หลวงปู่ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ ขวามือองค์ที่สอง หลวงปู่เชอรี่ อภิเจโต องค์หลังสุด (ตรงกลาง) พระอาจารย์ปสันโน ภิกขุ (องค์ขวามือ)
“ใจศูนย์กลางแห่งความรู้” #ปัญญาวัฑโฒเถระ
คนเราส่วนใหญ่รู้สึกว่า จุดศูนย์กลางอยู่แห่งความรู้ของตนเองอยู่บนศีรษะ เมื่อเราเพ่งไปที่ศีรษะ เราจึงมักจะรู้สึกว่ามีความเครียดอยู่ตรงนั้น
อย่างก็ตาม เมื่อศูนย์กลางของความรู้ไปอยู่ที่ใจ ความเครียดก็จะหายไป
เรามักไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับความเป็นไปได้เช่นนี้ เพราะเราได้รับการหล่อหลอมให้เชื่อว่า ความคิดและความรู้เกิดบนศีรษะ รวมกับว่าสิ่งที่เราคิดว่า #เป็นตัวเรา นั้นอยู่ที่ศีรษะ
#ใจนั้นเป็นศูนย์กลางแห่งความรู้ที่แท้จริง เมื่อความรู้ลงไปรู้ที่ใจ ความคิดที่สับสนวุ่นวายทั้งหมดก็จะสงบลง
หลวงปู่ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ (Peter John Morgan) วัดป่าบ้านตาด
(เรียบเรียงโดยพระอาจารย์ดิ๊ก สีลรตโน)
กราบนมัสการเรียนถามพระอาจารย์ ผมได้อ่านประวัติพระอาจารย์คร่าวๆว่า เป็นนายแพทย์เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากจุฬา ฯ แล้วยังเป็นอาจารย์แพทย์เฉพาะทางจบจากนอก ก็ยังทึ่งว่า อะไรกัน! #พระอาจารย์อ่านพระสูตรบทไหน #จึงตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่ทิ้งทุกอย่างมาบวชครับ … #พระมหากีรติ ธีรปัญโญ ตอบ คำถามแรกฟังพระสูตรไหน อย่าง “รัฐบาลสูตร” อาตมาก็ชอบมากเลย
รู้สึกมันตรงกับใจเรา เรื่องที่พระรัฐบาลพูดท่านเหมือนกับพูดสรุปได้อย่างชัดเจนเลยว่า ทำไมเราควรจะบวช .
ถ้าคิดตามนะมันก็ถูกตามนั้นหมด เราก็เห็นทั้งหมดว่าโลกนี้ มีคนที่มันรวยมากๆ เหมือนกับในที่พระรัฐบาลบอก พระราชามีดินแดนจรดขอบมหาสมุทร มีทุกอย่างแล้วเขายังไม่เห็นจะมีความสุขเท่าไหร่ ก็ยังอยากได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ก็คือลักษณะของตัณหามันเป็นอย่างนั้นเอง .
โลกมันไม่สามารถที่จะตอบสนองตัณหาได้ พระพุทธบอกว่าแม้เปลี่ยนโลกทั้งโลก เป็นทองคำทั้ง ๗ โลกก็ยังไม่พอ คนมันก็อยากได้ไปเรื่อยๆ เป็นลักษณะของตัณหา แล้วเราเป็นทาสของมันมาไม่รู้เท่าไหร่ๆแล้ว .
แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ การเป็นแพทย์หรืออะไรอย่างนี้
โอเค ก็ยากจริง
แต่อาตมาว่ามันไม่ยากเท่ากับการเป็นพระนะ .
