นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 14 ก.ค. 2025 8:22 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: มีความเจริญ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 09 ก.ค. 2025 5:53 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4985
"ความเชื่อผิดๆ เรื่องการใส่บาตรและถวายสังฆทาน อาหาร ยา ฯลฯ "

ถาม : การใส่บาตร และ การถวายอาหาร แด่พระควรเป็นอาหารสด แต่ถ้าบางคนการถวายมาม่าหรือของแห้งที่จะต้องเอาไปประกอบอาหารใหม่จะบาปหรือไม่?

ตอบ : ไม่บาปหรอก เพียงแต่ว่าพระท่านเก็บไว้ไม่ได้

อาหาร ที่เป็นอาหารนี้ ท่านเก็บไว้ได้เพียงแค่ช่วงระยะเที่ยงวันเท่านั้นเอง หลังจากเที่ยงวันแล้ว ส่วนที่เป็นอาหารนี้ ท่านต้องสละไปหมด เพราะพระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้พระสะสมของไว้ในกุฏิของตน แต่ทรงอนุญาตให้สะสมไว้ในคลังของวัดได้ เช่น ถ้าญาติโยมอยากจะถวายของให้เก็บไว้นานๆ อย่าไปใส่บาตร อย่าไปประเคนกับมือ

อย่างที่อาตมารับของนี้ ส่วนใหญ่จะให้วางไว้เฉยๆ ถ้าญาติโยมวางไว้เฉยๆนี้ ถือว่าพระยังไม่ได้รับประเคน พระยังเอาไปใช้ไม่ได้ แต่เก็บไว้ได้ตลอดเวลาไม่มีวันหมดอายุ เวลาต้องการจะใช้ก็ให้ลูกศิษย์หยิบมาประเคนให้ จึงจะใช้ได้ แต่..ถ้ารับประเคนด้วยมือเอง ของมันจะมีอายุ

ของพระ ท่านแบ่งไว้ 3 ชนิดด้วยกัน

1) “อาหาร” – ชนิดอาหารนี้มีอายุแค่..ถึงเที่ยงวัน

หลังจากเที่ยงวันไปแล้ว ถึงแม้รับตอนนี้ก็หมดอายุทันทีเลย ใครถวายมาม่า ถวายปลากระป๋องมา รับปั๊บนี้ก็ต้องสละแล้ว เก็บไว้กินพรุ่งนี้ไม่ได้ เรียกว่า อาหาร

ดังนั้นถ้าของเป็นอาหารอยากจะถวายพระให้เก็บไว้นานๆ เอาวางตั้งไว้เฉยๆ ตั้งไว้ตรงหน้าก็ได้ บอกขอถวาย อันนี้ก็ได้เท่ากับถวายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องทำให้มันถูกพระวินัย พระยังไม่ถือว่าเป็นของของตน เป็นของของส่วนกลางอยู่ ถือเป็นของคณะสงฆ์ แต่เวลาต้องการจะใช้ค่อยให้ลูกศิษย์มาประเคน เอาไปเก็บไว้ที่กุฏิไม่ได้ ต้องเก็บไว้ที่ที่เก็บของของวัด วัดจะมีที่ที่เก็บของส่วนกลางไว้ ของทั้งหมดที่ไม่ได้รับประเคนก็ให้เอาไปไว้ที่นั่น เวลาจะใช้ค่อยให้ลูกศิษย์เอามาประเคนให้อีกที พวกอาหารก็มีอายุเพียงครึ่งวัน เช้าถึงเพล

2) “เภสัช ตามพระกำหนดมี 5 ชนิด คือ พวกน้ำตาล น้ำอ้อย เนยข้น เนยใส น้ำผึ้ง”

– ท่านอนุญาตถ้ารับประเคนนี้ท่านให้เก็บไว้ได้ ๗ วัน และฉันได้ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมงถือว่าเป็นยา

– สมัยก่อนเขาคงกินพวกยา พวกนี้รักษาอาการเจ็บท้องปวดท้อง มันคงจะไปเคลือบกระเพาะหรือไปทำอะไร ท่านก็เลยอนุญาตให้มีเภสัช 5 ชนิดด้วยกัน (พวกน้ำตาล น้ำอ้อย เนยข้น เนยใส น้ำผึ้ง)

