Switch to full style
ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ งานบุญ งานกุศลต่าง ๆ ทางนี้เลยครับ
ตอบกระทู้

พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้

จันทร์ 09 ส.ค. 2010 2:43 pm

พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง
ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง วันที่ 19 /08/2553
โดยอาจารย์เอก สุขุมวิท62 (คนละคนกับที่วัดบางแวก) ตอกเพดาลประสระเลือด งานเริ่ม 9โมงเช้าครับที่หมู่บ้านเสนา แยกวังหิน ถามคนแถวนั้นก็รู้จัก วันที่ 18/08/2553 ที่ซอยสุขวิท62 ปากทางเข้าวัดบุญรอด อาจารย์เอกสวดหนุนดวงเวลา 17.00 น.
1-20080916221549.jpg
1-20080916221549.jpg (38.18 KiB) เปิดดู 6083 ครั้ง

Re: พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้

จันทร์ 09 ส.ค. 2010 2:45 pm

ปรมาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ฆราวาสมหาเสน่ห์ผู้ทรงฤทธิ์ เจ้าของตำนานพิธี 'ประสะเลือด'
อีกหนึ่งตำนานฆราวาสผู้เรืองเวทย์ทางมหาเสน่ห์ หากไม่กล่าวถึง อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง นั้นดูเหมือนจะตกเทรนด์นักสะสมเครื่องรางมหาเสน่ห์เลยทีเดียวอาจารย์ฟ้อนมีฤทธาอาคมมากมาย ช่วยเหลือผู้คนจนได้รับความศรัทธา ทหารหาญก่อนนำศึก สมานแผล รีดพิษงู และที่สำคัญที่สุด เจ้าพิธีตำนาน ประสะเลือดกรีดเลือดถ่ายเลือดสู่ลูกศิษย์เพื่อรับวิชาให้ได้มากตามที่ท่านต้อง การ
บัดนี้ ขอเชิญเหล่านักสะสมเครื่องรางแห่งเมืองเสน่ห์กาหลง เข้าสู่ตำนานฆราวาสผู้เรืองเวทย์ท่านนี้ด้วยกัน อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง เด็กชายฟ้อน ดีสว่างบุตรชายคน 3 ของตระกูลดีสว่าง มีคุณลักษณะปากแหว่ง จมูกโหว่จากโรคริดสีดวงจมูกตั้งแต่วัยเยาว์ ย้ายถิ่นฐานจากอยุธยาสู่หมู่บ้านโพธิ์เก้าต้น จังหวัดลพบุรี เมื่ออายุ 10 ขวบ เด็กชายฟ้อนเริ่มศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลาง โดยมีหลวงพ่อปลอด สุคนจันทร์ น้าชายที่ทรงคุณวิเศษทางเวย์มนต์คาถา เพื่อนนักเรียนของเด็กชายฟ้อนต่างพากันล้อเลียนปมด้อยของเขาเสมอ ทุกคนต่างรังเกียจปมด้อยที่อยู่บนใบหน้าเขา ยกเว้นตาบ ทองสาริ เพื่อนสนิท และ จั่น สุคนธจันทร์ ญาติสนิทของเขานั่นเองการเรียนของเขาพัฒนาได้เพียงแค่เขียนอ่านชื่อของตัวเองเท่า นั้น ฟ้อนอ่านหนังสือไม่ออกสักตัว หลวงพ่อปลอดเห็นว่าหลานชายคงเอาดีทางอักษรสมัย ไม่ได้แล้ว จึงเริ่มถ่ายทอดวิชาอาคมให้แทน ปรากฏว่าตรงกับความต้องการของเด็กชายฟ้อนผู้มีปมด้อยน่ารังเกียจต่อสังคม เป็นอย่างมาก