Switch to full style
ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ งานบุญ งานกุศลต่าง ๆ ทางนี้เลยครับ
ตอบกระทู้

ขอเชิญร่วมงานประชุมเพลิงศพและทอดผ้าป่าสร้างเจดีย์หลวงตาผนึก

พุธ 31 ธ.ค. 2008 2:15 pm

ขอเชิญร่วมงานประชุมเพลิงศพและทอดผ้าปาสร้างเจดีย์
ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
แด่... หลวงตาผนึก สิริมังคโล
ณ. วัดป่าเขวาสินรินทร์ อ. เขวาสินรินทร์ จ. สุรินทร์
สำหรับ
๑. บรรจุพระบรมสารีริกธาต และพระอรหันตธาตุ
๒. ประดิษรูปเหมือน หลวงตาผนึก สิริมังคโล

โดยการโอนเงินผ่าน: ธ. กรุงเทพ สาขาสุรินทร์
ชื่อบัญชี “ นายแพทย์ปกรณ์ ตุงคะเสรีรักษ์
และนางสาวเกษตะวัน นากดี เพื่อสร้างเจดีย์วัดป่าเขวาสินรินทร์”
เลขที่บัญชี: 301-4-69754-8

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นายศราวุธ เอกพงศ์ธร โทร 081-547-4237 หรือ นางสาวเกษตะวัน นากดี โทร 089-844-4541


กำหนดการ
วันเสาร์ที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๒ (ตรงกับวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๒)

เวลา ๐๗.๓๐ น. ตักบาตร ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุ-สามเณร
เวลา ๐๘.๐๐ น. ลงทะเบียนบวชชีพราหมณ์
เวลา ๐๙.๓๐ น. ทอดผ้าป่า
เวลา ๑๐.๐๐ น. พิธีบวชชีพราหมณ์
พระเถระแสดงพระธรรมเทศนา อบรมจิตภาวนา
โดย พระราชวรคุณ
เวลา ๑๓.๐๐ น. แสดงพระธรรมเทศนา อบรมจิตภาวนา
โดยหลวงปู่สรวง สิริปุญโญ
เวลา ๑๔.๓๐ น. พิธีเคลื่อนศพฯ ประดิษฐาน ณ. เมรุจำลองชั่วคราว
เวลา ๑๘.๓๐ น. พิธีสวดพระอภิธรรม
เวลา ๑๙.๓๐ น. แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์
เวลา ๒๐.๓๐ น. แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๒ (ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๒)

เวลา ๐๗.๓๐ น. ตักบาตร ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุ-สามเณร
เวลา ๐๙.๓๐ น. แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์
เวลา ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ๑๐ รูป สวดพุทธมนตร์
เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแดพระภิกษุ-สามเณร
เวลา ๑๓.๐๐ น. แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์
เวลา ๑๔.๐๐ น. พระสงฆ์สวดมาติกาบังสุกุล
เวลา ๑๔.๓๐ น. พิธีทอดผ้าบังสุกุล
เวลา ๑๖.๐๐ น. พิธีประชุมเพลิงฌาปนกิจศพฯ
เวลา ๑๘.๐๐ น. แสดงพระธรรมเทศนา และอบรมจิตภาวนา
โดยท่านอจ. อุทัย สิริธโร
เวลา ๑๙.๐๐ น. พิธีประชุมเพลิงจริง

วันจันทร์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๒ (ตรงกับวันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๒)

เวลา ๐๖.๓๐ น. พิธีเก็บอัฐิธาตุ
เวลา ๐๗.๓๐ น. ตักบาตร ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุ-สามเณร
- พิธีสึกชีพราหมณ์
- แสดงพระธรรมเทศนาฉลอง ๑ กัณฑ์
- พระสงฆ์อนุโมทนา เป็นเสร็จพิธี

ประวัติย่อหลวงตาผนึก สิริมังคโล

พุธ 31 ธ.ค. 2008 3:19 pm

ประวัติโดยย่อ
ของหลวงตาผนึก สิริมังคโล
คำนำ
การเรียบเรียงประวัติของ หลวงตาผนึก สิริมังคโล ในครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะหลวงตาท่านไม่ค่อยเล่าประวัติของท่าน นอกจากมีผู้ถามท่านก็จะเล่าเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ยิ่งเรื่องทางโลกแล้วท่านจะไม่ค่อยพูดถึงเลย เป็นปกตินิสัยของท่านที่พูดน้อย แม้แต่การเทศน์เองถ้ามีคนเขานิมนต์เทศน์ ท่านเทศน์เพียงไม่กี่คำเท่านั้น แต่มีความหมายลึกซึ้ง นอกจากผู้ที่มีความขัดข้องทางด้านการภาวนามาถามท่าน หลวงตาจะตอบบ้างหรือไม่ถ้ามีคนมาถามถึงเรื่องโลก ๆ แล้วท่านจะไม่ค่อยพูดเลย ท่านเคยบอกว่า “พูดไปทำไม อยากรู้ไปทำไมไม่มีประโยชน์ ให้ขยันภาวนา เดินจงกรม นั่งสมาธิ นั่นของแท้” ท่านเคยบอกว่า “ในตัวของคนเรานี้มีอยู่ ๒ ตัว...ตัวที่หนึ่งนี้ตายได้ อีกตัวหนึ่งนั้นไม่ตาย ให้ไปหานะ หาให้เจอนะตัวที่ไม่ตาย”...การจัดทำอย่างรีบด่วน เพราะไม่ได้วางแผนเตรียมการมาก่อน จึงได้จัดทำเท่าที่มีข้อมูลอยู่ ฉะนั้น การเรียบเรียงประวัติของท่านในครั้งนี้ จึงเป็นการเรียบเรียงแบบย่อ ๆ พอได้ใจความเกี่ยวกับประวัติของหลวงตาก่อน ถ้ามีโอกาสได้จัดทำประวัติหลวงตา ในครั้งต่อไปคงจะได้ข้อมูลประวัติมาเรียบเรียงแก้ไขปรับปรุงใหม่ ให้สมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้น
คณะศิษย์ จึงขอน้อมกราบขอขมาด้วยเศียรเกล้าแด่องค์หลวงตาผนึก สิริมงคโล และขออภัยทุก ๆ ท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากการจัดทำประวัติหลวงตาในครั้งนี้ได้ผิดพลาด ล่วงเกินประการใดไป ขอได้โปรดงดซึ่งโทษที่ได้ล่วงเกินนั้นด้วย เพื่อการสำรวมระวัง ในการต่อไป....
คณะศิษย์
๒๐ พ.ย. ๒๕๕๑
ชีวประวัติโดยย่อ
ของหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล
ชาติภูมิ
หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล
เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๖ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๑ ที่บ้านโชค หมู่ ๓ ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเขวาสินรินทร์ (เดิมเป็นเขตอำเภอเมืองสุรินทร์) จังหวัดสุรินทร์ เป็นบุตรของคุณพ่อพุ่ม - คุณแม่เอี่ยม พโยมแจ่ม ท่านมีพี่น้องทั้งหมด ๔ คน
คนที่หนึ่งชื่อ นางแป๊ะ (เสียชีวิตแล้ว)
คนที่สองชื่อ นางโปม (เสียชีวิตแล้ว)
คนที่สามคือ หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล
คนที่สี่ชื่อ นางปอม (เสียชีวิตแล้ว)
การศึกษา เมื่ออายุถึงเกณฑ์ ท่านได้เข้าเรียน ณ โรงเรียนวัดโพธิรินวิเวก

จบชั้นประถมปีที่ ๑
มุ่งสู่เพศพรหมจรรย์ครั้งแรก
เมื่ออายุ ๑๙ ปี ท่านได้เข้าบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพธิรินวิเวก บ้านเขวาสินรินทร์ ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์ ในสมัยนั้น (ปัจจุบันคืออำเภอเขวาสินรินทร์จังหวัดสุรินทร์) เป็นเวลาประมาณ ๑ ปี ก็ได้ลาสิกขาออกมา ต่อมาเมื่ออายุ ๒๑ ปี ท่านได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดโพธิรินวิเวก เป็นเวลา ๔ ปี แล้วก็ได้ลาสิกขาออกมาอีกครั้ง เนื่องจากทางบ้านไม่มีใครมาช่วยพ่อ – แม่ ทำนา
ชีวิตในการครองเรือน
เมื่อถึงวัยอันควร ท่านผนึก พโยมแจ่ม (ท่านองค์หลวงตาผนึก) ได้แต่งงานใช้ชีวิตการครองเรือนกับคุณยายปิ่ม พโยมแจ่ม (ปัจจุบันคุณยายเสียชีวิตแล้ว) ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน มีบุตรด้วยกัน ๕ คน แต่คนแรกนั้นได้เสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย(เป็นหญิง) ปัจจุบัน ยังเหลือบุตรอยู่ ๔ คนที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นชายทั้งหมด แต่ก่อนนั้นท่านได้เคยปรารภปรึกษากับภรรยาของท่านว่าจะขอบวชอีกครั้ง ภรรยาบอกว่า “รอให้ใช้หนี้ให้หมดก่อน แล้วฉันจะเป็นเจ้าภาพบวชให้เอง ” แต่เมื่อใช้หนี้เขายังไม่หมด ภรรยาก็ได้ด่วนถึงแก่กรรมเสียชีวิตไปก่อน การจัดงานศพของภรรยาท่านยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี ทางด้านจิตใจของท่านก็หวนคิด คำนึงถึงแต่เรื่องการจะบวชตอนนี้เรามีโอกาสแล้วโชคดีแล้ว ตามที่เคยตั้งใจไว้ แต่ยังติดอยู่ที่เรื่องเป็นหนี้เท่านั้น ต่อมาเมื่อการจัดงานศพภรรยาของท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูก ๆ ได้ช่วยกันใช้หนี้ให้จนหมดสิ้น

เข้าสู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัตรอีกครั้ง
หลังจากที่ลูก ๆ ได้ช่วยใช้หนี้ของครอบครัวจนหมดสิ้นแล้ว ท่านได้เข้าสู่เพศบรรพชิตอีกครั้งเมื่อ อายุท่านได้ ๖๐ ปี อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบูรพาราม พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เวลา ๑๓.๔๕ น.ได้รับ ฉายาว่า สิริมงฺคโล โดยมีพระรัตนากรวิสุทธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตูโล ภายหลังเป็นพระราชวุฒาจารย์)
พระครูสถิตสารคุณ (หลวงพ่อเสถียร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ( ภายหลังเป็นพระรัตนกรวิสุทธิ์ เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ในอดีต ) พระครูนันทปัญญาภรณ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ( ภายหลังเป็นพระราชวรคุณ เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์องค์ปัจจุบัน ) หลังจากที่ได้อุปสมบทเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้มาอยู่จำพรรษาที่วัดหนองเวียน ซึ่งเป็นวัดสายธรรมยุติ ที่อยู่ใกล้บ้านเกิดของหลวงตาเอง คือบ้านโชค หมู่ ๓ ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเขวาสินรินทร์ เป็นเวลา ๑ พรรษา หลังจากออกพรรษาแล้วหลวงตาได้เดินทางไปฝึกปฏิบัติกรรมฐานกับหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ (พระโพธิธรรมาจารย์เถร) ที่วัดถ้ำศรีแก้ว จังหวัดสกลนคร เป็นเวลา ๑ พรรษา หลังจากออกพรรษาแล้ว ก็ได้ขอกราบลาหลวงปู่สุวัจน์ เดินทางกลับจังหวัดสุรินทร์ เพื่อจัดการแบ่งปันมรดกให้ลูก ๆ
เมื่อแบ่งปันมรดกให้ลูก ๆ เรียบร้อยแล้วหลวงตาก็ได้อยู่จำพรรษาที่วัดหนองเวียนอีก ๑ พรรษา พอออกพรรษาแล้วตั้งใจจะกลับไปหาหลวงปู่สุวัจน์ หลวงตาท่านก็ได้ออกเดินทางไปวัดถ้ำศรีแก้วอีกครั้ง ในช่วงตอนบ่าย ๆ วันหนึ่ง ท่านองค์หลวงตา กับหลวงตาดุน ๒ รูป ก็ได้ตั้งใจจะออกเดินทางไปวัดถ้ำศรีแก้วอีกครั้ง โดยเดินทางด้วยเท้าไปแบบไม่รีบเร่ง แล้วก็ได้ เดินทางมาแวะพักที่ป่าใกล้ ๆ ที่ไม่ไกลจากอำเภอเขวา ซึ่งปัจจุบันป่าแห่งนั้น ก็คือ วัดป่าเขวาสินรินทร์ นี่เองพอมาอยู่ตรงนี้ ก็ได้ปรึกษากันว่า ถ้าปักกลดในป่าลึก หลวงตาดุน ท่านจะเดินบิณฑบาตไปไม่ถึงหมู่บ้าน จึงได้ออกมาปักกลดอยู่ชายป่าซึ่งเป็นบริเวณที่ดินของนาย โชย – นางใบ ไกรพูน เพื่อให้สะดวกในการออกเดินบิณฑบาต พอเจ้าของที่ดินทราบข่าวว่ามีหลวงตา ๒ รูป มาปักกลด ในที่ดินของตนก็ได้มานิมนต์ให้พักภาวนาอยู่ต่อไป เพราะว่าเจ้าของที่ดินเขาก็มีศรัทธาที่จะถวายที่ดินตรงนี้ให้สร้างเป็นวัดอยู่แล้ว พอท่านองค์หลวงตา ได้ไปกราบเรียนหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เมื่อท่านได้ทราบ หลวงปู่ดูลย์ ก็ได้เดินทางมาดูพื้นที่ ที่โยมถวายด้วยตนเอง และหลวงปู่ดูลย์ท่านได้บอกกับหลวงตาผนึก ว่า
“ ให้อยู่ตรงนี้แหละ อยู่ไปไม่ต้องคิดการก่อสร้าง ตั้งใจภาวนา สร้างจิตสร้างใจตัวเอง ให้เป็นธรรม ให้มีภูมิอรรถภูมิธรรม มีคุณธรรมประจำใจ ส่วนทางด้านวัตถุ สิ่งของ ปัจจัย ๔ นั้นจะมีศรัทธาญาติโยมมาสร้างให้เองไม่ต้องคิดก่อสร้างให้ลำบากเขามีเจ้าของหมดแล้ว ”
ตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ก็ได้อยู่จำพรรษาที่นี่ ตลอดมาจนกระทั่งถึง.... วาระสุดท้าย
ช่วงนิมิตเห็นวัดป่าเขวาสินรินทร์ ครั้งเมื่อจำพรรษาอยู่ที่ วัดหนองเวียน หลวงตาได้นิมิตเห็นศาลาวัดป่าเขวาสินรินทร์เมื่อสร้างศาลาหลังแรกเสร็จท่านจึงได้พูดบอกข้าพเจ้าว่า (๑) “ ศาลาหลังนี้มันเหมือนที่ในนิมิตเห็นทุกอย่าง เช่น เชื่อกราวตากผ้า สีแดง ศาลาหลังเล็ก ๆ เมื่อปี่ พ.ศ. ๒๕๒๘ ในพรรษา หลวงตา ได้อาพาธไม่สบายต้องเข้ารักษาตัวที่ โรงพยาบาลสุรินทร์ หลวงตา มีอาการท้องเสีย ห้องน้ำก็อยู่ไกล กุฎี ท่านเดินเข้าเดินออกห้องน้ำหลาย ๆ รอบ ข้าพเจ้าได้ดูอยู่ห่าง ๆ เพราะเพิ่งบวชมาใหม่ ๆ ยังไม่คุ้นเคยกับองค์หลวงตามากนัก ช่วงบ่ายวันนั้นเองมีฝนตกพรำ ๆ อยู่ตลอด เมื่อหลวงตามีอาการเพลียมาก ก็ยืนจับต้นไม้อยู่เพื่อพักเอาแรงเนื่องจากท้องเสียหนัก พอมีแรงแล้วจึงเดินไปเพื่อเข้า กุฎีอีก ส่วนข้าพเจ้า (พระใหม่ในตอนนั้น) จะเอาร่มไปให้ก็ไม่ก็กล้า ได้แต่มองด้วยสายตาไปมา... พอหลวงตาหมดแรงแล้ว ก็นั่งอยู่บนโซฟาหน้ากุฎี ข้าพเจ้า เห็นท่านนั่งอยู่นานผิดสังเกต จึงเดินไปดู ทั้งกล้า ๆ กลัว ๆ เห็นท่านหลวงตา นั่งนิ่งอยู่ ข้าพเจ้า ก็เรียกดูท่านเงียบอยู่ ข้าพเจ้า เดินวนรอบ กุฎีหนึ่งรอบ แล้วกลับมาเรียกท่าน หลวงตาอีกครั้งก็ยังนั่งนิ่งเงียบอยู่เหมือนเดิม พอเดินรอบที่สามได้มาหยุดนั่งใกล้ ๆ แล้วเรียกเบา ๆ หลวงตาท่านก็ยังนิ่งอยู่เหมือนเคย องค์ท่านนั่งในถ้าขัดสมาธิอยู่ ตัวองค์ท่านเริ่มสั่นแล้วมีอาการ แรงขึ้นเรื่อย ๆ ข้าพเจ้า จึงเรียกด้วยเสี่ยงดังขึ้น องค์ท่านจึงได้ลืมตาขึ้นมา ข้าพเจ้า จึงพยุงตัวองค์ท่านลุกขึ้นแล้วพาองค์ท่านเข้าใน กุฎี ประคองตัวท่านให้นอนลง องค์ท่านนอนกำหนดสติทำสมาธิไปด้วย (๒) และเกิดนิมิตขึ้น ได้มี รถแสตนเลต สีขาวสวยงาม มีคนขับนั่งอยู่โดยไม่พูดไม่จาอะไร องค์ท่านได้พิจารณาในจิตรู้ได้ทันทีว่า รถคันนี้คือ ยานพาหนะ ที่จะพาดวงจิตวิญญาณ ขององค์ท่านไปเกิดอีก องค์ท่านจึงพูดอยู่ในจิตว่า “เรารู้แล้วท่านจะมาพาเราไปเกิดอีก เราจะไม่ไปเกิดอีกแล้ว” ทั้งรถทั้งคนนั้นก็หายแวบไป ส่วนข้าพเจ้าก็ได้ออกจาก กุฏิมาเรียกพระอีกรูปหนึ่งให้ไปบอกโยม ให้มาช่วยดูท่านหลวงตาหน่อย ว่าองค์ท่านเป็นอะไรไป แล้วพอโยมมา พาองค์ท่านไปอยู่ที่ศาลา มีแคร่ไม้ไผ่ให้องค์ท่านนอนพักอยู่บนนั้น พอมาพากันนั่งดูอยู่ เห็นองค์ท่านนอนนิ่งอยู่นานผิดสังเกต จึงเข้าไปจับตัวองค์ท่านดูองค์ท่านไม่ขยับตัวเลย จึงได้กดหน้าท้ององค์ท่านดูพบว่า หน้าท้องขององค์ท่าน แข่งเหมือนกะลามะพร้าว จึงพากันนำตัวองค์ท่านเข้าโรงพยาบาล สุรินทร์ เมื่อหมอตรวจเช็คดู ก็พบว่าลำไส้อักเสบ จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดลำไส้ที่เสียออก เมื่อหมอทำการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาการป่วยขององค์ท่านก็ไม่ดีขึ้น หมอก็ได้เรียกลูก ๆ ขององค์ท่านมาปรึกษาว่า จะขอผ่าตัดรักษาองค์ท่านอีกครั้ง พอองค์ท่านได้ยินว่าจะผ่าตัดอีกครั้ง องค์ท่านจึงบอกกับลูก ๆ ว่าให้เอาตัวองค์ท่านไปตายที่วัดดีกว่า ลูก ๆ จึงขออนุญาตหมอนำองค์ท่านกลับวัดป่าเขวาสินรินทร์ มานอนพักอยู่ที่ศาลาวัด ฉันอาหารอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้ำก็ฉันไม่ได้ ทำให้องค์ท่านคอแห้ง พูดเสียงไม่ออกต้องเอาหูแนบใกล้ปากท่านพอฟังได้ความ ขณะนั้นโยมได้ไปนิมนต์ท่านพระอาจารย์สุพร (พระครูภาวนาปัญญาภรณ์) มาแสดงธรรมให้ฟังหนึ่งกัณฑ์ เมื่อแสดงธรรมจบ ท่านพระอาจารย์สุพร ได้ถามองค์หลวงตาว่าท่านอยากฉันอะไรบ้าง องค์ท่านก็บอกว่าอยากฉันโค้ก ท่านพระอาจารย์สุพร จึงได้หันมาบอกกับญาติโยมว่าท่านอยากฉันโค้ก ญาติโยมได้ฟังต่างก็ตกใจเพราะหมอสั่งห้ามไว้ว่าห้ามฉันน้ำอัดลมทุกชนิด พระอาจารย์สุพร ก็แย้งไปว่าจะให้ท่านอดตาย หรือว่าให้ท่านหายอยากแล้วค่อยตาย พอท่านพระอาจารย์สุพร ให้โยมเอาโค้กมาแล้วเทใส่แก้วเอาเกลือใส่ไปด้วยแล้วให้องค์หลวงตาฉันโดยการใช้หลอดดูดหมดแก้ว แล้วถามองค์ท่านว่าเอาอีกไหม หลวงตาบอกว่าเอาอีกท่านพูดพอได้ยินเสียงบ้าง ท่านพระอาจารย์สุพร จึงเทครึ่งขวดที่เหลือลงแก้วใส่เกลือเช่นเดิมให้องค์ท่านฉันจนหมด หลังจากนั้นท่านพระอาจารย์สุพร ได้บอกโยมให้ซื้อโค้กไว้เป็นลัง ท่านก็นิมนต์กลับวัดป่าประสาทจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์
หลังจากท่านพระอาจารย์สุพร กลับวัดได้หนึ่งอาทิตย์ต่อมาได้มีญาติโยมไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์สุพร ท่านได้ถามโยมถึงอาการป่วยขององค์หลวงตาว่าท่านเดินได้หรือยัง โยมตอบท่านพระอาจารย์สุพร ว่ายังครับ
องค์หลวงตาพูดได้ แต่แผลที่ผ่าตัดเกิดติดเชื้อมีหนองอย่างมาก แต่แรกลูกคนที่ดูแลหลวงตา เกิดการท้อใจจึงงดให้ยากับหลวงตา แต่เมื่อมีหนองมากขึ้น จึงทำความสะอาดแผลให้ใหม่ ให้ฉันยาแก้อักเสบเหมือนเดิมแผลที่อักเสบนั้นค่อย ๆ หายจนปกติ และองค์หลวงตาก็ลุกขึ้นนั่งได้ และเดินได้ตามลำดับพอออกพรรษาเดินได้แข็งแรง
ท่านองค์หลวงตาก็คิดถึงพระครูบาอาจารย์ที่ไม่เคยมาเยี่ยม ตอนตัวเองป่วยไม่สบาย แต่องค์หลวงตากลับคิดถึง องค์หลวงตาไปเยี่ยม ทุก ๆ รูปที่คิดถึง โดยทิ้งให้พระบวชใหม่เพียงพรรษาเดียวเฝ้าวัดอยู่ ท่านองค์หลวงตาเป็นพระที่ไม่ถือตัวไม่มีทิฐิมานะถือตัวถือตนอะไรกับใคร
(๓) นิมิตเห็นในกลางหน้าอก ว่ามีดวงแก้วคล้ายตะเกียงเปาะดูด้านหนึ่งดังดวงแก้วสุกใส แต่อีกด้านหนึ่งยังเป็นเงาสลัว ๆ องค์ท่านพิจารณาแล้วเห็นว่า จิตใจยังไม่บริสุทธิ์เต็มที่ จึงได้เร่งปฏิบัติอย่างไม่ลดละ (๔) นิมิตเห็นว่ามีตอไม้ผุดขึ้นมามีสีเหลืองคล้ายสีจีวรเมื่อเพ่งดูไป มันหมุนแล้วละลายไปต่อหน้า เมื่อพิจารณาแล้วรู้ได้ว่าไม่มีเชื้ออะไรเกิดอีกต่อไปแล้ว
(๕) นิมิตเห็นคนถากไม้ แต่ไม้ที่ถากอยู่เป็นแก่นไม่มีกระพี้ จิตของท่านผุดคิดขึ้นมาว่าไม้ท่อนนี้จะเอาไปทำอะไรก็ได้ เอาไปสร้างบ้านสร้างเรือนก็ได้ทั้งนั้น แต่คนที่กำลังถากไม้อยู่นั้นพูดขึ้นว่า “จะทำไหมนาแปลงนี้ถ้าทำจะได้ข้าวปีละ ๒๐ เกวียน (ข้าพเจ้าผู้เขียนตรึกถึงอายุสังขารของท่านจะอยู่ได้อีกประมาณ ๒๐ ปี) ตอนไปเยี่ยมหลวงตาคืน ปสนฺโน ที่วัดหน้าเรือนจำ ได้โอกาสเข้านมัสการท่าน กราบ...แล้วพูดว่าผมมาขอปฏิบัติด้วย...ขอให้ดูผมให้เต็มที่เพราะผมมีกิเลสมาก แล้วกลับมายังที่พัก เมื่อปวารณาตนเช่นนั้น หลวงตาก็ไม่กล้าพักจำวัดได้ไปเดินจงกรมอยู่นาน หลวงตามีอาการแน่นหน้าท้องคล้ายจะตายให้ได้ จึงเดินเข้าไปในกลดแล้วนอนตะแคงขวาดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา พอจิตสลัดออกจากร่างทันที จิตเห็นร่างอยู่ส่วนร่าง วิญญาณอยู่ส่วนวิญญาณ จิตอยู่ส่วนจิต จิตนี้ไม่มีตัวไม่มีตน จิตคิดว่านี่เราตายแล้วหรือว่าเรามาตายโดยไม่มีใครรู้เห็น น่าสังเวชยิ่งนัก จิตร้องไห้อยู่คนเดียวพอได้สติ จิตคิดว่า อ้อ คนตายเป็นอย่างนี้นี่เอง จิตจึงหยุดร้องไห้จิตถอนออกมา จึงรู้ได้ว่าคนตายเป็นอย่างนี้แหละหนอ จึงได้เล่าให้หลวงตาคืนฟัง และรอเวลาจะเรียนให้หลวงปู่สุวัจน์ ทราบเมื่อหลวงปู่กลับมาจากเมืองนอก หลวงตาได้เข้าไปกราบเรียนท่านหลวงปู่สุวัจน์ ให้ทราบความตามที่ตนได้ประสพพบเห็น หลวงปู่สุวัจน์ บอกหลวงตาว่าถูกทางแล้วปฏิบัติต่อไป... (๖) หลวงตาเร่งปฏิบัติอย่างเต็มที่ไม่นานนักก็เกิดนิมิตขึ้นอีก ท่านเห็นตนเองผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ตัวท่านดำเหมือนตอตะโก จิตคิดพิจารณาได้ว่าตัวเองพึ่งพ้นจากนรก จิตตกนรกไม่ใช่กายตกนรก “เราปิดทางนรกได้แล้ว เราจะไม่ตกนรกอีกแล้ว”ท่านพูดอย่างนี้
ครั้งต่อมาท่านองค์หลวงตาได้มีโอกาสขึ้นไปกราบนมัสการ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ที่วัดคีรีบรรพตภูจ้อก้อ หลวงปู่หล้าได้เล่าภูมิธรรมชั้นโสดาบัน ให้หลวงตาฟังแล้วกำชับกับญาติโยม ที่ตามไปด้วยว่า “อย่าไปถามเลขถามหวยกับท่านนะ ท่านไม่รู้อะไรหรอก”
(๗) นิมิตเห็นพระพุทธรูป ๒ องค์ และมีเสียงดังบอกมาว่า ยังมาไม่ครบขาดอีก ๑ องค์....
หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น
เมื่อสมัยตอน หลวงตา ยังเป็นฆราวาส เป็นธรรมดาเองที่จะต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง การดำเนินชีวิตแบบบ้านนอกคอกนา มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงตาได้ทำอาวุธชนิดหนึ่งสำหรับการล่าสัตว์ อาวุธชนิดนั้นคือหน้าไม้ซึ่งเป็นอาวุธที่มีประสิทธิ์ภาพมากมีความเร็วสูงชนิดหนึ่ง เมื่อหลวงตาทำเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องมีการเอาไปทดลองความแม้นยำ และได้ทำลูกดอกเพียงดอกเดียว แล้วเดินทางไปที่ทุ่งนาตรงไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง สายตาเหลือบไปเห็นนกเอี้ยงตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่อยู่โพล่แต่หัวมาให้เห็น จึงยกหน้าไม้ขึ้นใส่ลูกดอกแล้วเล็งไปที่หัวนกตัวนั้นแล้วเหนี่ยวไกทันที อนิจจาแม่นเหมือนจับวางไม่มีผิด หลวงตาเกิดความดีใจมากในตอนนั้น อำนาจความดีใจนี้เองทำให้มีการจองเวรจองกรรมซึ่งกันและกันขึ้น ครั้นแล้วเมื่อหลวงตามาบวช กฎกรรมอันนั้นก็ตามสนององค์ท่าน เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๕ หลวงตามีอาการปวด ศีรษะต้องนำส่งโรงพยาบาล ฉันอะไรไม่ได้ ฉันไปสักพักหนึ่งก็มีอาการอาเจียนออกมาหมด เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ฉันอาหารและน้ำเข้าไป ตอนแรก ๆ หมอยังหาสาเหตุไม่พบ หลวงตา ต้องทนทุกข์เวทนาพอสมควร ภายหลังหมอได้ พาหลวงตาไปทำการ เอ็กซเรย์ สมองจึงได้พบเห็นว่ามีเลือดขังอยู่ในสมอง แต่อยู่ในรอบนอกสมองซีกซ้ายด้านหน้ากดทับสมองอยู่ทำให้สมองไม่สั่งงาน หมอจึงทำการรักษาด้วยการเจาะกะโหลกเพื่อที่จะเอาเลือดที่ขังอยู่ออก แล้วหมอก็ใส่สายยางให้เลือดที่เหลือไหลออกมา จุดนี้เองซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่หลวงตา เคยยิงนกเอี้ยงตัวนั้น สายยางที่ติดอยู่บนหัวของหลวงตา อยู่ไม่ต่างอะไรกับลูกดอกที่ปักหัวนกเอี้ยงตัวนั้นเลย ทุกครั้งที่หลวงตาเล่าเรื่องนี้ให้ลูกศิษย์ฟังจบลงองค์ท่าน ก็จะหัวเราะ...ฮึ...ฮึ... เบา ๆ…. นี่แหล่ะท่านทั้งหลายกรรมที่กระทำแล้วบางครั้งก็คิดว่าเป็นกรรมที่เล็กน้อยคิดว่าไม่เป็นอะไร...แต่หาใช่เป็นไปตามอย่างที่เราคิดไม่ มันอยู่ที่การเจตนาที่ทำลงไปต่างหาก กรรมจะหนักหรือเบาอยู่ที่เจตนานะท่านทั้งหลาย...
คติธรรมของหลวงตา
องค์หลวงตามักจะพูดธรรมะสั่น ๆ ว่า “ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง”...
“ทำจิตทำใจให้เกิดศีล”
“ทำจิตทำใจให้เกิดสมาธิ”
“ทำจิตใจให้เกิดปัญญา”
จงมอบกายถวายชีวิต ให้แก่...พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์... เสียสละให้หมด... พุทธะ คือผู้รู้..ผู้ตื่น..ผู้เบิกบาน...ผู้สว่างไสว...
สวรรค์อยู่ในอก..นรกอยู่ในใจ..นิพพานอยู่ที่ไหน..ก็อยู่ในใจนี่เอง..ทำใจให้หมดความหยาก...
สั่งสมบุญให้เกิดให้มี สร้างบารมีไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่เกิดมาเป็นคนแล้วจะเกิดแต่เป็นคนอยู่อย่างนั้นไม่ใช่...
เดียวจะขาดทุนไม่มีกำไร...ตกนรกซ้ำอีกนะไม่ใช่ของดีนะ...เดียวตกนรกนะ...แล้วก็ยกหัวแม่มือชี้ไปยังผู้นั่งฟังแล้ว...หัวเราะ...กำชับแล้วกำชับอีกจนกว่าผู้ฟังจะกลับไป...

“ทำจิตทำใจ ให้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ให้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจ ไปที่ไหนอยู่ที่ไหนให้ระลึกถึงคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดเวลานะ ไม่มีอะไรแจกหรอกมีเท่านี้แหละ...
หลวงตา แนะนำคณะญาติโยม ที่มาทำบุญและ ผู้ไปมาคารวะองค์หลวงตา ท่านจะให้ธรรมะ เป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอ ว่า “จงทำจิตใจของตัวเองให้มีศีล ให้รู้จักศีลของตัวเอง ให้มอบกายถวายชีวิต แด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ประทับที่จิตใจ ให้ใจมีคุณธรรม”
หลวงตาท่านสอนและให้ธรรมะปฏิบัติแก่พระ – เณร ที่มากราบคารวะท่านว่า “บวชมาแล้วให้ตั้งจิตตั้งใจประพฤติตนให้ดี ตรวจดูศีลของตน รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ชีวิตนี้เกิดมาแล้วมีแต่ความทุกข์ ให้ภาวนาให้เกิดแสงสว่างในใจ”

ปฏิปทาของหลวงตา
ท่านเป็นพระที่มีความเคารพเชื่อฟัง ครูบาอาจารย์ มีปฏิปทาที่เรียบง่าย มีใจเมตตากรุณาต่อผู้ที่มาขอความอนุเคราะห์จากองค์ท่าน ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ว่าใครก็ตามเข้าหาท่านได้ทุกเวลา ไม่มีวิธีรีตองให้มาก
หลวงตาเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ไม่เคยฝ่าฝืนคำแนะนำจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เช่น เมื่อหลวงปู่ดูลย์ บอกให้อยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่แหละ แล้วท่านหลวงตาก็อยู่ เมื่อบอกให้ภาวนา ท่านก็ภาวนา บอกท่านไม่ให้ก่อสร้าง ท่านก็ไม่ก่อสร้าง ดังนั้น จึงมีครูบาอาจารย์ให้ความเมตตา แนะนำให้ปฏิบัติภาวนามาโดยตลอด อาทิเช่น หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ( พระโพธิธรรมมาจารย์ ) ท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ พระอาจารย์สุพร ( พระครูภาวนาปัญญาภรณ์ )ก็ได้ให้ความอนุเคราะห์มาตลอด โดยเฉพาะหลวงปู่สุวัจน์ได้ให้ความเมตตาอย่างมาก โดยเฉพาะ องค์ หลวงปู่สุวัจน์ เองนั้น ก่อนที่ท่านจะละสังขารไป ท่านก็ยังได้บอกให้ศิษยานุศิษย์ ได้ทราบถึงภูมิธรรมของหลวงตา ว่า “ให้ดูแล หลวงตาแก่ ๆ รูปนี้ให้ดี ถึงจะมีเงินทองมากมายขนาดไหน ก็หาซื้อไม่ได้ สำหรับ หลวงตาแก่ ๆ รูปนี้ นะ” ทางด้านลูกศิษย์ก็ได้ให้ความเคารพและดูแลอุปัฏฐากเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
วาระสุดท้าย
หลวงตาอาพาธหนัก เข้าพักรักษาตัวครั้งสุดท้ายวันพฤหัสบดีที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๑ เวลา ช่วงเย็น ณ โรงพยาบาลสุรินทร์ที่อาคาร ๑๒ ชั้น ๒ ห้องพิเศษ วี.ไอ.พี. ศิษยานุศิษย์ได้เข้าเยี่ยมอาการป่วยของหลวงตาเป็นระยะ อาการอาพาธหลวงตาไม่ดีขึ้น มีแต่ทรงและทรุดลง หลวงตาหายใจเองลำบากมาก พอถึงเวลาเที่ยงคืนวันที่ ๑๒ ต.ค. ๕๑ อาการหลวงตาทรุดหนัก หมอต้องใช้เครื่องช่วยหายใจให้หลวงตาและย้ายหลวงตาเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู.เวลาบ่าย ๒ โมง ของวันที่ ๑๓ ต.ค. ๕๑ ซึ่งตรงกับวันโกน ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ก่อนวันออกพรรษา ๑ วัน หลังจากคณะแพทย์ได้นิมนต์หลวงตา ไปที่ห้อง ไอ.ซี.ยู.หลวงตาต้องอยู่กับเครื่องช่วยหายใจตลอด มีบางช่วงหมอได้เอาเครื่องช่วยหายใจออกเพื่อให้หลวงตา ลองหายใจเองอาการก็ทรงตัวอยู่ระยะหนึ่ง ช่วงวันที่ ๗ และ ๘ พ.ย. ๕๑ หมอถวายการรักษาตรวจดูอาการ และปรึกษากันว่าต้องฟอกไตให้หลวงตา และสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พอทำการฟอกไตครั้งที่ ๓ ในวันจันทร์ที่ ๑๐ พ.ย. ๕๑ เวลา ๑๐.๐๐น.พอคณะแพทย์ฟอกไตเสร็จ อาการป่วย ของหลวงตาไม่ดีขึ้นจนถึงวันอังคารที่ ๑๑ พ.ย. ๕๑หลังจากองค์หลวงตาต้องรักษาอาการอาพาธอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู เป็นเวลาเกือบ ๑ เดือนเต็ม
ในช่วงกลางวัน ของวันอังคารที่ ๑๑ พ.ย. ๕๑ พระผู้อุปัฏฐากในช่วงกลางวันได้สังเกตเห็นว่าผิวพรรณขององค์หลวงตา เปล่งปลั่งกว่าทุกวัน แต่ค่าออกซิเจนในร่างกายของหลวงตา ลดลงมาก พอตกถึงกลางคืนอาการของหลวงตาเริ่มมีการถ่ายท้องผิดปกติถึง ๔ ครั้งติดต่อกัน ซึ่งข้าพเจ้า เฝ้าดูอาการหลวงตา อย่างใกล้ชิด พอถึงวันพุธที่ ๑๒ พ.ย. ๕๑ หลังจากคณะแพทย์ตรวจอาการหลวงตาระบบเต้นของหัวใจต่ำลงกว่าปกติคณะแพทย์ต้องให้ยากระตุ้นหัวใจเพื่อช่วยประคองอาการของหลวงตา เพื่อที่จะนิมนต์หลวงตา มาที่วัดป่าเขวาสินรินทร์ เพื่อที่จะให้องค์ท่าน ละสังขารที่วัดของท่าน ในช่วงนี้เองได้มีศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย และพระเถรานุเถระ มาเข้าเฝ้าดูอาการครั้งสุดท้ายของหลวงตา ไม่ขาดระยะ โดยเฉพาะท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ (เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ )ได้มา เวลาประมาณ ๑๗.๐๐น.และได้นำคณะสงฆ์สวดบทโพชฌงค์ ให้หลวงตาฟัง (๓จบ) หลังจากนั้นก็ได้แสดงธรรมเทศนาให้ฟังอีกเนื้อหา ของการแสดงธรรมเทศนาให้ตั้งสติมีลำดับการเข้าออกของจิต ตามแนวทางของหลวงปู่ดูลย์
อตุโล สมควรแก่เวลาแล้ว ท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ ก็ลากลับ หลวงตามีอาการสงบนิ่งลมหายใจเริ่ม ลดลงเบาลงเรื่อย ๆ ส่วนท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ เดินทางกลับไปถึงวัดบูรพาราม พระอารามหลวง ทางด้านหลวงตาผนึก
สิริมงฺคโล ก็ได้ละสังขารด้วยอาการอันสงบ ณ วัดป่าเขวาสินรินทร์ ในเวลา ๑๘.๔๐น. ของ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ตรงกับวันพุธที่ ๑๒ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ รวมสิริอายุได้ ๙๐ ปี ๖ เดือน ๑๖ วัน ๓๒ พรรษา
หลวงตาได้จากไปต่อหน้าศิษยานุศิษย์ทั้งหลายที่เฝ้าดูอาการ....
ขอขอบคุณคณะแพทย์ที่ได้ทำการรักษาอาพาธ องค์หลวงตา...
พ.อ.นพ.ธงชัย ตรีวิบูลย์วนิชย์
คณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลสุรินทร์
คณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลบุรีรัมย์
คณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลศรีนครินทร์ขอนแก่น
รวมทั้งโรงทานและญาติโยมที่เกี่ยวข้อง

Re: ขอเชิญร่วมงานประชุมเพลิงศพและทอดผ้าป่าสร้างเจดีย์หลวงตาผนึก

พุธ 31 ธ.ค. 2008 8:59 pm

DSC01893.jpg
DSC01893.jpg (89.86 KiB) เปิดดู 1517 ครั้ง


หลวงตาผนึกเป็นพระที่ผมเคารพนับถือมากครับ
ปรกติถ้าผมไปจ.สุริทร์จะไปกราบพระแค่ 2 องค์คือหลวงตาผนึกและหลวงพ่อสมพร
ที่ไปกราบหลวงตาท่านมี 2 สาเหตุคือ

1. สมัยหลวงปู่สุวัจน์ สุวัจโจ วัดป่าเขาน้อย จ.บุรีรัมย์มีชีวิตอยู่(ปัจจุปันอัฐิท่านได้แปลเป็นพระธาตุแล้วครับ) เมื่อหลวงปู่สุวัจน์จะไปต่างจังหวัดนานๆ ท่านก็จะให้นิมนต์หลวงตาผนึกมาอยู่ที่วัดป่าเขาน้อย แทนท่าน แต่พอนิมนต์มาหลวงตาท่านก็มิได้เทศน์หรือสั่งสอนทั้งพระและฆราวาสอาจด้วยด้วยจริตนิสัยที่ไม่ค่อยพูด
พอนิมนต์หลายครั้งเข้า ลูกศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่สุวัจน์จึงเรียนถามหลวงปู่ด้วยความสงสัยว่า "หลวงปู่จะให้นิมนต์มาทำไมพระในวัดก็ปกครองกันเองได้ หลวงตาผนึกมาก็ไม่เห็นจะต่างอะไรกับหลวงตาผนึกไม่มา"
หลวงปู่สุวัจน์ได้ตอบกลับศิษย์ผู้นี้ว่า
"จิตเราอย่างไรจิตท่านผนึกก็อย่างนั้น เราได้อะไรท่านผนึกก็ได้อย่างนั้น"
ผมเลยไม่สงสัยในคุณธรรมหลวงตาผนึกเลยครับ

2. เมื่อผมไปกราบท่านก็เป็นจริงดังว่าท่านเป็นพระที่ดีจริงๆโลกธรรมทั้ง 8 ไม่สามารถทำอะไรท่านเลย ท่านอยู่อย่างสมถะมาก อากาศร้อนท่านก็หลบไปภาวนาใต้ต้นไม้ขนาดพระอุปปัฐากยังไม่รู้เลยว่าท่านหายไปไหน ท่านไม่สนใจใคร เขาจะดูแลก็ช่างไม่ดูแลไม่สนใจก็ช่าง เจ็บป่วยแค่ไหนก็ไม่ได้ปริปากบอกใคร นี้เป็นสิ่งที่ผมสัมผัสมาเองไม่ได้ ฟัง เพียงอย่างเดียว

ใครที่ไม่เคยทำบุญงานศพพระอริยบุคลคราวนี้ไม่ควรพลาด
และใครอยากร่วมสร้างเจดีย์ซึ่งนอกจากจะใช้บรรจุอัฐิธาตุของหลวงตายังบรรจุ
พระบรมสารีริกธาตุที่ท่านพ่อลีอัญเชิญมาเองด้วย
และพระบรมสารีริกธาตุที่หลวงพ่อพุธบูชาที่หัวนอนด้วยครับ
เคยมีพระบอกผมว่า "สร้างเจดีย์ได้บุญมาก ทุกครั้งที่มีคน-เทวดากราบไหว้เจดีย์ก็ได้บุญทุกครั้ง"

วันประชุมเพลิงท่านผมจะไปครับ

Re: ขอเชิญร่วมงานประชุมเพลิงศพและทอดผ้าป่าสร้างเจดีย์หลวงตาผนึก

พฤหัสฯ. 01 ม.ค. 2009 1:43 am

ขอบพระคุณที่แจ้งข่าวครับ ทั้งคุณ บู้จิ้งหวิน และ อ.bon

Re: ขอเชิญร่วมงานประชุมเพลิงศพและทอดผ้าป่าสร้างเจดีย์หลวงตาผนึก

พฤหัสฯ. 01 ม.ค. 2009 9:18 pm

อนุโมทนาด้วยครับ และขอบพระคุณมากที่กรุณานำข่าวมหาบุญ มหากุศลเช่นนี้มาบอกกัน

ต้องรีบทำ ต้องรีบทำ

Re: ขอเชิญร่วมงานประชุมเพลิงศพและทอดผ้าป่าสร้างเจดีย์หลวงตาผนึก

จันทร์ 05 ม.ค. 2009 12:22 pm

บุญกุศลไม่รอเรา เราต่างหากคงต้องออกแสวงหา
อย่ารีรอครับ
:D

Re: ขอเชิญร่วมงานประชุมเพลิงศพและทอดผ้าป่าสร้างเจดีย์หลวงตาผนึก

จันทร์ 05 ม.ค. 2009 5:55 pm

อนุโมทนาด้วยครับ.
:grt: :grt: :grt:

Re: ขอเชิญร่วมงานประชุมเพลิงศพและทอดผ้าป่าสร้างเจดีย์หลวงตาผนึก

จันทร์ 05 ม.ค. 2009 7:00 pm

อนุโมทนาด้วยครับ :lcky:
ตอบกระทู้