ทุกสังคมเราเกิดมา มันก็ต้องมีแพทย์ในกลุ่มคนนั้นใช่ไหม คนที่เก่งในการรักษา ไม่ว่าจะเป็นสังคมไหนก็ตาม ก็คือจะมีคนที่เป็นพวกรักษา แต่ว่าการที่จะเกิดมาพบกับพระนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย …
เรานึกดูในประวัติจะมีพระได้ ก็ต้องมีพระพุทธศาสนา แล้วก็ต้องมีการสอนพระธรรม แล้วก็ต้องมีพระสงฆ์ สถาบันสงฆ์ที่ยังอยู่
ของพระพุทธเจ้าโคดมของเรา ก็แค่ ๕๐๐๐ ปีนะ ๕๐๐๐ ปีอย่าคิดว่ายาวนะ ตอนนี้มัน ๒๕๐๐ กว่าปีแล้วนะ นี่เราเกินครึ่งมาแล้วนะแล้ว
เราไปทำอะไรอยู่
แล้วเราก็เหลืออีกแค่ครึ่งเดียว เหลืออีกแค่ ๒๕๐๐ แล้ว
อย่างพวกเรานี้ทำบุญเยอะอาตมาเชื่อ เดี๋ยวก็ทำบุญๆ ตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วรู้ไหมว่าวันหนึ่งของที่นู่นมันกี่ปีของที่นี่
วันหนึ่งของที่นู่น ๑๐๐ ปีของที่นี่ ฉะนั้นพวกโยมทั้งหลายไปเกิดชั้นดาวดึงส์ เอาไม่ต้องมากไปอยู่เดือนหนึ่ง ไปอยู่บนดาวดึงส์เดือนหนึ่ง ๓๐ วัน เท่ากับมนุษย์โลกเวลาเท่าไหร่รู้ไหม ๓๐ คูณ ๑๐๐ ก็ ๓๐๐๐ ปี ไปเพลินอยู่ในทิพย์สมบัติในชั้นดาวดึงส์ เที่ยวนันทวันดูนางฟ้าเดือนหนึ่งคิดว่านานไหม
ไม่นาน
กลับมานุษย์โลก ๓๐๐๐ ปี มีอะไรเหลือไหมพุทธศาสนา ไม่มีอะไรแล้ว ๒๕๐๐ ปีก็หมดแล้วนะ ไม่มีโอกาสแล้วจะปฏิบัติอะไร
จะมาต่อบุญยังไงนาบุญก็ไม่มี ธรรมะก็ไม่มีแล้ว คิดว่าจะไปไหนจะเพลินไปในสวรรค์ได้นานซักแค่ไหน ไม่มีแหล่งทำบุญพระสงฆ์ก็ไม่มี พระพุทธเจ้าก็ไม่มีคำว่าพุทธะยังไม่มีเลย หมดแล้ว ๒๕๐๐ …
ฉะนั้นสุดท้ายเทวดาส่วนใหญ่ก็ไปอบายภูมินะ
ก็เพลินหมด พอหมดบุญปุ๊บก็ไปอบายภูมิ สุขคติของเทวดาคือมนุษย์นะ เพราะมนุษย์มีโอกาสสร้างสมบุญได้
มีผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่เทวดา จะไปให้ทานที่ไหน หันไปหันมา ก็มีแต่ทานทั้งนั้นเลย จะไปให้ทานที่ไหนไม่มีๆให้ทาน .
ฉะนั้นก็คืออย่าประมาทว่ามันจะมีนะ
พระนี้จะหาได้ยากกว่า โอกาสที่จะมีการปฏิบัติธรรม เพื่อจะมีโอกาสที่จะบรรลุ เขาเรียกว่าไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากจริงๆ ที่จะได้มีโอกาสปฏิบัติ .
แล้วอีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็เป็นหมอที่เก่งที่สุดด้วยใช่ไหม ถ้าเปรียบเทียบพระพุทธเจ้ากับหมอคนอื่น หมอคนอื่นเปรียบเหมือน เวลามีหนองมีอะไรก็เอาอะไรมาซับอยู่ที่ผิว มันไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุไง
พระพุทธเจ้านี้เซาะเอาก้อนหนอง คว้านออกมาเลย เพราะว่าท่านแก้ที่ต้นเหตุ . อย่างหมอนี้ก็เกิดมาแล้วถึงค่อยแก้ เกิดมาแล้วเป็นโรคแล้ว พระพุทธเจ้านี้แก้ก่อนเกิดอีก ปัญหามันอยู่ที่เกิดมาแล้วมันก็แก่ เจ็บ ตาย
แต่ทำไมเราถึงเกิดเวียนว่ายอยู่อย่างนี้ เพราะไม่เห็นเหตุของการเกิด แล้วก็ไปอยากเกิดอีกมันไปแก้ที่ปลายเหตุ มันไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุจริงๆ .
พระพุทธเจ้านี้ท่านมองลึกมาก แล้วคิดตามอย่างท่านมันถียงไม่ขึ้นใช่ไหม
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วทำไมเราถึงไม่ทำอย่างนั้น
ก็คือเรายังโดนอวิชชาบังตาอยู่ … สำหรับอาตมาก็ไม่แปลกใจ ก็ค่อยเป็นตามระบบไป มีพระสูตรเยอะมากอ่านแล้ว เราก็คิดตามท่าน
มันก็เหมือนกับพระรัฐบาลนี้แหละ
ก็เห็นว่า สัมพาโธ ฆราวาโส ฆราวาสเป็นเพศที่คับแคบเป็นที่มาแห่งธุลี การครองเรือนในฆราวาสนี้ จะทำให้บริสุทธิ์ดุจสังข์ที่ขัดให้ขาวได้ยาก
อย่ากระนั้นเลย เราจึงปลงผมและหนวดแล้วออกบวชดีกว่า
ทางบรรพชาเป็นทางว่าง เป็นทางที่ปลอดธุลี มันง่ายที่จะรักษาศีลได้ง่ายกว่า …
แล้วถ้าโยมเอาศีลไปสมาทานดู โยมก็จะรู้ว่าอยู่ในฆราวาส มันรักษายากกว่านะ
รักษายากกว่า
มาบวชมาอยู่วัดมันรักษาง่ายกว่า
เพราะคนเขาก็ช่วยกันในการรักษาศีลกัน …
เพราะฉะนั้น เราก็เปรียบเทียบ แล้วก็ชั่งดูแล้วกันว่า อันไหนมันน่าปฏิบัติมากกว่ากัน ?
ช่วงตอบคำถาม ธรรมสาธยายสูตรหายใจ ตอน อริยทรัพย์ ๗ ที่สวนโมกข์กรุงเทพ
#พระอาจารย์มหากีรติ ธีรปัญโญ เจ้าอาวาสวัดป่าบุญล้อม จ.อุบลราชธานี
Cr. Achara Klinsuwan
“เครื่องวัดความเจริญของจิตใจ ขอให้เราดูว่า เรามีความเมตตากรุณามากขึ้น หรือน้อยลง มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น หรือน้อยลง
อันนี้แหละ… เป็นเครื่องวัดจิตใจของพวกเรา”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
..ความเพียรพยายามที่จะสร้างคุณงามความดีนี้เรียกว่าเป็นผู้ที่ขวนขวาย บางคนนั้นเป็นบุคคลที่ไม่เคยเข้าวัดเข้าวา ไม่เคยไหว้พระรับธรรม ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ทำวัตรสวดมนต์ ไม่ได้แผ่เมตตา ไม่รู้หน้ารู้หลัง เพราะไม่มีคนอื่นชักจูง ชักจูงไปในทางที่ดี ครูบาอาจารย์แต่ละวัดละวาทั้งหลายก็ดี ท่านได้เล่าเรียนมาตามหลักพระพุทธศาสนา ท่านก็ได้ชักจูงศรัทธาญาติโยมไม่ให้ประมาท ให้ตั้งใจสร้างคุณงามความดี ท่านก็ได้ชี้หนทางให้ อาจารย์ก็ดีเป็นนักปราชญ์ ญาติโยมไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชายก็ดี เป็นคนฉลาดรู้จักถูกจักผิด เรียกว่าเป็นบัณฑิตเป็นผู้มีความฉลาดชักจูงบุคคลที่ยังไม่รู้ รู้บุญรู้บาป รู้คุณรู้โทษรู้ประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์..
..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป.. วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
#โอวาทธรรม...หลวงปู่บุญส่ง . "เลี้ยงลูก...อย่า...ขัดใจเขา"
ให้เลี้ยงด้วยความเข้าใจ เลี้ยงด้วยเหตุและผล เลี้ยงให้อยู่กับความถูกต้อง ให้เหมาะให้ควร
พ่อแม่บางคน ตีลูก ว่าลูกดื้อลูกซน พอตีลูกแล้ว ก็ห้ามร้อง จะไม่ให้เด็กมันร้องได้ยังไงล่ะ ก็เด็กมันเจ็บ มันก็ต้องร้องสิ เราก็ต้องปล่อยให้เขาร้องออกมา เพื่อเป็นการระบายความเจ็บ ความอัดอั้น ที่อยู่ภายในใจเขา เด็กบางคน พ่อแม่บังคับจนเกินไป ก็เป็นผลเสียแก่ตัวเด็ก เพราะเด็กไม่สามารถทำอะไร ด้วยความคิดความชอบของตัวเองได้ เพราะพ่อแม่ มีแต่บังคับ เหตุนี้ เราจึงต้องเลี้ยงดูด้วยความรักความเข้าใจ อย่าบังคับจิตใจลูก...จนเกินไป
“เมล็ดข้าวที่เราจะปลูกมีน้อย เราต้องเลือกปลูกในนาดีๆ
ท่านเปรียบเทียบ การที่เราจะไปกราบไหว้พระ
ก็ต้องเลือกทำบุญกับครูบา อาจารย์ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ”
- หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
มาหาพระ ก็มาขอของดี มาขอน้ำมนต์ มาให้ผูกแขนให้ เราก็ว่าโอ๊ยทำไม่เป็น พระพุทธเจ้าสอนให้เอาธรรมะ ไปอบรมจิตใจนุ่น เอาธรรมะไปปลุกเสกจิตใจ ให้เป็นคนแข็งแกร่ง เป็นคนมีความอดทน เป็นคนขยัน นุ่นความสุขความเจริญถึงจะเกิดขึ้น ก็ไม่เอา ถ้าเราสอน ก็ว่าโอ๊ย หลวงพ่อนี้ดุ ใครจะไปดุถ้ามาดี อันนี้ไม่รู้อะไร ยังมีเอา พระมาให้เสกเป่าอีก หลวงปู่มั่นก็มี มาหาเราว่าหลวงปู่เมตตาเสก หลวงปู่มั่น ให้หน่อย โอ๊ย หลวงปู่มั่นใครจะไปเสก เราเป็นใครจะไปเสกหลวงปู่มั่น เราเป็นลูกเป็นหลานเคารพนับถือกราบไหว้อยู่ทุกเช้าเย็นยังจะให้เราไปเสกท่านอย่างนั้นรึ นี่ไม่เข้าใจ เข้ามาหาครูบาอาจารย์ก็จึงไม่เกิดประโยชน์ อย่างสูงสุด หาตั้งแต่ของดี มาแขวนเต็มคอ ถ้าใจไม่ดีซะอย่างอะไรมันจะไปดี พระพุทธเจ้าสอนให้ดูใจ ทำใจให้ดี เสกใจให้ดี อย่างนี้เป็นของดีที่วิเศษสุดแล้ว