เพราะนั่นคือคาถาวิชา เมตตามหานิยม เขาเรียนคาถาแบบมุขปาฐะ คือ ท่องจากปากต่อปาก หลวงพ่อปอดท่องให้ฟังแล้วให้ท่องตาม ปรากฏว่าเด็กชายฟ้อนท่องจำได้ขึ้นใจภายในเวลาไม่นานนัก เพราะความจำของเขาเป็นเลิศ แม้ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ วิชาอาคมของเขาเป็นผลทุกครั้งเมื่อเวลาต้องเข้าใกล้ผู้ใหญ่ หรือเพื่อนฝูง แต่แล้วเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดหลวงพ่อปลอดสอนคาถาอาคมให้กับเขาได้เพียงบท เดียวก่อนอาพาธหนักจนขั้นมรณภาพ นั่นคือคาถาวิชา เมตตา มหานิยม เด็กชายฟ้อน ดีสว่างพบตำราอาคมเร้นลับในฝันเมื่ออายุครบ เขาได้อุปสมบท และออกธุดงค์แสวงหาสถานที่วิเวกบำเพ็ญภาวนาไปเรื่อย จนกระทั่งพบพระอาจารย์ดี ขรัวตาวัดไก่ฟ้า จังหวัดอยุธยาจึงขอพักอยู่ที่วัดนี้ คืนหนึ่งภิกษุฟ้อนขึ้นไปตามหาขรัวตาดีบนกุฎิ แต่ไม่พบ พอจะกลับพบว่าขรัวตาดีกำลังออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ เรียกให้ภิกษุฟ้อนมาสนทนาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระภิกษุฟ้อนเริ่มศรัทธาพระอาจารย์ดีจึงคิดว่าจะเรียนสรรพวิชาอาคมจากท่าน
แต่ยังไม่ทันได้เรียน คืนหนึ่งฝันว่าขณะกำลังทำสมาธิอยู่ในโบสถ์ แว่วเสียงร้องไห้จากผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นหญิงสาวแต่งกายด้วยชุดไทยเดิม หน้าตาสวยร้องไห้อยู่ จึงสนทนาถามถึงเรื่องทุกข์ร้อนใจ และออกปาก หากมีอะไรไม่เหลือบ่าฝ่าแรงอาตมาช่วยขอให้บอกมา หญิงสาวทุกข์ใจบอกว่าบ้านฉันอยู่หลังต้นตะเคียนนี้ และกำลังจะเกิดภัยกับฉันพรุ่งนี้ เห็นมีเพียงท่านเท่านั้นช่วยได้ จึงได้มาขอให้ท่านช่วย ดิฉันพร้อมยอมตอบแทนท่านด้วยสิ่งที่หาค่าเปรียบไม่ได้ แล้วพรุ่งนี้ท่านจะทราบเองว่าท่านจะช่วยอะไรดิฉัน วันรุ่งขึ้นภิกษุฟ้อนออกบิณฑบาตพบชาวบ้านกำลังถือขวานมาตัดต้นตะเคียนใหญ่ หน้าวัด ท่านเห็นเช่นนั้นจึงทราบทันทีถึงสิ่งที่เจ้าแม่ตะเคียนร้องขอเมื่อคืนนี้ จึงรีบไปห้ามคนกลุ่มนั้น สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านละแวกนั้นเป็นอย่างมาก เพราะท่านเป็นภิกษุต่างถิ่นแถมยังปากแหว่งจมูกโหว่อีกชาวบ้านต่อว่าพระฟ้อนหาว่าหวงแหนสมบัติวัด แต่พระฟ้อนยังคงพยายามอ้อนวอนต่อไป เมื่อเห็นว่าเริ่มไม่ฟังท่านแน่แล้ว จึงร่ายมนต์คาถามเมตตามหานิยมที่ได้ร่ำเรียนมาขอร้องชาวบ้านเหล่านั้น ใหม่ ชาวบ้านใจอ่อนยอมพระฟ้อนแต่โดยดี คืนถัดมาฝันถึงแม่ตะเคียนมาตอบแทนที่ท่านได้ช่วย เหลือ โดยชี้จุดให้ไปขุดใต้ก้อนอิฐด้านหลังพระประธานในโบสถ์นี้มีของให้เลือก สิ่งเลือกได้เพียงสิ่งเดียว ท่านตัดสินใจเลือกคัมภีร์เก่าแก่วางอยู่หลายเล่ม เพราะโอ่งที่ใส่เงิน และทองคำนั้นไม่สมควรกับภิกษุซึ่งควรละแล้วซึ่งทรัพย์ ศฤงคาร ภิกษุฟ้อน ดีสว่าง วิชาอาคมเรื่องมหาเสน่ห์ เก่งกว่าขุนแผนเสียอีกคัมภีร์นั้นคือที่มาของวิชาพระเวทย์ต่างๆ ของอาจารย์ฟ้อน ท่านร่ำเรียนจนสำเร็จและได้เป็นจอมขมังเวทย์ในเวลาต่อมา อาจารย์ฟ้อน ดีสว่างเรียนวิชาหลายอย่างด้วยกัน อาทิ วิชาสมานแผล คลายพิษงู ผูกปากงู ล่องหนหายตัว เสกใบไม้ให้เป็นต่อเป็นแตน ฯลฯ สรรพวิชาอาคมของท่านนั้นถูกทดลองด้วยตัวท่านเอง ไม่ว่าหางูเห่ามาฉกตัวเอง แล้วร่ายคาถาถอนพิษงู ใช้มีดโกนเชือดแขนตัวเอง แล้วร่ายคาถาสมานแผล บางครั้งก็นำมาแสดงให้ผู้อื่นดู จนเด็กคิดว่าเล่นกล ภายหลังจึงเริ่มออกช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับทุกขเวทนาจนเป็นที่เลื่องลือ ผู้คนเลื่อมใสมากขึ้น ท่านบวชอยู่ได้ 5 พรรษาจึงลาสิกขาจึงเริ่มดำเนินชีวิตตามวิสัยฆราวาส ด้วยปมด้วยที่อัปลักษณ์จึงทำให้ไม่มีหญิงใดมาสนใจ ซ้ำร้ายยังได้รับดูแคลนจากหญิงสวย ความเจ็บใจจากการดูแคลนนั่นแหละไม่นานหญิงสาวสวยเหล่านั้นก็ทยอยมาเป็นภรรยา ทิดฟ้อนมากมาย จนได้รับการขนานนามว่าขุนแผน แต่ศิษย์ของท่านส่วนใหญ่มักบอกว่า ท่านเก่งกว่าขุนแผนเสียอีกเพราะตามตำนานขุนแผนต้องเสกของให้หญิงกินจึง เกิดความลุ่มหลงในเสน่ห์ แต่ท่านอาจารย์ฟ้อนนั้นเพียงร่ายมนต์วิเศษฝากผ่านทางสายตา นางเอกลิเกสาวสวยจะตามมายอมเป็นเมียในเวลาต่อมาว่ากันว่าท่านไม่เคยใช้ วิชาพร่ำเพรื่อ ท่านมักใช้วิชานี้ต่อเมื่อพบคนดูแคลนความอัปลักษณ์ของท่าน พูดจาจนให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจ ร่ายคาถาเอามาเป็นเมียแล้วผ่านเลยไปว่ากันว่าไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนอีกเหตุหนึ่งคือ เมื่อท่านพบหญิงที่ต้องตาต้องใจเสน่หารักใคร่เป็นอย่างมาก และอยากได้มาเป็นคู่ครองด้วยใจบริสุทธิ์ และเห็นแล้วว่าด้วยรูปร่างหน้าตาของท่านคงไม่สามารถจีบหญิงคนนั้นได้ ท่านจะใช้วิชาเข้าช่วยและรับผิดชอบเลี้ยงดูจนมีลูกหลานด้วยกันหลายคน อาจารย์ฟ้อนมีนิสัยค่อยไปทางนักเลง น้ำใจโอบอ้อมอารี จิตใจมีเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้คนไม่ว่าไปอยู่ที่ใดจึงมักได้รับความนับถือ ครั้งหนึ่งท่านหลงใหลความงามของนางเอกลิเกสาวสวยคนหนึ่ง จึงได้ร่ายพระเวทย์ฝากผ่านสายตาไป ทำเอานางเอกลิเกหลงใหลติดตามท่านมาอยู่กินกันมีลูกเต้าหลายคน ไม่นานไปพอใจสาวแม่ค้าขายกล้วยแขกอีกคนหนึ่ง จึงร่ายพระเวทย์ขอมาเป็นภรรยา อาจารย์ฟ้อนเลี้ยงดูภรรยาทั้งสองคนนี้เป็นอย่างดี มีลูกหลายสืบสกุลหลายคน
ตำนานเรื่อง มีเมียหลายคนในบ้านเดียวกันของอาจารย์ฟ้อนนี้ เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจของผู้ชายหลายคน และน่าจะเป็นเป้าหมายของผู้ชายอีกหลายคนใน อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ถ่ายทอดวิชาศิษย์เพื่อสืบทอด พิธี 'ประสะโลหิต' นี่สิ! ของจริง!! พ. ศ.๒๔๗๓ ท่านมีอายุ 46 ปี ท่านเริ่มคิดถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ เพื่อสืบทอดต่อไป ศิษย์รุ่นแรกของท่านได้แก่ นายเกิด เสือสง่า นายชื้น นายเต็ง ยิ้มสวัสดิ์ เพราะศิษย์เหล่านี้ต่างประกอบอาชีพเป็นศิลปินพื้นเมือง อาทิ การแสดงลิเก ปัจจุบันเสียชีวิตหมดแล้ว วิชาสมานแผล ท่านมักเชือดแผลตัวเองให้ดู แล้วสมานกลับถอนพิษงู ท่านเอางูมาฉก แล้วร่ายคาถาถอนพิษงู วิชานี้ศิษย์บางคนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะลืมพระคาถา แต่ท่านก็ช่วยชีวิตทุกคนไว้ได้ วิชาประสะเลือด ถ่ายเลือดถ่ายสติปัญญาให้กับสามเณร วัดสามปลื้มโดยเอามีกรีดบนศีรษะของเจ้าประคุณสมเด็จให้เลือดออกมา จากนั้นกรีดศีรษะของสามเณร แล้วนำเลือดจากศีรษะของเจ้าประคุณมาใส่สามเณร จากนั้นใช้คาถาสมานแผลให้ทั้งคู่หายเป็นปกติเป็นอันเสร็จพิธี ว่ากันว่าถ่ายความเก่งให้คนโง่ให้เริ่มฉลาดขึ้นตามลำดับ ส่วนอาจารย์ประยูร จิตโสภี ศิษย์เอกของท่าน ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งอาจารย์ฟ้อนท่านกรีดเลือดตัวเองให้เพื่อให้อาจารย์ประยูรคุ้นเคยกับงู และเลิกกลัวงูในที่สุด ว่ากันว่าศิษย์คนที่ท่านรักหรือคนที่โง่มากๆ ประเภทวิชาไม่เข้าหัวสักที ท่านจะลงทุนกรีดเลือดตัวเองเพื่อให้ศิษย์เหล่านั้นรับวิชาจากท่านให้มากตาม ที่ท่านต้องการอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง กับเครื่องรางของขลังเพื่อช่วยเหลือประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๘๓ ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสงคราม ที่เรียกว่า สงครามอินโดจีน สมัยนั้นเกจิอาจารย์มีบทบาทในการช่วยเหลือประเทศชาติเป็นอย่างมาก โดยได้ทำเครื่องรางของขลังเพื่อแจกจ่ายให้กับทหารหาญที่ออกไปปฎิบัติหน้าที่ ออกศึกป้องกันประเทศชาติ อาทิ หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง นนทบุรี หลวงโอภาสี สำนักพุทธญาณ โอภาสี หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ซึ่งพระเกจิทั้งสี่รูปนี้ได้ทำเครื่องรางทั้งที่เป็นทางการ โดยจัดการของรัฐบาลที่วัดบวรนิเวศ และจัดทำกันเองที่วัดด้วย อาจารย์ฟ้อนเองมีส่วนด้วย ประสระเลือดโดยการเอาเลือดของท่านไปจารลงบนผ้าขาว บริกรรมคาถากำกับผ้าประสะเลือดชุดนั้นอีกครั้งก่อนนำไปแจกจ่ายแก่ทหารหาญ เตรียมออกศึก โดยพิธีประสะเลือดนี้ อาจารย์ฟ้อนทำขึ้นหลายครั้งที่บ้านสะพานเหลือง ในค่ายทหารต่างๆ ที่สระบุรี แต่ละครั้งมีผู้เข้าร่วมพิธีมากมาย ผ้าประสะเลือดของท่านแม้มีจำนวนไม่มาก แต่ทุกผืนทรงวิทยาคุณเป็นเยี่ยม เพราะทหารที่ได้ครอบครองไปนั้นต่างมีชีวิตรอดกลับมาสู่อ้อมอกพ่อแม่ได้อย่าง ปลอดภัย อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง รับศิษย์รุ่นสุดท้าย อาจารย์ฟ้อนท่านรับศิษย์มากมาย ปัจจุบันคงไม่มีชีวิตหลงเหลืออยู่แล้ว มาเล่าถึงคุณหมอท่านหนึ่งคือ หมอประยูร จิตโสภี แพทย์แผนโบราณผู้เชี่ยวชาญและสนใจเรื่องคาถาอาคม เป็นอีกท่านหนึงที่ได้เห็นอิทธิปาฎิหารย์จากอาจารย์ฟ้อนจึงเกิดความเลื่อมใส และศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงถวายตัวเป็นศิษย์ท่านเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2487 พร้อมแม่ชีอ่อนศรี แห่งสำนักป่านิโครธาราม ซึ่งนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่รับศิษย์ของท่าน ว่ากันว่าวิธีการรับศิษย์ของท่าน นั้นน่าหวาดเสียวยิ่ง กล่าวคือ ปรมาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ได้รับเครื่องบูชาครู ประกอบด้วย ผ้าขาวม้าอย่างดียาว 3 เมตรหนึ่งผืน ธูป เทียน ดอกไม้ ผ้าเช็ดหน้าสีขาว มีดปลายแหลม และหัวหมูซ้าย ขวา จากนั้นลูกศิษย์จึงนำเอาของที่เตรียมไว้มาทำพิธี
ตามขั้นตอนดัง นี้
1. ท่านเชือดลิ้นตัวเองด้วยมีดโกน
2. ท่านหยิบมีดปลายแหลมาตอกที่เพดานปากพร้อมกันทั้งสองเล่ม จนมีดปักแน่นแล้วค่อยปล่อยให้เลือดไหลลงแก้ว
3. เมื่อเลือดไหลลงแก้วเพียงพอแล้ว ท่านเอาเลือดในแก้วมาอมแล้วพ่นลงบนผ้าเช็ดหน้า จากนั้นทำการสมานแผลในปากโดยอมน้ำล้างปากทีเดียว แผลก็จะหายเป็นปกติ
4. ท่านใช้เลือดสักบนศีรษะของศิษย์ที่เข้าพิธีถวายตัวแล้ว จากนั้นก็ทำการประสิทธิ์พระคาถาต่างๆ
เมื่อเสร็จพิธีนี้แล้ว ท่านนำงูเห่า ซึ่งส่วนใหญ่ท่านจะนำงูเห่าใส่ตระกร้าหิ้วไปไหนมาไหนไปด้วยเสมอ มาฉกกัดตัวเอง เพื่อสาธิตวิชาถอนพิษให้ศิษย์ดู อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ถึงปัจจุบันหมอประยูร ศิษย์รุ่นสุดท้ายผู้ถ่ายทอดวิชาอันทรงฤทธิ์ของปรมาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ย่อมต้องถ่ายทอดวิชาดังกล่าวให้กับศิษย์อีกหลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ใน ปัจจุบัน เท่าที่ทราบนั้นบางท่านเปิดเผย บางท่านไม่เปิดเผย อาจเป็นเพราะพิธีกรรมของอาจารย์ฟ้อนนั้นดูเหมือนไม่ปกติสักเท่าไหร่ นานาทัศนะเหล่านี้คงต้องเว้นวรรคเฉพาะผู้ที่มีความเชื่อ และศรัทธาในพุทธาคมอย่างแรงกล้าเท่านั้น