– พวกนี้เก็บไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน พอหลังจาก 7 วันแล้วถ้ายังมีเหลืออยู่ ก็ต้องสละให้คนอื่นไป

– สละให้กับพระด้วยกันไม่ได้ ต้องสละให้ฆราวาสญาติโยมไป ลูกศิษย์ลูกหาไป หรือเอาไปทำบุญทำทานไป

3) “ยา (รักษาอาการเจ็บป่วย) “ จริงๆ เช่น ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาอะไรต่างๆ

– เก็บไว้ที่กุฏิด้วย เพราะเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะได้หยิบได้ทันท่วงที

– ถ้าเป็นยานี้ถวายได้ตลอดเวลา และเก็บไว้ได้ตลอดเวลาไม่มีวันเสื่อม นอกจากตามที่เขาเขียนไว้ที่ในสลาก เสื่อมไปตามวันที่เขาเขียนไว้ในสลากเท่านั้น

นี่คือเรื่องของการประเคนของให้กับพระ เราต้องรู้จักแยกแยะ แต่สมัยนี้ญาติโยมไม่รู้กันก็เลยรวมกันหมดเลยที่เขาใส่ในกระเเป๋งสีเหลืองนี้ เขาอยากจะถวายให้ครบทั้ง 4 คือ ปัจจัย 4 ยาก็ใส่เข้าไป อาหารก็ใส่เข้าไป จีวรก็ใส่เข้าไป ถึงแม้จีวรจะเอามาห่มไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นผ้าเหลืองๆ ชิ้นหนึ่งก็ถือว่าเป็นจีวรแล้ว กระเเป๋งก็คงถือว่าของถวายมั๊ง… ไว้ครอบหัวเวลาฝนตก

– ทำบุญก็อยากจะถวายปัจจัย 4 ให้ครบ เขาก็เลยใส่มา แล้วมาถึงก็บังคับให้พระรับประเคน ให้วางไว้เฉยๆ ก็กลัวว่าไม่ได้บุญอีก

– บางทีบางคนขนกลับไปก็มี พอบอกว่า “ให้วางไว้เฉยๆ ได้ถวายแล้ว” ฉันไม่ได้บุญ ท่านไม่รับฉันไม่ได้บุญ ฉันไปดีกว่าไปถวายที่อื่นดีกว่า อย่างนั้นก็มีเพราะการไม่รู้ ไม่มีการสอนไม่มีการบอก

– แล้วพระที่มาบวชใหม่ทีหลังก็ไม่รู้เรื่อง เขาเอาอะไรมาถวายก็รับประเคนหมด แล้วเขาก็แบบถือว่าไปว่ากันใหม่ คือตอนนี้รับประเคนแบบหลอกๆไปก่อน รับประเคนให้ญาติโยมดีอกดีใจ แล้วค่อยไปแยกแยะของทีหลัง ของที่เป็นอาหารก็เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ถ้าอยากจะได้อะไรค่อยให้ลูกศิษย์มาประเคนให้ใหม่ เขาทำกันแบบนี้

ซึ่งทางสายวัดป่าท่านไม่ทำ ท่านทำแบบไม่หลอก ทำแบบจริงๆ เลย บอกประเคนไม่ได้ก็ประเคนไม่ได้ วางไว้ต้องวางไว้ เพื่อจะได้สอนญาติโยมไปในตัว

– ญาติโยมที่ไปทำบุญที่วัดป่าจึงได้บุญด้วย ได้ปัญญาด้วย ได้บุญ คือ ความสุขใจ แล้วก็ได้ปัญญาได้ความรู้ที่ถูกต้องในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ส่งเสริมพระให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แทนที่จะส่งเสริมให้พระปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย เพราะด้วยความเกรงใจญาติโยม

