Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ความยึดมั่น

อาทิตย์ 27 พ.ย. 2022 10:07 pm

“ความรักก็เป็นความกระเพื่อมจิตกวนจิต ความชัง ความเกลียด ความโกรธ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ก่อกวนจิตให้ผิดจากปกติเดิมของตน
.
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงต้องชำระและสอนให้ชำระ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำจิตให้ไหวอยู่เสมอ ไม่เป็นปกติ ถ้าเป็นน้ำก็ถูกกวน หาความสงบหาความนิ่งหาความใสไม่ได้ เพราะถูกรบกวนเสมอ
.
จิตใจที่หาความสงบเย็นเป็นของตัวไม่ได้ ก็เพราะถูกกวนจากความรักความชังความเกลียดความโกรธ และการเสาะแสวงหาสิ่งเหล่านี้จากความผลักดันภายในจิต ให้เป็นไปอยู่โดยสม่ำเสมอไม่ขาดวรรคขาดตอน
.
จิตจึงเป็นเจ้าเรื่อง ทั้ง ๆ จิตนั้นไม่ต้องการเป็นเจ้าเรื่อง แต่สิ่งที่มาเคลือบแฝงจิตอันเป็นยาพิษให้ผิดปกตินั้นเป็นเจ้าเรื่อง จึงต้องก่อแต่เรื่องแต่ราวภายในจิตใจของสัตว์ของเราของท่านอยู่เสมอ"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๘ ตุลาคม ๒๕๒๔






ความยึดมั่นถือมั่นในตัวของเรา ก็เหมือนก้อนหินหนัก พอคิดว่าจะปล่อย ตัวเราก็เกิดความกลัวว่า ปล่อยไปแล้วก็จะไม่มีอะไรเหลือ

แต่ในที่สุด เมื่อปล่อยมันไปได้ เราก็จะรู้สึกเองถึงความเบาสบาย ในการที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น

#หลวงปู่ชา #สุภทฺโท







"...อย่าส่งจิตใจไปอื่นนอกจากกายกับจิต ให้เกินกว่าเหตุ จะเสียเวลา ทั้งจะนำความกังวลเดือดร้อนมาเผาผลาญเราเปล่า ๆ
และขอแนะนำย้ำอีกว่า... อย่าแสวงหาสันติธรรมคือพระนิพพาน
นอกไปจากกายกับจิต

ปัจจุบันเป็นบ่อเกิดแห่งบุญแลบาป อดีตอนาคตไม่ใช่บุญแลบาป และมิใช่บ่อเกิดแห่งบุญแลบาป ปัจจุบันนี้เองเป็นตัวบุญตัวบาป เมื่อเรารักษาจิตให้อยู่ในปัจจุบัน ด้วยความมีสติแล้ว
กิเลสบาปธรรมที่ไหนจะเลื่อนลอยมาครอบงำจิตให้เราได้รับความเดือดร้อนเล่า

เหตุที่เราจะเดือดร้อนขุ่นมัว ก็เพราะปล่อยจิตให้คว้าโน่นคว้านี่
ไม่อยู่เป็นสุข คือคว้าอดีต-อนาคต ซึ่งเหมือนน้ำลายถ่มทิ้งแล้ว
คว้ากลับเข้ามาใส่ปากอีก ย่อมน่าสะอิดสะเอียนต่อลิ้นไม่น้อยเลย อารมณ์หรือสิ่งที่ชั่วอะไรก็ตามที่ผ่านพ้นไปแล้ว เราก็รู้แล้วว่าไม่ดียังคว้ากลับคืนมาเผาจิต อันนี้ยิ่งร้ายกว่าน้ำลายที่ถ่มทิ้งเสียอีก เลยหาความเย็นไม่ได้เลย

เราอยู่ดีกินดีอย่าหาเรื่องใส่เรา เราต้องการจะให้ไฟดับ ต้องไสฟืนออก แล้วไฟจะค่อยดับเอง จิตถ้าได้เชื้อ คือ อดีต อนาคต เป็นปัจจุบันหนุนหรือส่งเสริมอยู่แล้ว ก็จะไปกันใหญ่เหมือนไฟได้เชื้อฉะนั้น ดังนั้น จึงควรรักษาจิตให้มีอารมณ์ที่ดีเป็นเครื่องดื่มโดยปัจจุบัน ก็นับวันจะสงบสบายคลายจากสิ่งที่เป็นข้าศึก
จะมีแต่ความสงบสุขทุกอิริยาบถ จึงจะสมนามว่าผู้ฉลาดทรมานจิตให้หายพยศได้

อนึ่ง สัตว์พยศเขายังทรมานได้ ธรรมดาจิตเมื่อมีกิเลสก็ต้องมีพยศ เราจะหักห้ามหรือทรมานให้จิตหายพยศไม่ได้ จะเรียกว่าคนฉลาดที่ตรงไหน เมื่อเราทรมานจิตได้มากน้อยก็ชื่อว่าเป็นคนฉลาดโดยลำดับ จนถึงเรียกว่าเป็นคนฉลาดได้ยอดนักปราชญ์ เอวํ สวัสดี..."

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เทศนาธรรม ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๙๙
ตอบกระทู้