โอวาทธรรม หลวงปู่ไสว สุวโจ วัดป่าสิริสาลวัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
คนอื่นเขาไม่ดีก็ช่างเขาปะไร เราจะไปเดือดร้อนทำไมกับความไม่ดีของคนอื่นใครเขาจะมาว่าอะไรตัว คำพูดนั้นออกจากปากใครก็เข้าหูคนพูดก่อนเราจะไปรับทำไมถ้าเราเป็นคนดีแล้วเราไม่ต้องไปรับรู้เจ็บร้อนอะไรใช่ไหมล่ะ รักษาความดีของเราไว้ให้สงบแน่วแน่มั่นคงน่านแหละเรียกว่าเราดีแน่จริงละใช่ไหม หือ?
โอวาทธรรม หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน คัดจากหนังสือ "เรื่องที่คุยกันกับลูกศิษย์
ถ้าเรารู้จักทำใจเฉย ๆ ปล่อยวาง ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น พอใจว่าได้ฝึกหัดมีสติอยู่ทุกวัน ๆ ได้ขัดเกลาอยู่ทุกวัน ๆ นั่นแหละ วันหนึ่งมันก็ได้ผลเอง การได้เจริญสติ ได้ฝึกหัด ในที่สุดก็จะมีจิตใจที่ตั้งมั่น จิตใจเมื่อมีสติสัมปชัญญะดีขึ้น ก็จะรวมตัวไม่ออกไปข้างนอกมาก จะรวมรู้เข้ามาสู่ภายใน รู้ในกายในใจตัวเอง
พวกนักปฏิบัติก็ลองสังเกตสภาพจิตใจ พอจิตรู้สึกเบาสบายขึ้น ผ่องใสขึ้น สงบ แม้ว่ามันก็ยังมีวุ่น ๆ อยู่บางครั้งบางขณะ ก็ถือว่าเป็นธรรมดาก็ดูไป ใจมันจะร้อนก็รู้ ใจมันเย็นลงก็รู้ สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ คิดนึกก็รู้ มันเป็นธรรมทั้งหมด
ความคิดนึกก็เป็นธรรม เป็นธรรมชาติที่จะต้องตามดู ตามรู้ความนึกคิด ความตรึกอยู่เสมอ ๆ แล้วจิตใจเขาก็ประกาศ ตัวของเขาเองว่า เขาไม่เที่ยง
จิตนี่มันประกาศตัวของมันเอง อยู่ตลอดเวลาว่า ไม่เที่ยง เราก็จะคอยไปบังคับให้มันเที่ยงอยู่ ให้มันได้อย่างใจ ให้มันคงที่ เขาก็ประกาศตัวของเองว่า เขาไม่เที่ยงนะ เขาเกิดดับนะ เขาบังคับไม่ได้นะ เขาไม่ใช่ตัวตนนะ
สภาวธรรมทั้งหลาย มันประกาศตัวมันเองยู่ตลอด ประกาศว่าไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้ ไม่เที่ยง เราก็จะไปบังคับให้มันเที่ยงให้ได้ จะให้มันได้อย่างใจให้ได้ มันก็เลยสวนทางกับ ความเป็นจริง ไม่เห็นความจริง
ความจริงเขากำลังเปิดเผยอยู่ ไม่ดู ไม่ยอมรับ แล้วจะไปเอาอะไร จะไปทำเพื่ออะไร ทำก็เพื่อให้เห็นความจริงของธรรมชาติ ของจิต ของกายว่า มันเป็นสภาพที่ไม่เที่ยง คือเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมชาติที่เป็นทุกข์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ เป็นธรรมชาติที่บังคับไม่ได้ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เขาก็ประกาศความเป็นอย่างนี้ อยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นก็จงดู รู้ และยอมรับ กับความเป็นจริงของธรรมชาตินี้
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์ ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ (หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี) เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
|