นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 01 พ.ค. 2025 9:08 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ฝึกหัดอบรม
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 26 เม.ย. 2024 9:00 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4906
"ทำดี อย่าติดดี
อย่าเอาดีไปอวดคนอื่น
ผู้ใดที่ยังหลงว่าตัวเองดี
บุคคลนั้นไม่มีดีเลย"

หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต






"ไม่ใช่ว่านักปฏิบัติธรรม
นั่งสมาธิเพื่อไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น
แต่เพื่อสามารถคิดเฉพาะเรื่องที่ควรคิด
ในเวลาที่สมควรคิด"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ





ในเรื่องของกรรมนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

…"ถ้าเราไม่ทำเขา เขาย่อมไม่ทำกับเรา"…

เพราะเราเคยได้เบียดเบียนเขาไว้ก่อน
เราจึงต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น จากเขาบ้าง

ท่านพ่อลี ธัมมธโร






ผู้ที่ไม่มีสติ มักมองออกนอกตัว
เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะโยนไปให้คนอื่นตลอด
โดยไม่ได้สนใจเลยว่า ตัวเองทำผิดหรือไม่
สุดท้ายแล้ว ความชั่วที่โยนออกไป
ก็ไม่ได้ไปที่ไหน ก็อยู่ที่ใจคนโยนนั่นเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า

"เมื่อให้สิ่งใดกับใคร สิ่งนั้นก็จะอยู่กับเรา"

พ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ







"...เหตุนั้นให้พากันพิจารณาตามรู้ตามเห็นความเป็น
อยู่ความมีอยู่ อย่าไปหานะ ไปหาละไม่เจอ ให้กำหนด
นิ่งดูให้มันรู้อยู่อย่างนั้น มันสุขก็ดูให้มันรู้อยู่อย่างนั้น
ที่มันมีอยู่ นี่แหละผู้ปฏิบัติ ท่านจึงให้ละตัณหา
หาแล้วมันไม่เห็น ให้มันหยุดนิ่งเราก็เห็น จะให้จิตเรา
สงบได้ เปรียบภายนอกเหมือนกับน้ำ มันจะใสได้ต้อง
ทำอย่างไร เราต้องวางน้ำนั้นให้มันนิ่ง พอมันนิ่ง
มันก็ใส พอน้ำมันใสเราก็มองเห็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
นี่ก็ฉันใด จิตเรานิ่งแล้ว มันภาวนา มันได้ความ
ฟังเทศน์ก็ได้ความ ถ้าจิตไม่นิ่ง ฟังก็ไม่ได้ความ
ภาวนาก็ไม่ได้ความ มันไม่รู้จักดีรู้จักชั่ว ไม่รู้จักสุขไม่
รู้จักทุกข์ นั่นหละ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน

สมถะนั่นหละทำจิตให้สงบ พอมันสงบแล้ว มันก็เกิด
วิปัสสนาขึ้น วิปัสสนา คือความรู้ เกิดญาณ ความรู้ขึ้น
มันรู้สังขารทั้งหลาย รู้ที่ดับของสังขาร พอมันเกิด
ตรงไหนมันก็ดับ พอจิตมันนิ่ง พอมันเคลื่อนจากที่ละ
มันตัวสังขารละ มันปรุงแล้ว ก็รู้จักดับตรงสังขาร
ทีนี้เรามาพิจารณาสังขารทั้งหลายมันเป็นทุกข์ทั้งนั้น
สังขารา ทุกขา สังขารธรรมทั้งหลายเป็นทุกข์
สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงทั้งหมด
สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้น
ไม่ใช่ตัวตน พอเราเห็นอย่างนี้แล้วมันก็รู้แจ้งเห็นจริง
แล้ว เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วมันก็ดับในตนของตนเอง
นี่แหละ เมื่อได้ยินแล้วต้องโอปนยิโก ต้องน้อมเข้าไป
นะ..."

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร








. เทวดาเขาบ่ได้มักมนุษย์ ที่กาย

เทวดาเขามักมนุษย์ ที่ศีลธรรมของผู้นั่น ”ผู้มีศีลธรรมในใจ” เทวดาเขาสิเห็น

รัศมีในจิตของผู้นั่น จิตผู้มีธรรมนี่ ใจมันสิงามในใสกว่ากายนอก

เทวดาผู้เขามีใจทิพย์ใจธรรม เห็นมนุษย์ผู้นั่นแล้ว เขากะฮักกะหอมอยากเข้าใกล้

และ ให้เป็นคนมีวิหารธรรมในใจ เฮือนชานบ้านช่องในจิตในใจให้เป็นไปในพุทธ ธรรม สงฆ์ ใจดวงนี้เอาอันใดใส่เป็นอันนั่น เอาบุญใส่ ใจเป็นบุญ เอาบาปใส่ ใจเป็นบาป ....

คำสอนหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย









#อภิญญามีสภาพไม่เหมือนกัน

...เรื่องของอภิญญา คนส่วนใหญ่เมื่อฟังว่า #อภิญญา แล้วก็มักจะคิดว่า ท่านที่ได้อภิญญา จะต้องมีความรู้แจ่มใสเหมือนพระพุทธเจ้าเสียทุกอย่าง เป็นการเข้าใจผิดถนัด พระพุทธเจ้าทรงเป็น #สัพพัญญู คือมีบารมีเป็นจอมอรหันต์ ย่อมทรงอภิญญาดีเลิศเป็นพิเศษ สำหรับพระสาวกที่ได้มีกำลังไม่เท่ากัน และไม่มีทางจะไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าได้เลย จะเปรียบให้ฟัง เอาเพียง #ทิพจักขุญาณ อย่างเดียว อย่างอื่นให้เข้าใจว่าเหมือนกัน

๑. ทิพจักขุญาณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มี
ความสว่างคล้ายพระอาทิตย์ส่งแสงจัด ไม่มีเมฆบัง
ไม่มีเผลอ ไม่มีพลาดในการเห็น

๒. ของพระปัจเจกพุทธเจ้า มีความสว่างเหมือนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง มองเห็นคนกลางคืนเมื่อเดือนหงายมีสภาพอย่างไร ต่างกับกลางวันอย่างไร
พิสูจน์เอาเอง

๓. พระอัครสาวกทั้งสอง มีความสว่างเหมือนคบเพลิง
ดวงใหญ่สว่าง แต่แสงสว่างไม่ไกลเหมือนความ
สว่างของดวงจันทร์

๔. ของพระอรหันต์สาวก สว่างเหมือนแสงตะเกียง
ดวงน้อย

๕. ของท่านที่ได้ฌานโลกีย์ สว่างเหมือนอากาศเมื่อ
พระอาทิตย์ลับแล้ว กำลังมัวตา มองดูอะไรก็ไม่
เห็นถนัดนัก

...ข้อเปรียบเทียบนี้ยังไม่ละเอียดพอ แต่เกรงว่าลูกหลานจะเบื่อฟัง เอามาเปรียบเทียบเพียงย่อๆ ท่านที่ได้ฌานและอภิญญาไม่ใช่รู้อะไรหมด ยิ่งเป็นฌานโลกีย์ด้วยแล้ว ยิ่งมีจังหวะพลาดง่ายเหลือเกิน เพราะมีอุปาทานมาก ต้องระวังให้มาก ถ้าไม่ประมาทคิดว่าตัวดีไม่เป็นไร ถ้าประมาทเมื่อไรเจ๊งเมื่อนั้น สำหรับพระอริยะท่านรู้ว่าท่านไม่ดีเสมอ ไม่มีความประมาท เรื่องเจ๊งไม่มี...

โอวาทธรรม หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน โสนันโท หน้าที่ ๔๕








มนุษย์ ๗ จำพวก (หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)
มนุษย์ทั้งหลายมี ๗ จำพวก มนุษย์มี ๗ อย่าง

มนุสสติรัจฉาโน ทำไมจึงว่ามนุสสติรัจฉาโน
ดูซิ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน
คือมันขี้เกียจขี้คร้าน รับอาหารแล้วก็นอน
ไม่รู้จักการกราบ ไม่รู้จักการไหว้ ไม่รู้จักการรักษาศีลภาวนา
ทำบุญให้ทานอะไร เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานน่ะ
มนุษย์เช่นนั้นแหละตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ดูเอาซิ พิจารณาเอาซี ร่างกายเป็นมนุษย์แต่หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน

มนุสสเปโต ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่หัวใจเป็นเปรต
มันมีแต่โมโหโทโส อยากฆ่า อยากฟัน
ความทะเยอทะยานดิ้นรน มีพยาบาทอาฆาตจองเวร
ดูซิ ใจมันมีอาฆาต นี่แหละมนุสสเปโต
ร่างกายเป็นมนุษย์ เมื่อดับขันธ์ไปแล้วก็ไปเป็นเปรต

มนุสสนิรเย ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นนรก
หัวใจเป็นนรก คือมันมืด มันกลุ้มอกกลุ้มใจ ให้ทุกข์ให้ร้อน
ดูเอาซิ นั่นแหละนรก ดับขันธ์ไปแล้วก็ไปนรกซี่
ได้รับความทุกข์ยากความลำบากรำคาญ นี่มนุษย์เช่นนี้
ทีนี้ถ้าไม่ไปเป็นอย่างนั้น เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า
หัวใจต่ำช้า อย่างอธิบายมาแล้ว ต่ำช้ายังไงล่ะ
เป็นใบ้บ้าเสียจริต หูหนวกตาบอด ปากกืด กระจอกงอกง่อย
ขี้ทูดกุฏฐัง ตกระกำลำบาก แน่ะ มนุษย์หัวใจเป็นยังงั้น
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์อีกก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า
ดูซิ ใจเราทุกคน ไม่ว่าพระว่าเณร ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย
เอ้าดู อธิบายให้ฟัง ถ้ามันเป็นอย่างนั้นเราไม่ต้องการก็เลิกก็ละเสีย
ให้รู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักผิดรู้จักถูก รู้จักฟัง อธิบายให้ฟัง

มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นเทวธิดา เทวบุตร
หัวใจมีทาน มีศีล มีภาวนา รู้จักเคารพนอบน้อม รู้จักกราบรู้จักไหว้
ใจมีหิริโอตตัปปะ ละอายบาป กลัวบาป ใจเบิกบาน ใจสว่างไสว ใจดี
ดับขันธ์ก็ไปเป็นเทวบุตรเทวธิดา เรื่องเป็นอย่างนั้น ดูเอาซิ

มนุสสพรหมา ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม หัวใจเช่นใด
มีพรหมวิหาร มีพรหมวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่
หัวใจว่างไม่มีอะไร เหมือนกะอากาศนี้แหละ ว่างเปล่าหมด
เหลือแต่อรูปจิต ดับขันธ์ไปเป็นพรหม ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม
อยากรู้ก็ดูเอาซิ ที่อยู่ของเราเป็นอย่างนี้ มนุษย์ทั้งหลาย

มนุสสอรหัตโต ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระอรหันต์
คือละกิเลส ละตัณหา กิเลสคือใจเศร้าหมอง
ตัณหาคือใจทะเยอทะยานดิ้นรนกระวนกระวาย
ท่านละกิเลสตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา
ตัณหาอุปาทาน ภพชาติ ละขาดในสันดาน ไม่มีสิ่งเหล่านี้ในจิตใจ
เมื่อดับขันธ์ไปก็เข้าสู่นิพพาน ดับทุกข์ในวัฏสงสาร
ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็เป็นแต่มนุษย์ ได้แต่มนุษย์ซิ

เราจึงมาฝึกหัดอบรมบ่มนิสัยของเรา เพ่งเล็งดูซิ
เราอย่าดูอื่น เรานั่งอยู่ก็นั่งดูใจของเรา ไม่ได้ดูดินฟ้าอากาศนะ
ใจของเรามันเป็นอย่างไร เหมือนที่อธิบายให้ฟังไหมล่ะ
มันไม่ดีตรงไหนก็แก้ไขซิ ทีนี้

มนุสสพุทโธ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรานี้
ว่าเรื่องภพเรื่องชาติของท่าน บิดามารดาของท่านก็มี
บุตรภรรยาท่านก็มี ท่านเป็นมนุษย์ครือเรานี่แหละ
แต่ท่านประพฤติปฏิบัติ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
เป็นสยัมภู ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
ไม่มีบุคคลผู้ใดหรือใครแนะนำพร่ำสอน รู้ด้วยตนเองเป็นสยัมภู
รู้แจ้งแทงตลอดหมดซึ่งสารพัดเญยยะธรรมทั้งหลาย ไม่มีที่ปกปิด
สัตว์ทั้งหลาย ตนของท่าน บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ญาณความรู้ความเห็นในบุพพชาติเบื้องหลัง
เป็นอะไรๆ มา ท่านรู้หมด เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
จุตูปาตญาณ จุติจากนี้ไปอยู่ในภพชาติใด ภพน้อยภพใหญ่ ท่านรู้หมด
คือเหมือนอธิบายให้ฟังนี้ อาสวักขยญาณ สิ้นจากภพจากชาติท่านก็รู้หมด


คัดมาจาก : หนังสือ ๑๐๘ ปีหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ประวัติ พระธรรมเทศนา และพระอภิธรรมสังคิณีมาติกาบรรยาย
ธรรมบรรณาการในโอกาสฉลองอุโบสถวัดป่าไชยชุมพล (เสลียงแห้ง)
จังหวัดเพชรบูรณ์ พิมพ์ครั้งที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๑


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO