#พระพุทธเจ้าแสดงไว้ " #ทางไปนรก #ทางไปสวรรค์ #ทางไปพรหมโลก #ทางไปพระนิพพาน #พระองค์ก็บอกไว้แล้ว " #ให้วางกายให้เป็นสุจริต วาจาให้บริสุทธิ์ #ใจให้บริสุทธิ์ นี้ทางไปสวรรค์ ทางมามนุษย์ ทางไปพระนิพพานให้บริสุทธิ์อย่างนี้ "#ทางไปนรกนั่น เรียกว่าทุจริตนั้น ทางกาย ทางวาจา ทางใจ" อันนี้ทางไปนรก เราจะเว้นเสีย".. ================== หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู..
#เป็นของหลอกลวงทั้งนั้น
"...มนุษย์ประมาทในอะไร เพลินในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นะซิ นั่นแหละประมาทหละ เลินเล่อ เผลอตัวเข้าใจว่าเป็นของจริง เป็นของหลอกของ ลวงทั้งนั้น เราเข้าใจว่าเป็นสุข เป็นทุกข์แท้ๆ เข้าใจว่าสุขอย่างไรนะถ้าว่าทุกข์แท้ๆ เขาก็ทิ้งกัน หมดนะซิ นี่ตั้งบ้านกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นสุข เป็นทุกข์อย่างไรละ มันก็เป็นสุขแท้ๆ นี่ละสุขแท้ๆ ก็ทนไปอีก นี่กิเลสหนา ปัญญาหยาบนะ กิเลสบาง ปัญญาละเอียดละก็ เห็นว่าเป็นทุกข์จริงๆ หละ ทุกข์อย่างไรละ เห็นร้องไห้ ร้องครางไปตามๆ กัน ทีเดียวละ ก็ไม่ใช่ทุกข์หรือนั่นนะ ร้องไห้ ร้องครวญ ไปตามๆ กัน ไปซิบ้านหนึ่งหมู่หนึ่งเอามารวมกัน เข้าซิ บ่นเรื่องสุขกันมากไหมละ ทุกข์กันทั้งนั้น ที่ไหนไม่มีสุขเลย ทุกข์ทั้งนั้นนั่นแหละ..."
#ที่มา หนังสือ วาทะธรรม พระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร)หลวงพ่อวัดปากน้ำ ..................................................................
"...ถ้าผู้ใดเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยนี้ตลอดไป ทำความดีความเพียรไป เห็นคุณแก้ว ๓ ประการ ปรากฏอยู่ในใจเสมอ อย่างนี้แหละก็เห็นบุญกุศล ที่ตนทำมาปรากฏในใจเสมอมา มันก็ทำให้ใจตั้งมั่น ลงไปต่อบุญต่อคุณนั้น ทีนี้บุญกุศลอันนี้ก็จะดล บันดาลให้ไปเกิดในพระพุทธศาสนา มันเป็นอย่าง นั้นแล้วก็บันดาลให้คบกันกับนักปราชญ์บัณฑิต ผู้เห็นถูกตามทำนองคลองธรรม ท่านจะได้ชักนำไป ในทางถูกต้อง เป็นทางพ้นทุกข์พ้นภัยในวัฏสงสาร เช่นเราเกิดมาในชาตินี้ แสดงว่าเรามั่นใจในพระคุณ พระรัตนตรัยจริงๆ
ดังนั้น บุญอันนั้นจึงบันดาลมาให้เราเกิดในยุคที่พระ พุทธศาสนายังมี เราจึงได้มาประพฤติปฏิบัติตาม เช่นนี้ก็สมควรแล้วที่จะฝึกจิตใจของตน ให้หมั่นตั้ง มั่นลงไปจริงๆ ควรพิจารณาถึงความเสื่อมสิ้นไปแห่ง สรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ ดังที่แนะนำพร่ำสอนมานี้ ก็จะเป็นหนทางพ้นทุกข์พ้นภัยในวัฏสงสารได้..."
#ที่มา หนังสือ ๑๐๐ ปี ชาตกาล พระสุธรรมคณาจารย์ ( หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ) ...................................................................
#ถาม :: ภาวนาแล้วมีอาการเคลิ้ม บางครั้งก็หลับ ควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป
#หลวงพ่อพุธตอบ :: ภาวนาแล้วมีอาการเคลิ้ม เหมือนจะนอนหลับ จิตมีอาการจะนอนหลับเหมือน กับจะนอนอย่างธรรมดา แต่โดยธรรมชาติของจิต ที่จะเป็นสมาธิ ที่ก้าวลงไปในระยะแรกนั้น คือการ นอนหลับอย่างธรรมดา มีอาการเคลิ้มๆ แล้วก็วูบ ลงไป ถ้าตกใจตื่น จิตถอน ก็มาตั้งต้นใหม่ ทีนี้ถ้า หากไม่ตื่น วูบลงไปแล้ว ปล่อยให้เป็นไปจนกระทั่ง หยุดวูบ นิ่ง พอเกิดนิ่งพั๊บ ถ้านอนหลับธรรมดาก็ นิ่งลงไปเลย ทีนี้ถ้าเป็นสมาธิ พอนิ่งพั๊บสว่างโพลง ขึ้นมา อาการวูบนั้น เป็นอาการที่จิตจะก้าวลงสู่ สมาธิ กำลังจะได้ผลแล้ว เชิญทำต่อไป..."
#ที่มา หนังสือธรรมปฏิบัติและตอบปัญหาการปฏิบัติ ธรรม :: พระราชสังวรญาณ(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) ......................................................................
# ร่างกายเสื่อมก็ช่าง จิตเราต้องไม่เสื่อมตาม # ร่างกายมีสภาพแต่จะต้องตกไปในกระแสของความเสื่อมถ่ายเดียว แต่ส่วนจิตจะไม่ตกไปอย่างนั้น จะต้องไหลไปสู่ความเจริญได้ตามกำลังของมัน ถ้าใครมีกำลังแรงมากก็ไปได้ไกล
ถ้าใครไปติดอยู่ในเกิด เขาก็จะต้องเกิด ใครไปติดอยู่ในแก่ เขาก็จะต้องแก่ ใครไปติดอยู่ในเจ็บ เขาก็จะต้องเจ็บ ใครไปติดอยู่ในตาย เขาก็จะต้องตาย ถ้าใครไม่ไปติดอยู่ในเกิด ไม่ติดอยู่ในแก่ ไม่ติดอยู่ในเจ็บ และไม่ติดอยู่ในตาย เขาก็จะต้องไปอยู่ในที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย
เรียกว่า มองเห็นก้อน "อริยทรัพย์" แล้ว คือ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ผู้นั้นก็จะไม่ต้องกลัวจน ถึงร่างกายเราจะแก่ จิตของเราไม่แก่ มันจะเจ็บก็เจ็บไป ตายก็ตายไป แต่จิตของเราไม่เจ็บ จิตของเราไม่ตาย พระอรหันต์นั้นใครจะตีให้หัวแตก แต่จิตของท่านก็อาจไม่เจ็บด้วย
จิตเมื่อมันสุมคลุกเคล้ากับโลก ก็จะต้องมีการกระทบ เมื่อกระทบแล้วก็จะหวั่นกลอกกลิ้งไปกลิ้งมา เหมือนก้อนหินกลมๆ ที่มันอยู่รวมกันมากๆ ก็จะกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างเดียวกัน ดังนั้นใครจะดีจะชั่ว เราไม่เก็บมาคิดให้เกิดความชอบความชัง ปล่อยไปให้หมด เป็นเรื่องของเขา
นิวรณ์ เป็นตัวโรค ๕ ตัว ซึ่งเกาะกินจิตใจคนให้ผอมและหิวกระหาย ถ้าใครมี "สมาธิ" เข้าไปถึงจิตก็จะฆ่าตัวโรคทั้ง ๕ นี้ให้พินาศไปได้ ผู้นั้นก็จะต้องอิ่มกาย อิ่มใจ เป็นผู้ไม่หิว ไม่อยาก ไม่ยาก ไม่จน ไม่ต้องไปขอความดีจากคนอื่น
ผลที่ได้ คือ ๑) ทำให้ตัวเองเป็นผู้เจริญด้วย "อริยทรัพย์" ๒) ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็จะต้องพอพระทัยมาก เหมือนพ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนร่ำรวย ตั้งเนื้อตั้งตัวได้เอง ท่านก็หมดความเป็นห่วงใย นอนตาหลับได้
สรุปแล้ว "โลกียทรัพย์" เป็นเครื่องบำรุงกาย "อริยทรัพย์" เป็นเครื่องบำรุงกำลังใจ
จึงขอให้พากันน้อมนำธรรมะข้อนี้ไปปฏิบัติ เพื่อฝึกตน ขัดเกลากาย วาจา ใจของตน ให้เป็นความดีงาม บริสุทธิ์ เพื่อจะได้ถึงซึ่งอริยทรัพย์ อันเป็นทางนำมาแห่งความสุขเป็นอย่างยอด คือ พระนิพพาน.."