นี่คือเรื่องของการถวายของ ที่เราต้องควรจะศึกษา

_________________________

#พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

วัดญาณสังวราราม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี






เราเสาะแสวงหาที่ภาวนานะ ถ้าหมกแต่กุฏิอย่างเดียว มันมีแต่นอน กินแล้วนอน กอนแล้วนิน กินแล้วนอน มันไม่เกิดประโยชน์หรอก เราต้องเร่งความพากความเพียรในตัวของเรา ในวัดของเรามันกว้างขวาง หามุมสงบได้ง่ายมาก กุฏิหลังไหนที่ไม่มีใครอยู่นะ เราก็ไปนั่งภาวนา ถือกลด ถือผ้าไตรจีวรไปซะ กับไฟฉายเท่านั้น กับผ้าห่มไปเท่านั้นแหละ ไปนั่งภาวนาดูเป็นยังไง ล้วนแล้วแต่ได้ทั้งนั้นแหละลูกหลาน

ไปนั่งอยู่ป่าช้าก็ยังได้ ทำไมกลัวป่าช้า ถ้ากลัวป่าช้าก็กลัวท้องตัวเอง นี่ล่ะป่าช้าใหญ่อยู่ในท้องของเรา ไม่รู้ว่าหมู ไม่รู้ว่าไก่ ไม่รู้ว่าพวกเป็ด พวกปู พวกปลามันฝังอยู่ในท้องของเรานี่ ป่าช้าใหญ่ ถ้ามันจะหลอกมันก็คงจะหลอกตัวเองพอแรงนั่นน่ะนะ อยู่ในท้องของเรา ทำไมคนตาย คนเลว จะมาหาหลอกเราได้ยังไงใช่ไหมล่ะ มีแต่เอาความคิดตัวเองหลอกตัวเองเท่านั้นแหละ

เรื่องภาวนา ไปนั่งภาวนาในที่กลัว ๆ นั่นดี จิตใจมันจะได้สงบ ถ้าหากว่าอยู่ที่ไม่กลัวนะ ไม่สงบหรอก มันเคยชินต่อสถานที่ เพราะฉะนั้น อยู่สถานที่สงบ มานั่งภาวนา หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ พอนั่งเหนื่อยแล้วก็จุดเทียนแล้วเดินจงกรมก็ได้ เดินกลับไปเดินกลับมาภาวนา ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งปฏิบัติทั้งนั้น

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “สอนวิชาพระ”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘






ศีลนั้นอยู่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร
ใครเป็นผู้รักษาแล้ว ก็รู้ว่าผู้นั้นเป็นตัวศีล
ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นศีล เจตนา คือ
จิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มีก็ไม่เรียกว่าคน
มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิต
ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล
กายก็ประพฤติไปต่างๆ มีโทษต่าง ผู้มีศีลแล้ว
ไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว
ไม่มีเรื่องหลงหาหลงขอ คนที่หาคนที่ขอ
ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไหร่ยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยาก
ยากเข็ญ กายกับจิตเราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว
ได้มาจากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว
จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว
รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล
ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีล
ย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์สมบูรณ์
ไม่อดไม่ยากไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้
สมบูรณ์ จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิ
เป็นปัญญา ...
...
หลวงปู่หลุย จันทสาโร






.

#วิธีคิดตอนตื่นนอน

แต่สิ่งที่ท่านทั้งหลายไม่ควรลืม พอตื่นมาใหม่ๆ ยังไม่จำเป็นต้องนั่ง เพราะการนอนแบบนั้นสมาธิติดต่อมาจากหลับสมาธิยังทรงตัวถ้าร่างกายเคลื่อนไหวสมาธิจะเตลื่อน

พอรู้สึกตัวปับก็น้อมใจนึกถึงว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ความตายจะมีกับเราเมื่อไหร่ก็ได้

ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปเราจะยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความเต็มใจ

แล้วเราจะทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ศีล ๕ มีอะไรบ้าง ก็คิดไปตามศีล ๕

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
_______________
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๔๒๔ หน้า ๕๒
คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์






"...พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพาน
ในฌานสมาบัติ อะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์
ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์ หรือนามขันธ์
ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่นคือ พระองค์ ดับ
เวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปรกติ
ของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติ และสัมปชัญญะ
ไม่ถูกภาวะอื่นใด มาครอบงำ อำพรางให้หลง
ใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์
ภาวะอันนั้นจะเรียกว่า มหาสุญญตาหรือจักรวาล
เดิม หรือเรียกว่าพระนิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็ได้ เราปฏิบัติมา ก็เพื่อเข้าถึงภาวะอันนั้นเอง..."

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล






"ความตายไม่มีสิ่งน่ากลัว ตายดีแล้ว
ความตายเป็นทิพย์โอสถ
เพราะมีตายจึงหมดทุกข์โศก โรคภัยได้
กลัวทำไม ในเมื่อยังเกิดใหม่ได้
หมั่นบำเพ็ญศีล ทาน บารมี ไว้ให้มากเถิด
จะได้เกิดเป็นผู้มีบุญญาธิการมาช่วยโลก"
.
--- คำสอน หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป
วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี






#จิตเป็นสมบัติที่สำคัญควรรักษาให้ดี

จิต เป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเราที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน
วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือ "ภาวนา ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร" ตรวจดูจิตว่ามีอะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต
นั่งพินิจพิจารณาดู "สังขารภายใน คือความคิดปรุงแต่งของจิตว่าคิดอะไรบ้าง มีสาระประโยชน์ไหม" คิดแส่หาเรื่อง หาโทษขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิดถูกของตัวบ้างไหม
พิจารณา "สังขารภายนอกว่า มีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารมีอะไรใหม่ หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป" พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการ
ให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า เรามีความแก่ เจ็บ ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน

#โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์

#องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต







..=>คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "กำจัดความเลวออกจากจิต"<=..

.. การตายไม่ได้มีสภาพสูญ ในเมื่อ
เราคิดว่าเราจะตาย ก็ตั้งใจทำความดี
เพราะว่าการตายไม่ได้มีสภาพสูญ ถ้าเวลา
ก่อนจะตาย "อารมณ์พบกับความดี" ก็ไปสู่
"สุคติ" สุคติ อย่างต่ำก็คือ มนุษย์ สุคติ
จริงจังก็เป็นเทวดา พรหม นิพพาน
มีความสุขจริง

ถ้าเรามีความมั่วสุมกับความชั่ว
"มีอารมณ์กลุ้ม มีอารมณ์เศร้าหมอง"
เศร้าหมองคือกลุ้ม "ก็ต้องลงอบายภูมิ"
มี "นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน"
จะดีจะชั่วอยู่ที่ใจโดยเฉพาะ "กิเลส"
แปลว่า "ความชั่วที่เข้ามาสิงจิต" ทำจริต
และจริยาของเราให้เศร้าหมองคือ เลว

อาการของคนเราที่จะดีจะชั่วนี่
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "อยู่ที่ใจโดย
เฉพาะ" ถ้าใจดีเสียอย่างเดียว กายและ
วาจาก็ดีด้วย ถ้าใจเลวเสียอย่างเดียว
กายและวาจาก็เลวด้วย ทีนี้คำว่า "ที่สุด
ของความทุกข์" ก็คือว่า "จิตหมดความชั่ว"

เมื่อจิตหมดความชั่ว จิตก็ไม่สั่งงานชั่ว
ในทางกายและวาจา เมื่อความชั่วไม่มี
ความทุกข์ใจมันก็ไม่มี หมดเรื่องกันไป
จงกำจัดความเลวออกจากจิต อันดับแรก
ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน จงกำจัด
พาล คือ ความเลวของจิตของเราเอง

คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรมันเป็นเรื่อง
ของเขา ถ้าเราไปสนใจในจริยาของบุคคล
อื่น เราก็เลยลืมตัวเอง การสนใจในจริยา
ของบุคคลอื่นว่าคนนั้นดี คนนี้เลว อย่างนี้
พระพุทธเจ้าถือว่าใจเข้าไปถึง "อุปกิเลส"
เข้าไปใกล้กิเลส คือ "ความเลว"

สร้างความเลวของเราให้เกิดขึ้น
ให้มันมีมากยิ่งขึ้น จงอย่าสนใจในจริยา
ของบุคคลอื่น ใครเขาอยากจะไปอบายภูมิ
เชิญเขาไปแต่ผู้เดียว ถ้าเราไปสนใจเขา
ด้วย เราน่ะไปด้วยคือจิตใจเศร้าหมอง
ฉะนั้น อันดับแรก ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท
"จงกำจัดความเลวออกจากจิต" ..

(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
ที่มาจาก.. ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๔๑๘ หน้าที่ ๗๘-๗๙


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO