก็ไม่มี ก็เพราะบุญกุศลนั่นแหละที่ทำให้เป็นไป ก็ดูซิโลกใบนี้ ลองคิดอ่านดูดีๆ มันเกิดขึ้นด้วยการกระทำนะ ท่านถึงพูดว่า “ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว” ถ้าไม่สร้างสมบารมีก็มีแต่ทุกข์ตาย เกิดภพหน้า ก็เห็นอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ขนาดคลอดออกมาจากพ่อจากแม่เดียวกัน การทำอยู่ทำกินเราสังเกตสังกาดูซิต่างกันสุดๆ ท่านถึงว่าอกุศลกับกุศล กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตาธัมมา เราทำไว้อย่างไร เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นๆ ให้ภาวนาเข้าไป เดี๋ยวมันจะประมวลมาเองหรอก ให้ทำไป...”

บางส่วนของโอวาทธรรมคำสอนเรื่อง “เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด” หลวงปู่ลี กุสลธโร ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๘ คัดลอกจากหนังสือประวัติปฏิปทาหลวงปู่ลี กุสลธโร ๙๐ ปี เศรษฐีธรรม พระอริยสาวกแห่งภูผาแดง ; หน้า ๒๓๒ – ๒๓๔








"..จำไว้นะ ใครจะพูดอะไรก็ช่างเขากรรมมันอยู่ที่เขา ไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา ไม่ต้องเอามันมาใส่ใจ.."

โอวาทธรรม
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน





"..ไม่ใช่บวชหรอก ไม่ใช่การบวช บวชมาแล้วก็ไม่ได้อะไร ถ้าเราไม่ปฏิบัติ ก็เป็นอย่างเก่านั่นแหละ ก็เสียไปอย่างนั้นถ้าเราคิดถูก แม้จะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ช่างเถอะ เป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นข้าราชการทำหน้าที่การงานที่ไหนก็ตาม ถ้าเรารู้เรื่องของเรื่องอันนี้ จะได้รับการอบรมทุกวินาที เราได้ปฏิบัติ บางคนเข้าใจว่า "โอ๊ย ! ฉันเป็นฆราวาสทำไม่ได้หรอก" นี่คือมันหลงเตลิดเปิดเปิงไปทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เลย อย่างอื่นทำไมทำได้ อย่างอื่นทำได้ อะไรที่ไม่มี เราก็หาได้เพราะเราอยากได้เราก็ทำได้ "ผมไม่มีเวลาเลย ผมมีแต่การงาน" "เอ้า ! ทำไมคุณมี เวลาหายใจล่ะ" นี่เป็นเรื่องอย่างนี้ ทำไมคุณจึงมีเวลาหายใจ หาเวลามาจากไหน แน่ะ! เพราะ เรื่องการหายใจ เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของคุณ ถ้าคุณเห็นว่า เรื่องการปฏิบัติ เป็นเรื่องสำคัญ ในชีวิตของคุณแล้ว การปฏิบัติของคุณ ก็เสมอลมหายใจเท่านั้นแหละ ก็เพราะ การปฏิบัตินี้ มิใช่ว่า จะไปวิ่ง หรือไปเล่นกีฬา หรือจะต้องออกกำลังกาย หรือจะไปทำอะไรให้มันวุ่นวาย เราดูความรู้สึกของเรานี่ มันเกิดมาจากเหตุใด ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส อะไรมา ก็รวมกันมาที่ผู้รู้ คือจิตที่มีความรู้ขึ้น มันเป็นอย่างไร ถ้ามันไม่ชอบใจมันก็ไม่เอา เป็นทุกข์ ถ้ามันชอบใจ มันก็เอาเป็นสุขเสีย เรื่องเท่านี้แหละ ทีนี้เราลองคิดว่า ถ้าคุณอยู่ในโลกนี้ คุณจะไปเอาสุขที่ไหน ไม่ได้ ไม่ได้คุณจะไปอยู่ที่ไหน โลกนี้มันต้องเป็นอยู่อย่างนี้ ท่านตรัสว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ พระพุทธเจ้าก็อยู่อย่างนี้ ไม่ใช่ท่านจะไปอยู่ที่ไหน ท่านก็อยู่ในโลกนี้ มีครอบมีครัว ท่านจึงพิจารณาจนมันเบื่อ จนเห็นโทษมัน แล้วทำอย่างไร เราจะปฏิบัติได้ ถ้าคุณจะปฏิบัติได้ คุณต้องพยายาม เมื่อคุณพยายามไปเรื่อยๆ คุณเข้าไปเห็นโทษในสิ่งนั้นแน่นอนแล้ว คุณก็วางมันได้เท่านั้นเอง.."

โอวาทธรรมธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร
(หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๖๑-๒๕๓๕)






#ของดี_คนดีจึงชอบ_แต่คนชั่วไม่ชอบ_ของต่ำคนชั่วชอบ

ของสูงคนดีชอบแต่มีได้น้อย ดังที่เคยพูดให้ฟัง เป็นคติได้ดีนะ พระพุทธเจ้ารับสั่งว่า ผู้ที่จะไปสวรรค์ นิพพาน กับผู้ที่จะลงทางนรก ทางไหนมากกว่ากัน โห น่าฟังนะเป็นคติได้เป็นอย่างดี แล้วฝังลึกด้วยนะ

พระพุทธเจ้าก็รับสั่งเทียบทันทีเลยว่า.ผู้ที่จะไปสวรรค์ ไปทางดีได้ ไปสวรรค์นิพพานได้นี้เทียบกับเขาโค แต่ผู้ที่จะหมุนลงในนรกนั้นเหมือนขนโค ในโคตัวหนึ่งมีขนเท่าไร และมีเขาเท่าไร มีสองเขา ใครเห็นโคสามเขาสี่เขาไหม ไม่มี มีสองเขา แต่ขนมันเต็มตัวเลยโค คือจิตใจลงมันใฝ่ต่ำมันมาก เราดูตัวของเรานี้ เวลายังไม่ได้อบรมจิตใจนี้มีแต่เรื่องต่ำทั้งนั้น ๆ ๆ เต็มเนื้อเต็มตัวรอบตัว เท่ากับขนโค ที่จะแย็บไปทางความดีนี้อย่างมากเขาโคพ้นมาแค่นี้ มันไม่ได้พ้นเต็มที่นะ นั่นแหละเราดูเราเสียก่อน ความคิดความเห็นภายในจิตใจของเรา มันมีแต่ความคิดประเภทขนโคทั้งนั้น ไปทางต่ำ ๆ ความคิด ความคิดจะไปทางดีงามเหมือนเขาโค มีน้อยมาก ๆ เบื้องต้นเป็นอย่างนั้นด้วยกัน

ในเราคนหนึ่ง ๆ ก็เรียกว่าขนโคเต็มตัว เขาโคแทบว่าไม่มี โคบางตัวเป็นโคหัวโล้น โห มึงจนขนาดนั้นเชียวเหรอ เราพูดเป็นธรรม ไปเห็นโคพูดด้วยความสงสาร รักมันนะ คือเทียบกับธรรมะ โห ท่านบอกว่าโคมีสองเขา มึงไม่มีเลย มึงเป็นโคหัวโล้น มึงยังจนกว่าเขาอีกเหรอ เราว่า ประเภทปทปรมะมันมี เทียบกันเข้าเลย ประเภทปทปรมะเรียกว่าไม่มีเขาโคเลย เป็นโคหัวโล้นเขาไม่มี แต่ขนมันเต็มตัว โคหัวโล้นขนเต็มตัว เขาไม่มี

ทีนี้แยกออกไป โลกนี้คนจำนวนมาก นี่เทียบกับขนโคกันทั้งนั้น เขาโคมีนิด ๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัยเวลาจะสั่งสอนสัตว์โลก คือมันมีตั้งแต่ขนโคทั้งนั้นไม่มีเขาโค อันนี้จิตใจเราเบื้องต้นก็มีแต่ขนโค เวลาได้รับการศึกษาอบรมเข้า จิตใจได้ยินได้ฟังอรรถธรรมค่อยแทรกเข้าไปๆ ต่อไปก็ปรากฏเป็นเขาโคขึ้นมา ทีแรกมันเป็นโคหัวโล้นเสียก่อน โคหัวโล้นไม่มีเขา ค่อยอบรมไปๆ เขาโคก็ค่อยอ้วนขึ้นๆ สูงขึ้นเด่นขึ้น จิตใจของเราได้รับการอบรมทางอรรถธรรมก็สง่าขึ้นมา นี่เทียบกับเขาโค คือความดีนี้เท่ากับเขาโค มีมากมีน้อยค่อยสง่าขึ้นมาในนั้น อบรมไปๆ เอาจนกระทั่ง เอาเลยที่นี่ ตั้งแต่พื้นๆ ที่อบรมมันเป็นอย่างนั้นๆ ทีนี้อบรมไม่หยุดไม่ถอย ขัดเกลาเข้าเรื่อย บำรุงรักษาเรื่อย ค่อยผ่องค่อยใสขึ้นมาจิตใจเรา ค่อยสง่าขึ้นมาในท่ามกลางขนโค ขนโคนั้นจะลดน้อยลงไป

พอเขาโคงอกเงยขึ้น สง่างามขึ้น ขนโคเริ่มลดลงไป ความคิดต่างๆ ที่ไม่ดีทั้งหลายค่อยลดลงๆ เขาโคเป็นน้ำสะอาดชะล้างไปเรื่อยๆได้รับการบำรุงอรรถธรรมเท่าไรยิ่งสง่างามขึ้นมาๆ เรื่อยภายในใจ เมื่อสง่างามก็ยิ่งเห็นได้ชัด จิตใจเราที่นี่ค่อยหมุนเข้ามาหาเขาโค ขนโคค่อยหลุดร่วงไปๆ เขาโคสง่างามขึ้น เขาโคเลยกลายไปเป็นขนโค คือสง่างามกระจายทั่วไปหมด ขนโคพังลงๆ เขาโคเลยกลายเป็นขนโคไป คือกระจายออกไปสง่างามรอบใจ รอบกาย วาจา ความประพฤติหน้าที่การงานสะอาดไปตาม กลายเป็นเขาโคไปๆ

เวลาพูดถึงธรรมะขั้นสูงก็ยิ่งสง่าขึ้นเรื่อยๆ ขนโคนี้หลุดร่วงลงไป ๆ เขาโคสง่าขึ้นเรื่อย เขาโคกระจายไปเป็นขนโคละที่นี่ แต่ก่อนมันเป็นขนโครอบตัว ต่อมานี้เขาโคกระจายเป็นขนโค ขนโคพังลงไป เขาโคกระจายเป็นขนแทน ขนอันนี้เป็นขนศีลขนธรรม ขนมรรคขนผล นิพพาน แล้วกระจายไปทั่วรอบใจรอบตัว มันกระจายของมันออกไป จิตดวงนั้นเลยสง่างามตลอดเลย มองหาขนบางลงๆ แทบไม่มีๆ ฟาดจนขนหมด มีแต่เขาสง่าประดับหมดตัวโค กลายเป็นทองทั้งแท่งขึ้นมาในใจดวงนั้น นั่นละการฝึกหัดอบรม หากฝึกหัดอบรมไม่ได้ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จะไม่มีในโลก เพราะมีขึ้นมาก็เพื่อสั่งสอนสัตว์โลกนั้นแหละ พระองค์ใดตรัสรู้ขึ้นมารื้อขนสัตว์โลกขึ้นสู่ความดีงาม มรรคผลนิพพาน มากทีเดียวนะ ไม่ใช่น้อยๆ

นี่เราพูดถึงขนโค ให้ไปเทียบเจ้าของ แก้เจ้าของ ค่อยปัดขนโคออกเรื่อยนะ บำรุงรักษาเขาโคให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จะสง่างาม ทีนี้เมื่อเวลาเขาโคถึงขั้นพอตัว เลิศเลอ ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านแล้ว เลยเป็นทองทั้งแท่งไปหมด โคตัวนั้นไม่ว่าเขาว่าหาง อวัยวะทุกสัดทุกส่วนเป็นทองทั้งแท่งไปหมดเลย นี่คือจิตพระอรหันต์ จิตพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น แต่ก่อนก็อย่างที่เราว่า พอถูกขัดถูกเกลาไปเรื่อยๆ เลยกลายเป็นเขาโคทั้งตัวสง่างามไปเลย

โอวาทธรรม
#หลวงตาพระมหาบัว_ญาณสัมปันโน

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
หัวข้อ อายตนะนิพพาน








#เห็นจิตเห็นธรรม

"...ถ้ามีสติกำหนดเข้ามา จะรู้ทุกเวลาว่า จิตของเรามีราคะไหม หรือหายแล้วไม่มี ก็จะรู้จำเพาะตนนี้ ดูโทสะ มีอยู่หรือหายโทสะแล้ว ดูโมหะ ความโง่เขลาความหลง ยังมีอยู่ก็จะรู้ หรือจิตของเรามันหายโทสะหายโมหะแล้วก็จะรู้

พระพุทธองค์จึงให้พิจารณาเข้ามาให้เห็น เห็นอันนี้เรียกว่าเห็นธรรม จิตของตนเป็นอย่างไร จิตของตนเป็นกุศล มีเมตตา มีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ หรือมันยังมีราคะ โทสะ โมหะ ครอบงำอยู่ ก็จะรู้แล้วจะได้แก้ไขตัวมัน รีบปลดเปลื้องออกไป

รีบเร่งทำความเพียร ขับไล่สิ่งที่เศร้าหมอง คือราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ออกไป ให้มันเบาบางไป ออกจากขันธสันดาน ดวงจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องทำให้คนบริสุทธิ์ทำให้คนมีสิริ มีโภคทรัพย์ ก็เพราะคนเป็นผู้ทำความดี มีศีล ศีลที่บริบูรณ์แล้วย่อมเป็นที่มาแห่งโภคทรัพย์ ..."

หลวงปู่ขาว อนาลโย






คนเราเมื่อรู้เท่าทันความเป็นจริงแล้ว
รู้ทันความเป็นจริงแล้ว ใจของเราสบาย
ถ้าเราไม่รู้เท่าทันความเป็นจริง ก็ไม่สบาย
พูดเช่นนี้ก็ฟังง่าย แต่เข้าใจยาก
เราจะเปรียบเหมือนว่า เราพบ เราได้ประสบ
พบเห็นกับคนที่หลอกลวง มาหลอกลวงเรา
ถ้าเราไม่รู้ทันเขา เราก็ถูกเขาหลอกไป
ได้บ่อยๆ ถ้าเรารู้เท่าทัน เขาก็หลอกเรา
ไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ...

พระคติธรรม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
( อมฺพโรมหาเถระ ) สมเด็จพระสังฆราช ฯ
ตอบกระทู้