ธรรมโอวาทของ พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
"...เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันมีใจเป็นใหญ่ สำเร็จ แล้วด้วยใจนั้น อย่าไปลืมจิตดวงนี้ ยังไงๆ เมื่อเรา ควบคุมจิตดวงนี้ได้แล้ว ก็เป็นอันว่าควบคุมความ ประพฤติทางกาย วาจา มันก็ได้ ความสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็สำรวมไปได้ด้วยดี เป็น ปกติอย่างนี้ ขอแต่เราฝึกจิตนี่ให้มันตั้งมั่นลงไป ให้มีปัญญา รู้ความเกิด ความแปรปรวนแตกดับ ของรูปของนาม ของสรรพสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ เสมอๆ แล้วนะ อย่างนี้ มันก็รักษาความรู้สึกของ จิตนี้ให้เป็นปกติได้ มันก็จะไม่หวั่นไหว ไม่แปร ปรวนไปในอิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่น่ายินดีรักใคร่ ต่างๆ ไม่แปรปรวนไปในอนิฏฐารมณ์ อารมณ์ ที่น่ายินร้ายต่างๆ นั่นมันก็จะไม่แปรปรวนไป ความรู้สึกมันก็จะเป็นปกติสม่ำเสมอไป
แม้จะอยู่เงียบๆ แต่ตัวคนเดียว ไม่ได้สัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสเหล่านั้น มันก็ เป็นปกติอยู่ได้ แม้ได้พบ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่างๆ เหล่านั้น มันก็สามารถ สำรวมจิตให้เป็นปกติอยู่ได้ นี่ความมุ่งหมาย ของการปฏิบัติให้มันลึกเข้าไป มันก็เป็นอย่างนี้ แหละ ให้พากันเข้าใจ..."
#ที่มา หนังสือ วรลาโภวาท พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) ..............................................................
"...พระพุทธเจ้าว่ามันเป็นไฟนะ จักขุง อาทิตตัง ตาเป็นไฟ นี่ตาเห็นรูปมันก็เป็นไฟ แต่เราไม่เห็นเป็น ไฟ นี่มันว่าอย่างนี้ล่ะคนเรา โสตัง อาทิตตัง หูเป็นไฟ ฆานัง อาทิตตัง จมูกเป็นไฟ ชิวหา อาทิตตา ลิ้นเป็น ไฟ กาโย อาทิตโต กายเป็นไฟ มะโน อาทิตโต ใจ เป็นถ่านเพลิงใจเป็นเตา
ทำไมท่านถึงว่าอย่างนั้นล่ะ เพราะอาทิตแปลว่าของ ร้อน ตาเห็นรูปเกิดความรักขึ้น เราบอกว่าไม่ร้อน พระพุทธเจ้าว่าร้อน จักขุง อาทิตตัง ตาเป็นไฟ ไฟคืออะไร ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ อาทิตตัง ชาติยาชะรามะระเณนะ ร้อนเพราะความ เกิดเพราะความแก่และความตาย โสเกหิ ปะริเทเวหิ เพราะความโศกเพราะความร่ำไรรำพัน ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ เพราะความทุกข์เพราะความเสียใจ มันร้อนแบบนี้เพราะไม่สมปรารถนา ทุกข์โศก เสียอกเสียใจ ลูกตายเสียเมียตายจาก ร้อนจน ร้องห่มร้องไห้ โสตัง อาทิตตัง หูเป็นไฟ นี่ไฟพวกนี้ ไฟมันเผาอยู่ที่ใจ ไฟนี่ท่านหมายถึง ฟังเสียงดีเสียง ชั่ว เสียงเพลงอะไรดีก็แห่กันไปฟัง กวักไม้กวักมือ โสตัง อาทิตตัง โสตเป็นไฟ หูเป็นไฟ เป็นไฟเพราะ อะไร เพราะราคะ แต่ว่าราคะนี่มันละเอียดนะ เพราะราคะโทสะโมหะเลยเป็นไฟนี่ กาโย อาทิตโต นี่กายเป็นไฟ สัมผัสดูสิ พอสัมผัสนี่บางทีก็เกิดกิเลส บางทีก็ไม่เกิดกิเลส นี่สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง มะโน อาทิตโต ใจเป็นเตาใจเป็นถ่านเพลิง ใจเป็นเตาใหญ่ เลย ไฟมันลุกสุกเผาทุกวันเลย
พิจารณาอย่างนี้แหละ จะมานั่งฟังเทศน์หรือมานั่ง สมาธินี่ค่อยดีหน่อย ได้ฟังครูบาอาจารย์พูดธรรมะ ธัมโมให้ฟังอย่างนั้นอย่างนี้ค่อยจำได้ ว่าธาตุขันธ์ นี่เป็นยังไง เราจะแก้ไขยังไง นี่หมั่นประพฤติปฏิบัติ ก็มีความสุข แต่เดี๋ยวนี้เรามีความสุขหรือไม่ก็สังเกต ดู ใจเยือกใจเย็นมั้ยภาวนา กำหนดจิตพุทเข้าโธออก ทำใจให้สบายๆ ใจสวรรค์ใจเสียสละ ถ้าใจขัดข้องนี่ ต้องเสียสละ ถ้าเสียสละก็ใจสวรรค์ปัจจุบัน ไม่เสีย สละเข้าไปยึดถือมันก็ทุกข์ล่ะ พิจารณาไปเรื่อยๆ..."
#โอวาทธรรม หลวงปู่หลอด ปโมทิโต วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๓ ..................................................................
"...ถ้าเราท้อแท้ในการพิจารณาให้ติดต่อ การเห็น ธรรมตามเป็นจริงก็ไม่ชัด เมื่อไม่ชัด ความปีติยินดี ความอิ่มใจก็ไม่มี ความอ่อนแอและขี้เกียจก็ได้ช่อง วิชาผัดวันประกันพรุ่งและหลีกเลี่ยงแก้ตัวก็สอบได้ ชั้นเอก ติดนิสัยเสียเวลาไปวันละเล็กวันละน้อย บวกคูณทวีไปในตัว กลายเป็นหมันไปโดยมิรู้ตัว..."
#ที่มา หนังสือ ตามรอยธรรม ย้ำรอยครู #โอวาทธรรม หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ...........................................................
"การทำภาวนา ในชั้นเริ่มแรก จะต้องพบกับความทรมาน อย่างมาก
แต่...ถ้ามีความเพียร เพียรแล้วเพียรอีก ไม่ย่อท้อ อดทน ค้นคว้าหาวิธีต่างๆ
สุดท้าย...ก็จะสำเร็จ ที่สำเร็จ ไม่ใช่...อะไรหรอกนะ เพราะมีความเพียร ที่ตัวเรานี่เอง." ______________ หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต.
"...ประกอบความพากเพียรเข้า เอ้อ ถ้ามันเกิดในใจเจ้าของแล้ว ฮ่วย มันต้องเอาโลดแล้ว เบิ่งมันก็ฮู้จักความเพียร มันบ่ได้สุงสิงนำหมู่ดอก อยู่ผู้เดียวมันสบาย ปุจฉาวิสัชนามันเกิดขึ้นในนั้น..."
#ที่มา หนังสือ ธรรมลี วัดภูผาแดง #โอวาทธรรม หลวงปู่ลี กุสลธโร ........................................
#ผู้ถาม :: ขณะทำสมาธิ เกิดนิมิตขึ้นมาเป็นภาพ จะต้องปฏิบัติ หรือ กำหนดจิตอย่างไร?
#หลวงพ่อพุธ :: ในเมื่อทำสมาธิแล้ว จิตสงบลงไป เกิดเป็นนิมิตภาพขึ้นมา ระวังอย่าให้เกิดความเอะใจ หรือแปลกใจกับการเห็นนั้น ให้ประคองจิตอยู่เฉยๆ ถ้าไปเกิดเอะใจหรือทักท้วงขึ้นมา สมาธิจะถอน เมื่อสมาธิถอนแล้วนิมิตหายไป ถ้าใครสามารถ ประคองจิตให้อยู่ในสภาพปกติ นิมิตนั้นจะอยู่ให้เรา ดูได้นาน และนิมิตนั้นจะเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่อง ระลึกของสติ เป็นฐานที่ตั้งของสติ บางทีนิมิตนั้น อาจจะแสดงอสุภกรรมฐาน หรือแสดงความตาย ถ้าแสดงอสุภกรรมฐานให้เราดู เช่น ล้มตายลงไป เน่าเปื่อย ผุพัง ก็ได้อสุภกรรมฐาน ได้มรณัสสติ ถ้าจิตของท่านผู้นั้นสำคัญมั่นหมายในพระไตร ลักษณ์ ภาพนิมิตนี้มันก็ไม่เที่ยง ปรากฏขึ้นมาแล้ว มันก็ล้มตายไป ตายไปแล้วก็เปลี่ยนแปลงเป็นเน่า เปื่อย ผุพัง สลายตัวไป เสร็จแล้วก็ได้วิปัสสนา กรรมฐาน..."
#ที่มา หนังสือธรรมปฏิบัติและตอบปัญหาการปฏิบัติ ธรรม :: พระราชสังวรญาณ ( หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ) ...........................................................
|