Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

พรปีใหม่

อาทิตย์ 30 ธ.ค. 2018 5:19 am

วันนี้ขึ้นปีใหม่แล้วก็เลยอยากจะเทศน์ให้ฟังเสียหน่อย ทุกคนที่เกิดมามันมีการเปลี่ยนแปลงยักย้ายไปตลอดอายุของเรา ความแก่ของเรานั่นน่ะมันหมดไป ๆ แต่ว่าวัน เดือน ปีนั้นมันของเก่าอยู่ คนยังพากันไปตื่นเงาตนเองเห็นว่าปีเก่าหมดไป ปีใหม่มาเลยตื่นเต้นกัน อยู่กรุงเทพฯ ก็พากันมาถึงวัดหินหมากเป้งนี่ มาขอพรปีใหม่ มาขอให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ขอให้มีอายุยืนนาน อันความหลงของคนมันหลงอยู่อย่างนี้แหละ หลงเงาตนเอง

ขอให้มี อายุ ยืนนาน อายุมันจะยืนอย่างไร มันก็หมดไปทุกที ๆ เหมือนกันกับที่เขาทอหูกทอผ้า ข้างหน้ามันสั้นเข้าทุกที ๆ บางคนก็จวนจะหมดแล้ว แล้วจะเอาอายุที่ไหนมาต่อให้ มาขอพรจากพระ พระจะเอาอายุที่ไหนมาต่อให้ อายุของพระก็หมดไป ๆ เหมือนกัน ต่างคนต่างหมดไปด้วยกันจะไปให้กันได้อย่างไรล่ะ

ขอให้มี วรรณะ คือผิวพรรณงาม ก็อาหารนั่นแหละให้ผิวพรรณ ขออายุกับขอวรรณะก็อันเดียวกัน มันได้จากอาหาร มาขอผิวพรรณผ่องใสบริสุทธิ์จากพระ ครั้นหากว่าพระให้ ทีนี้พระจะไปเอาที่ไหนมาให้ ผิวพรรณวรรณะมันเกิดจากอาหาร

ขอให้มี ความสุข มันจะสุขที่ไหน? มาขอจากพระก็จะได้จากที่ไหนความสุข ความสุขอันที่ขอได้นั่นมันมีอย่างหนึ่ง คืออาหาร นั่นแหละขอความสุขได้ อาหารทำให้มีความสุขสบาย ถ้าอาหารไม่มี อาหารไม่ตกถึงท้องละก็ หมดเหมือนกันความสุข ไม่มีความสุข แต่พระก็ยังขออาหารจากชาวบ้านฉันอยู่ แล้วจะเอาความสุขมาให้ญาติโยมได้อย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาว่า ความสุขไม่มีในโลกนี้ มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นแล้วดับไป ทุกข์อันนี้เกิดขึ้นมาใหม่ แล้วทุกข์อันนั้นดับไป ทุกข์ใหม่เกิดขึ้นมาอีก เมื่อเห็นตามเป็นจริงอย่างนี้แล้วก็หมดเรื่อง ไม่ต้องไปขอความสุขจากใคร

ขอ พละ กำลัง ก็อันเดียวกัน ได้อาหารมีรสชาติดี มันก็ได้กำลังวังชา ทำมาหากินเลี้ยงชีพได้

พร ๔ ประการนั้นไม่ทราบจะไปขอจากใคร ตื่นเงาเจ้าของ คือตัวของเราเองนั่นแหละ มันเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ๆ เข้าใจว่าปีใหม่ เดือนใหม่ จะทำให้มีความสุข มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ๔ประการนั่น วัน เดือน ปี มันจะเอาอะไรมาให้ ตื่นโดยไม่รู้ด้วยซ้ำ ไม่มีใครให้แต่ว่าพากันตื่นเอา เข้าใจกันว่าเอาพรมาได้จากปีเดือน ปีเดือนมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา เราเกิดขึ้นมาก็เห็นว่ามันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ปีหมดไป เดือนหมดไป มันหมดไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ เราสมมุติว่ามันหมด แต่อันที่จริงมันไม่หมดหรอก มันหมุนเวียนอยู่อย่างนั้นตลอดเวลามา วันหมุนไปหาเดือน เดือนหมุนไปหาปี มันเวียนกันไป

แท้จริงวันมันก็ไม่ได้เรียกตัวมันว่าวันหรอก วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์ มันไม่ได้เรียกของมัน เดือนก็ไม่เรียกของมันว่าเดือนเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม ฯลฯ มันไม่ได้เรียกไม่ได้พูด เราไปใส่สมมุติชื่อเอาเฉย ๆ ปีก็ไม่ได้เรียกตัวมันเองว่า ปีชวด ฉลู เถาะ มะโรง ฯลฯ ไม่ได้พูด คนพูดเรียกเอาสมมุติเอาเองต่างหาก ความจริงตัวของเรานี้ต่างหากที่มันหมดไป ไม่ใช่วันเดือนปีหมดไป ครั้นมองเห็นตัวของเราหมดไปแล้ว ไม่ต้องตื่นเต้นกับของพรรค์นั้น ไม่ต้องตื่นเต้นกับวันใหม่ ปีใหม่ อันนั้นมันหมุนไปตามเรื่องของมัน วันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง อันนั้นเป็นสมมุติบัญญัติขึ้นมา

อันที่เราควรจะตื่นเต้นนั่น ควรตื่นเต้นที่ตัวของเราว่าวันหนึ่งๆ เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง เราเจริญขึ้น หรือว่าเราเสื่อมลงอันนั้นต่างหาก เราเห็นความเสื่อมความเจริญของเรา แท้จริงร่างกายของเรามันเจริญขึ้นไม่มีหรอก มีแต่เสื่อมลง มันเกิดขึ้นมาแล้วก็เสื่อมลงทุกทีๆ มันเสื่อมตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดาโน่น มันแก่คือความเสื่อม ถ้าหากมันไม่แก่ มันก็ไม่คลอดออกมา คลอดออกมาแล้วก็แก่วัน แก่เดือน แก่ปี โดยลำดับ จนกระทั่งแก่เฒ่าชรา แล้วผลที่สุดก็มรณะคือตาย อันนี้เป็นความแก่ของร่างกาย

ความแก่ของจิตใจคราวนี้ ร่างกายนี้เราอาศัยมันอยู่เฉยๆ เท่านั้น มันไม่ใช่เรา ควรมองดูจิตใจของเรา ทำใจของเรา ให้มันแก่ขึ้น

ทำใจให้แก่คืออย่างไร? คือทำใจของเราให้แก่กล้าด้วยคุณธรรม อันนั้นเป็นของเราอย่างแท้จริง วันหนึ่งๆ เราคิดถึงการทำทานหรือไม่? เราคิดถึงการทำทานกี่ครั้ง เราคิดถึงการรักษาศีลหรือไม่? และเราคิดถึงการทำสมาธิเพื่อฝึกหัดทำใจให้สงบ ทำใจให้เบิกบานหรือไม่? คุณธรรมเหล่านี้แหละที่ควรทำให้มันแก่ขึ้นในใจของเรา

การทำทาน เป็นผลให้จิตใจอิ่มเอิบเบิกบาน การที่จิตใจอิ่มเอิบเบิกบานมันเป็น อายุ วรรณะ สุขะ พละ ตรงนั้นแหละจิตใจเบิกบานแล้วกายมันก็เบิกบาน สุขะมันเกิดขึ้น วรรณะมันก็เกิดขึ้นมาด้วยกัน มีความอิ่มอกอิ่มใจในการที่เราทำบุญ ทำทานวันหนึ่งๆ เราทำทาน มันอิ่มใจขึ้นมาทุกวัน ก็ได้ชื่อว่าเป็นของเราแล้วอันนั้น

การรักษาศีล ศีลเรามีกี่ตัวในตัวของเรา ศีล ๕ ได้แก่

๑. เจตนางดเว้นจากการฆ่า

๒. เจตนางดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้

๓. เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดมิจฉาจาร

๔. เจตนางดเว้นจากการกล่าวเท็จ กล่าวคำไม่จริง

๕. เจตนางดเว้นจากการดื่มสุรายาเมา

เรามีครบไหมในตัวของเรา ถ้าไม่ครบก็ทำให้ครบขึ้นมา สมมุติว่าปีนี้มีแล้ว ๑ ตัว ปีหน้าต้องมีอีก ๑ ตัว ก็ได้ศีล ๒ ตัวแล้ว ปีต่อไปก็ได้ศีล ๓ ตัว ปีต่อๆ ไปก็มีศีล ๔ ตัว ๕ ตัว ๕ ปีเราก็ได้ศีลครบบริบูรณ์ในตัวของเรา อันนั้นแหละจิตใจเจริญขึ้น มันแก่ขึ้น ครั้นมีศีลครบบริบูรณ์แล้ว ใจก็อิ่มเอิบเบิกบาน มีความสุข มีสุขะ วรรณะ มันก็เกิดขึ้นมา พละก็มีขึ้นทั้งกำลังกายกำลังใจ มันก็มีอายุ ทำให้อายุยืนได้เหมือนกัน ตกลงมีครบบริบูรณ์แล้ว

คนมีศีล ๕ บริบูรณ์ทำให้อายุยืนได้ อย่างเช่นในสมัยหนึ่งตระกูลของธรรมบาลนั้นเขารักษาศีล ๕ หมดทุกคน ในตระกูลของเขานั้นถ้าคนอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปีไม่ตาย ธรรมบาลไปเรียนหนังสือในทิศาปาโมกข์ เห็นเด็กคนอื่นตาย ญาติพี่น้องพ่อแม่มาร้องไห้ ธรรมบาลเห็นแล้วก็หัวเราะ คนถามว่า “ทำไมจึงหัวเราะ” ธรรมบาลตอบว่า “คนในตระกูลของฉันนั้นอายุยังไม่ถึง ๑๐๐ ปี ไม่ตายหรอก” ครูของธรรมบาลก็มาคิดดู เอ! มันจะเป็นจริงได้หรือ? จึงทำอุบายเอากระดูกแพะมาเผา แล้วห่อผ้านำไปให้พ่อแม่ของธรรมบาล ร้องไห้ร้องห่มไป เมื่อถึงบ้านก็ร้องไห้อีก พ่อแม่ของธรรมบาลถาม “ร้องไห้เรื่องอะไร?” ครูตอบว่า “ที่ท่านเอาลูกไปฝากไว้ในสำนักขอข้าพเจ้านั้น ลูกของท่านตายแล้ว” พ่อแม่ของธรรมบาลก็หัวเราะอีก ครูถามว่า “ทำไมจึงหัวเราะ?” ตอบว่า “ลูกฉันไม่ได้ตาย กระดูกนี้ไม่ใช่กระดูกลูกของฉัน อายุของเขายังไม่ถึง ๑๐๐ ปี ลูกของฉันยังไม่ตายหรอก” ครูก็แจ้งชัดขึ้นมาในใจว่า โอ! ตระกูลนี้เป็นอย่างนี้จริงๆ

นั่นแหละการรักษาศีล ๕ ให้ครบมูลบริบูรณ์ มีอายุยืนนานได้เหมือนกัน ลองดู แม้อายุจะไม่ถึง ๑๐๐ ปี แต่ก็มีอายุยาวนานกว่าปรกติธรรมดา การรักษาศีลทำให้อายุยืน เพราะมันทำให้จิตใจแจ่มใสเบิกบาน ไม่คิดถึงสิ่งทั้งปวงหมด เมื่อเรามีศีล ๕ ครบสมบูรณ์ ก็ไม่มีการฆ่าสัตว์, ไม่มีการลักขโมยของคนอื่น ฯลฯ คือ ความชั่วไม่เกิดขึ้นในตัวของตน จิตใจมันก็ผ่องใสเบิกบาน อายุก็ยืนยาวนานเท่านั้นเอง

จึงควรตื่นอย่างนี้ ตื่นความดีของเราดีกว่าว่า เราได้ทำดีแล้ว แต่ก่อนไม่เคยมีศีล ๕ เวลานี้เรามีแล้ว ตื่นอันนี้แหละดีกว่าตื่นตามธรรมดาที่เขาตื่นปีใหม่กันในบ้านในเมืองนั้น อันที่เขาตื่นนั้นมันตรงกันข้ามกับที่อธิบายมานี้ ตื่นมากินเหล้าเมาสุราเฮฮากันไปทั่วทุกแห่งหน เสียทรัพย์สินเงินทอง กระโดดโลดโผนในที่สุดขับรถขับราไปเที่ยวเลยรถคว่ำ หรือเกิดทะเลาะวิวาททุ่มเถียงกัน เลยหัวร้างข้างแตก บางทีถึงกับตาย ปีหนึ่งๆ คนตายเพราะตื่นเต้นปีใหม่นั้นจำนวนเท่าใด? อย่างนั้นไม่ได้ตื่นในตัวเรา มันตื่นของภายนอก มันเลยหลงลืมตัวไปเพลิดเพลินมัวเมาไป ทีนี้เลยไม่ตื่นในตัวของเรา มันเป็นอย่างนั้นแหละ

ดังนั้น ความตื่นในตัวของเรานั้นเป็นของดีมาก เป็นเหตุให้รู้สึกตื่นตัว ทำความดีทั้งทางกายและทางใจ อย่างเช่นเราไม่เคยมีศีลเลยสักตัว ปีนี้เอาให้มันได้ศีลตัวหนึ่ง ปีต่อไปได้อีกเป็น ๒ ตัว พอ ๔ ปี ๕ ปี ก็ได้ศีล ๕ ครบบริบูรณ์ ก็มีความอุ่นใจแล้ว สบายใจแล้วคราวนี้

เมื่อมี ศีล สมบูรณ์แล้ว ต่อไปก็ตื่นทำสมาธิ หัดทำสมาธิภาวนา จิตใจยังไม่ทันเป็นสมาธิ ก็หัดให้เป็นสมาธิ จิตใจแน่วแน่สงบลงเป็นหนึ่ง มันยังไม่ทันเป็นจึงต้องหัด หัดให้มันเป็นภาวนา ปีนี้ได้แค่นี้ ปีหน้าให้ได้ต่อจากนี้ไปอีก ทำสมาธิให้ได้แน่วแน่ปีต่อไปให้ได้ชำนิชำนาญกว่านี้อีก ทำสมาธิได้บ้างไม่ได้บ้าง มันส่งส่ายวอกแวกไปมาสารพัดทุกอย่าง ทำทีแรกมันเป็นอย่างนั้น ก็ดีอยู่เราเห็นจิต ดีกว่าไม่เคยเห็นจิตเสียเลย ทีหลังต่อไปให้มันแน่วแน่ลงไป ปีหนึ่งทำสมาธิให้ได้สักครั้งหนึ่งก็ยังดีอยู่ ดีกว่าที่เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้หัดสมาธิเลย ไม่ทราบว่าเกิดมากี่ภพกี่ชาติ ยังไม่เคยทำสมาธิสักที ชาตินี้ทำให้มันได้สักครั้งหนึ่งก็ยังนับว่าดีอยู่ ปีต่อไปก็หัดให้มันได้บ่อยเข้า หัดให้มันชำนิชำนาญคล่องแคล่วเข้า ทำให้มันได้เป็นขั้นเป็นตอนไป จนกระทั่งมันชำนาญ ทำเวลาใดให้มันได้เวลานั้น อันนั้นเรียกว่าต่ออายุ ต่อวรรณะ สุขะ พละ ขึ้นไป นี่แหละของที่ควรตื่น ควรตื่นทำสมาธิภาวนา

ถ้าหากไม่เช่นนั้นจิตใจของเรามันอยู่เสมอภาค อยู่เสมอเก่าลองคิดดูคนเรานั้นจะเป็นคนแก่หรือคนหนุ่มก็ตาม จะมองเห็นได้ง่ายๆ ว่าจิตใจไม่รู้จักแก่ ในเวลาเราฝันจะรู้จักหรอกว่า มันแก่หรือไม่แก่ในตัวของเรา จิตใจมันยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ แต่ภายนอกนั้นคนอื่นเห็นกันหมดแล้วว่าแก่พอแล้ว เขาเรียกว่าตา ว่ายาย ว่าป้า ว่าลุง อะไรต่างๆ ร่างกายมันแก่เขาจึงเรียกว่าป้า ว่าลุง ว่าตา ว่ายาย เขาเห็นกันหมดทั้งเมืองว่าแก่ แต่ในใจไม่มีใครเห็นหรอก ตัวเราเองเห็นง่ายๆ ทีเดียว เวลาฝันยังหนุ่มฟ้ออยู่ทุกคน ไม่ทราบว่ามันเป็นอย่างไร มันถึงไม่แก่ หัดให้มันแก่บ้างซิ ร่างกายแก่ขึ้นมาแล้ว ก็หัดจิตหัดใจให้มันแก่อย่างเขาบ้าง จิตใจนี้ถ้าหากไม่หัด มันก็ไม่แก่เองสักทีหรอก

ทางโลกนั้นสิ่งใดเกิดมามันแก่หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ลูกหมากผลไม้มันก็แก่ไปตามกาลเวลาของมัน แต่คนนี่จิตใจไม่มีแก่เลยเป็นหนุ่มอยู่ตลอดเวลา เหตุนั้นคนตายไปจิตใจก็อยู่สภาพเดิมของมัน ถึงไปเกิดใหม่รูปร่างเป็นเด็กเล็ก แต่จิตใจมันก็เท่าเก่า มีโลภ โกรธ หลง เท่าเก่า เดี๋ยวนี้เราเป็นอุบาสก-อุบาสิกา เป็นพระเป็นเณร อันนี้มันแก่ขึ้นมาแล้ว ไม่เป็นฆราวาสอย่างเก่า เมื่อเราเป็นอุบาสกอุบาสิกามันก็ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลงอย่างเขา ทำอะไรก็ระมัดระวังอยู่ในขอบเขตของศีลธรรม อันนั้นแหละใจมันแก่ขึ้นมาแล้ว

หัดทำสมาธิภาวนาให้มันได้ให้มันเป็น อย่างเป็นแต่คนหนุ่มเรื่อยไป ทำให้มันแก่ขึ้นมาหน่อย เมื่อมันแก่ขึ้นมาอย่างที่อธิบายให้ฟังแล้ว มันจะพ้นทุกข์แล้วคราวนี้ เปรียบได้กับลูกไม้ผลไม้เกิดมาทีแรกมันยังดิบๆ อยู่ ยังอ่อนอยู่ เช่น มะม่วงพอออกมาเป็นลูกเล็กนิดเดียว ลองไปชิมดูซิขมจัดทีเดียว ครั้นแก่ขึ้นมาก็ค่อยฝาดขึ้น แก่ขึ้นมาอีกก็ค่อยมีรสมันขึ้นมาหน่อยรสฝาดหายไป แก่ขึ้นมาอีกก็ค่อยหวานขึ้นมาตามลำดับ เมื่อมันแก่จัดก็หลุดล่วงลงไป หมดสภาพของลูกไม้ที่ยังสดๆ มันก็หวานน่ะซี มันควรที่จะหวานมันก็หวาน อย่างนั้นมันแก่หมดสภาพไป

ส่วนคนเราเมื่อแก่เข้าอายุมากเข้า ถ้าหากว่าเราไม่ฝึกหัดอบรม จิตใจของคนเราไม่มีแปรสภาพเลย ยังมิหนำซ้ำมันเลวร้ายไปกว่านั้นอีก กลับไปเป็นเด็กอีก คนแก่คนเฒ่าเลยไม่รู้จักแก่เฒ่า กลับเป็นเด็กไปเสียอีก

นี่พูดถึงเรื่องปีใหม่ ที่เขาสมมุติบัญญัติว่าปีใหม่ แท้จริงไม่ใช่ของใหม่หรอก ของเก่านั่นแหละ ตะวันขึ้นก็ของเก่า ตะวันตกก็ของเก่า วันหนึ่งๆ ก็คือตะวันขึ้นจนถึงตะวันตก เรียกว่าวันหนึ่ง แล้วก็มากำหนดจดจำกันว่า ๓๐ วันก็เป็นหนึ่งเดือน ๑๒ เดือนก็เป็นหนึ่งปี อันที่จริงก็เท่าเก่านั่นแล้ว ตะวันขึ้นแล้วก็ตะวันตก สมมุติบัญญัติไปเท่าไรๆ มันก็ของเก่า ส่วนที่เป็นของจริงนั้น มันคร่าชีวิตอายุของเราต่างหาก อายุชีวิตของเรามันหมดไปๆ

คำปริศนาโบราณท่านว่าไว้ “ยักษ์ตนหนึ่งมีตา ๒ ข้าง ข้างหนึ่งริบหรี่ ข้างหนึ่งลืมโพลง มีฟันอยู่ ๓๐ ซี่ บดเคี้ยวกินสัตว์หมดปฐพี” ท่านว่าอย่างนั้น “ตาข้างหนึ่งริบหรี่ข้างหนึ่งลืมโพลง” ท่านหมายถึงเดือนดับและเดือนเพ็ญนั่นเอง “มีฟัน ๓๐ ซี่” ก็คือมี ๓๐ วันคือหนึ่งเดือน “เคี้ยวกินสัตว์หมดปฐพี” ทุกคนต้องเป็นอย่างนั้น ยักษ์ตนนี้กินหมด คนไหนเกิดขึ้นมามันก็เคี้ยวกินหมดทุกคนๆ หมายความว่าอายุหมดไปสิ้นไป แต่เราไม่รู้ตัว

เอาละเท่านั้นแหละ เอวํ

พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๗







พรปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๒

"ทำดี พูดดี คิดดี
อายุ อณฺโณ สุขํ พลํ"

พระญาณวิสาลเถร (หลวงปู่หา สุภโร)
วัดสักกะวัน (ภูกุ้มข้าว) อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธ์ุ






มนุษย์ ๗ จำพวก

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ณ วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร
พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๑๘

มนุษย์ทั้งหลายมี ๗ จำพวก มนุษย์มี ๗ อย่าง

มนุสสติรัจฉาโน ทำไมจึงว่ามนุสสติรัจฉาโน
ดูซิ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน
คือมันขี้เกียจขี้คร้าน รับอาหารแล้วก็นอน
ไม่รู้จักการกราบ ไม่รู้จักการไหว้ ไม่รู้จักการรักษาศีลภาวนา
ทำบุญให้ทานอะไร เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานน่ะ
มนุษย์เช่นนั้นแหละตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ดูเอาซิ พิจารณาเอาซี ร่างกายเป็นมนุษย์แต่หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน

มนุสสเปโต ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่หัวใจเป็นเปรต
มันมีแต่โมโหโทโส อยากฆ่า อยากฟัน
ความทะเยอทะยานดิ้นรน มีพยาบาทอาฆาตจองเวร
ดูซิ ใจมันมีอาฆาต นี่แหละมนุสสเปโต
ร่างกายเป็นมนุษย์ เมื่อดับขันธ์ไปแล้วก็ไปเป็นเปรต

มนุสสนิรเย ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นนรก
หัวใจเป็นนรก คือมันมืด มันกลุ้มอกกลุ้มใจ ให้ทุกข์ให้ร้อน
ดูเอาซิ นั่นแหละนรก ดับขันธ์ไปแล้วก็ไปนรกซี่
ได้รับความทุกข์ยากความลำบากรำคาญ นี่มนุษย์เช่นนี้
ทีนี้ถ้าไม่ไปเป็นอย่างนั้น เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า
หัวใจต่ำช้า อย่างอธิบายมาแล้ว ต่ำช้ายังไงล่ะ
เป็นใบ้บ้าเสียจริต หูหนวกตาบอด ปากกืด กระจอกงอกง่อย
ขี้ทูดกุฏฐัง ตกระกำลำบาก แน่ะ มนุษย์หัวใจเป็นยังงั้น
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์อีกก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า
ดูซิ ใจเราทุกคน ไม่ว่าพระว่าเณร ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย
เอ้าดู อธิบายให้ฟัง ถ้ามันเป็นอย่างนั้นเราไม่ต้องการก็เลิกก็ละเสีย
ให้รู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักผิดรู้จักถูก รู้จักฟัง อธิบายให้ฟัง

มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นเทวธิดา เทวบุตร
หัวใจมีทาน มีศีล มีภาวนา รู้จักเคารพนอบน้อม รู้จักกราบรู้จักไหว้
ใจมีหิริโอตตัปปะ ละอายบาป กลัวบาป ใจเบิกบาน ใจสว่างไสว ใจดี
ดับขันธ์ก็ไปเป็นเทวบุตรเทวธิดา เรื่องเป็นอย่างนั้น ดูเอาซิ

มนุสสพรหมา ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม หัวใจเช่นใด
มีพรหมวิหาร มีพรหมวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่
หัวใจว่างไม่มีอะไร เหมือนกะอากาศนี้แหละ ว่างเปล่าหมด
เหลือแต่อรูปจิต ดับขันธ์ไปเป็นพรหม ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม
อยากรู้ก็ดูเอาซิ ที่อยู่ของเราเป็นอย่างนี้ มนุษย์ทั้งหลาย

มนุสสอรหัตโต ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระอรหันต์
คือละกิเลส ละตัณหา กิเลสคือใจเศร้าหมอง
ตัณหาคือใจทะเยอทะยานดิ้นรนกระวนกระวาย
ท่านละกิเลสตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา
ตัณหาอุปาทาน ภพชาติ ละขาดในสันดาน ไม่มีสิ่งเหล่านี้ในจิตใจ
เมื่อดับขันธ์ไปก็เข้าสู่นิพพาน ดับทุกข์ในวัฏสงสาร
ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็เป็นแต่มนุษย์ ได้แต่มนุษย์ซิ

เราจึงมาฝึกหัดอบรมบ่มนิสัยของเรา เพ่งเล็งดูซิ
เราอย่าดูอื่น เรานั่งอยู่ก็นั่งดูใจของเรา ไม่ได้ดูดินฟ้าอากาศนะ
ใจของเรามันเป็นอย่างไร เหมือนที่อธิบายให้ฟังไหมล่ะ
มันไม่ดีตรงไหนก็แก้ไขซิ ทีนี้

มนุสสพุทโธ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรานี้
ว่าเรื่องภพเรื่องชาติของท่าน บิดามารดาของท่านก็มี
บุตรภรรยาท่านก็มี ท่านเป็นมนุษย์ครือเรานี่แหละ
แต่ท่านประพฤติปฏิบัติ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
เป็นสยัมภู ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
ไม่มีบุคคลผู้ใดหรือใครแนะนำพร่ำสอน รู้ด้วยตนเองเป็นสยัมภู
รู้แจ้งแทงตลอดหมดซึ่งสารพัดเญยยะธรรมทั้งหลาย ไม่มีที่ปกปิด
สัตว์ทั้งหลาย ตนของท่าน บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ญาณความรู้ความเห็นในบุพพชาติเบื้องหลัง
เป็นอะไรๆ มา ท่านรู้หมด เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
จุตูปาตญาณ จุติจากนี้ไปอยู่ในภพชาติใด ภพน้อยภพใหญ่ ท่านรู้หมด
คือเหมือนอธิบายให้ฟังนี้ อาสวักขยญาณ สิ้นจากภพจากชาติท่านก็รู้หมด

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร







เรื่อง "พระเวสสันดรบริจาคลูกเมียเป็นทาน"

(วิสัชนาธรรมโดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขาลูกดูโทรทัศน์เรื่อง พระเวสสันดร ดูแล้วก็สงสารจับจิตจับใจ นึกถึงพระพุทธเจ้าว่าจะบำเพ็ญบารมีทั้งที ทำไมถึงทำให้ภรรยาเดือดร้อน ลูกชายเดือดร้อน ลูกสาวเดือดร้อน ทานบารมี ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเราจะได้ผลสมบูรณ์แบบหรือเปล่าเจ้าคะ ?

หลวงพ่อ : ได้...สมมุติว่าคนอื่นเขาเก็บสตางค์ไว้แสนบาท เราก็ขโมยไปแสนบาท เราก็มีความสุขแต่เจ้าของสตางค์ก็เดือดร้อน ใช่ไหม...เรื่องนี้เป็นของ พระโพธิสัตว์ ถ้าหากว่าไม่ได้บริจาคลูกเมียให้เป็นทาน ไม่สามารถจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณได้ มีความจำเป็น

ความจริงเรื่องความเดือดร้อนเป็นกฎของกรรมเก่า แต่ความจริงเทวดาเขาช่วยอยู่แล้วนะ แต่เรื่องกฎของกรรมไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ อย่าง กัณหา และ ชาลี ท่านยกให้ ชูชก ใช่ไหม...ความจริงชูชกควรจะถนอมน้ำใจเด็ก กลับมัดมือแล้วก็เฆี่ยนตี มันเป็นกฎของกรรมเดิม อยากทราบไหมล่ะ.?

ผู้ถาม : แหม...ดีครับ ยังไม่มีใครเล่าเลยครับ

หลวงพ่อ : เจ้าของปัญหาต้องจ่ายมา ๑๐๐ บาท

ผู้ถาม : อ๋อ...ยกครูหรือครับ.?

หลวงพ่อ : ไม่ใช่ยกครู ใส่ย่ามครู ยกครูไม่ไหว ดีไม่ดีครูคอหักตาย..

คือกรรมเก่า สมัยหนึ่งทั้งกัณหาและชาลี (เวลานี้ท่านไปนิพพานหมดแล้วนะ) ทั้งสองท่านเคยเกิดเป็นลูกชาวนาแล้วก็คุณเตี่ยชูชกเป็นควายแก่ ทีนี้พ่อแม่ตกกล้าไว้ เจ้าควายแก่ก็ย่องมากินเสมอ พ่อแม่ก็ยกหน้าที่ให้ลูกเล็กทั้งสองคอยไล่ควาย ไล่ไปเผลอๆ ก็มาใหม่ พ่อแม่ก็ดุหลายครั้งเข้า ก็นัดกันว่า ถ้าพรุ่งนี้ควายมากินข้าวกล้าใหม่ จะเอาไปจับผูกกับต้นไม้ไว้แล้วก็เฆี่ยนตี ก็ทำตามนั้นจริงๆ ตีจนเป็นที่ชอบใจแล้วก็ปล่อยไป ไอ้กรรมอันนี้แหละ...ที่เข้ามาสนอง

แต่ว่านั่นเป็นกรรมของกัณหาและชาลีท่านนะ ไม่ใช่พระเวสสันดร แต่ว่าอาศัยที่พระเวสสันดรซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้า ก็เป็นปัจจัยให้เทวดาต้องเข้ามาประคับประคองเด็กทั้งสอง ตอนชูชกหนีขึ้นไปนอนบนยอดไม้ก็ปล่อยเด็กทั้งสองไว้ข้างล่าง เทวดาก็แปลงกายเป็นพระเวสสันดรและพระนางมัทรีเข้ามาประคับประคอง

และหลังจากนั้นเทวดาก็นำเข้าไปหาพระเจ้าปู่ ดลใจทำให้ชูชกหลงป่า ส่วนพระนางมัทรีท่านก็ยกให้พราหมณ์ คือ อินทรพราหมณ์ รู้จักไหม.?

ผู้ถาม : ไม่รู้จักครับ

หลวงพ่อ : อินทรพราหมณ์ พราหมณ์ชื่อ พระอินทร์ ท่านแปลงมา ท่านพิจารณาเห็นว่าพระนางมัทรี ไม่คู่ควรกับคนอื่น เพราะว่าอาศัยเป็นคู่บารมีของพระเวสสันดรมานาน จึงแปลงเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี เมื่อพระเวสสันดรยกให้ ท่านก็แสดงตัวเป็นพระอินทร์แล้วบอกว่า เวลานี้พระนางมัทรีเป็นของท่านแล้ว ขอฝากไว้ก่อน ถ้าจะยกให้ใครก็ต้องขออนุญาติท่านก่อน ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร

ผู้ถาม : ก็ตกลงว่าเรื่องนี้จะไปโทษว่า สร้างบารมีให้คนอื่นเดือดร้อนไม่ได้ เขาเดือดร้อนเพราะกรรมของเขา

หลวงพ่อ : ใช่...ที่พระนางมัทรีต้องสลบก็เพราะอาศัยตีพระเวสสันดรในสมัยที่เป็น นกกระจาบ

ผู้ถาม : โอ้โฮ...เคยตีกันมาก่อนหรือนี่!

หลวงพ่อ : ใช่...เคยตุ้บตั้บกันมาก่อนเหมือนกัน

ผู้ถาม : แหม...เห็นแจ๋วๆ อย่างนี้ก็มีเหมือนกันนะ

หลวงพ่อ : มี...สมัยก่อน

ผู้ถาม : ฉะนั้น ลูกหลานที่ตุ้บตั้บกันสมัยนี้ก็เพราะตามรอยยุคลบาทนะ

หลวงพ่อ : ดีนะ...รักษาคุณความดีของบิดามารดาไว้ เป็นลูกกตัญญูรู้คุณปฏิบัติตามท่านได้

ผู้ถาม : บางรายกตัญญูแรงหน่อย เล่นเอาไม้ตีพริกตีหัวแบะเลย

หลวงพ่อ : นั่นน่ะดี หัวน่ะ...มันรับน้ำหนักทุกอย่าง แดดมาก็ร้อน น้ำค้างตกก็รดหัวก่อน ไม่เคยกินกับข้าวเลย วันนั้นได้กินกับข้าว ต้นกับข้าวเลยนะ
________________________________________
หมายเหตุ : การบริจาคบุตรภรรยาเป็นมหาทาน มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ คือผู้ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า จะต้องผ่านจุดนี้ ถ้ามองในเรื่องเหตุและผลอย่างละเอียดลออแล้ว พึงทราบได้ว่า ถ้าหากพระพุทธองค์ไม่ทรงสละบุตรภรรยาเป็นทาน พระเวสสันดรก็ไม่อาจบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าได้ในอนาคต เมื่อพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้แล้ว แม้พระนางมัทรีกัณหาชาลีและเหล่าพระพุทธสาวกทั้งหลาย ก็ไม่สามารถถึงพระนิพพานได้เช่นเดียวกัน เพราะไม่มีพระพุทธองค์เป็นผู้สั่งสอนชี้ทาง จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่ไม่น้อย ถึงผลประโยชน์อันไพศาลไพบูลย์ในภายภาคหน้าที่จะเกิดขึ้นจากการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธองค์ ซึ่งมีประโยชน์คุณูปการมากมายเหลือคณานับ จึงมีแต่คนโง่และคนพาลสันดานหยาบเท่านั้น ที่ไม่สามารถเข้าใจในเหตุและผล จึงพากันมุ่งหมายตำหนิติเตียนวิพากษ์วิจารณ์พระเวสสันดร ซึ่งเป็นการสร้างกรรมหนักให้แก่ตน เป็นเหตุแห่งทุกข์ไม่มีประมาณในภายภาคหน้า
ตอบกระทู้