ตำนานของอาจารย์ฟ้อนที่เคยได้ยินจากเจ้าอาวาสวัดบึงพระอาจารย์ จังหวัดนครนายกนั้น อาจารย์เอก แต่เรื่องขั้นตอนการสืบทอดวิชา ช่วงเวลานั้นยังไม่ได้มีการบันทึกไว้เป็นทางการ ว่ากันว่า วัดบึงพระอาจารย์นี่หละหมอประยูรและศิษย์อาจารย์ฟ้อนหลายคนมักมาเล่าสู่กัน ฟังถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ความเก่งกาจของอาจารย์ฟ้อน อาทิ อาจารย์ฟ้อนลุยไฟจนตัวดำเป็นตอตะโกแต่ก็ยังนิ่งสงบอยู่ เกิดขึ้นที่ อ. นางรอง จ.นครนายก
อาจารย์ฟ้อนสมานแผล ท่านสั่งให้ศิษย์เอาเลื่อยมาเลื่อยขอของท่านศิษย์ทำตามเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดพุ่งกระฉูดน่าหวาดเสียว ท่านก็สั่งให้เลื่อยต่อไปจนศิษย์ทนดูไม่ไหวแล้วท่านจึงทำพิธีสมานแผลเพียง ครู่เดียว แผลนั้นหายเป็นปกติ เกิดขึ้นที่ จ.นครนายก เสกหินเป็นเต่า สิบเอกแช่มไปหาสมุนไพรบนเขาอีโต้ จ. นครนายก กับอาจารย์ฟ้อนเดิน จนเหนื่อยเลยล้มตัวลงพัก ท่านสั่งให้ศิษย์หาก้อนหินมาสองก้อนมาหนุนนอน แล้วถามศิษย์ว่าบนเขานี้มีเต่าไหม สิบเอกแช่มบอกว่าไม่มีหรอก เพราะไม่มีหนองน้ำให้มันอาศัย สักพักก้อนหินที่หนุนนอนนั้นก็เคลื่อนที่ได้ ด้วยความสงสัยจึงพลิกดูปรากฏว่าเป็นเต่า ยังมีอิทธิฤทธิ์อีกมากมายที่ศิษยานุ ศิษย์ จากรุ่นสู่รุ่นนั้นเล่าสืบต่อกันมา เรื่องราวอันลี้ลับ มหัศจรรย์ของฆราวาสจอมขมังเวทย์ผู้นี้ ฟังดูแล้วเวอร์ เหมือนกับการโกหก เพราะมันน่าเหลือเชื่อสำหรับความรู้สึกผู้คนในยุคปัจจุบัน เรื่องราวปากต่อปากนี้ หนทางเดียวคือทำการพิสูจน์ ตามหาคนใกล้ชิดที่ยังมีชีวิตอยู่ ว่ากันว่ามียังมีการทำพิธีกรรมประสะเลือดจากอาจารย์เอก แถวอ่อนนุชปีละครั้ง ในตำนานนั้นพ่อฟ้อนจะทำให้เฉพาะศิษย์ที่รักจริงๆ เท่านั้น เรื่องราวต่างๆ นี้ น่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนคงขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของท่าน และบทพิสูจน์จากตัวท่านเอง
นี่ก็อ่านมาจากหนังสือของ เวทย์ วรวิทย์..แล้วมาเล่าต่อให้ท่านฟังอีกทีจ๊ะ
วาระสุดท้ายของ ปรมาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง 15 กรกฏคม ๒๔๘๙ อาจารย์ฟ้อนจากไปอย่างสงบขณะเจริญภาวนาที่บ้านพักศิษย์คนหนึ่ง จังหวัด สมุทรปราการ อายุราว 62-63 ปี หลังจากนั้นศิษย์ก็นำศพท่านไปไว้ที่วัดบึงพระอาจารย์ จังหวัดนครนายก ตามคำสั่งเสียก่อนตาย สังขารของท่านนั้นถูกเก็บไว้เรื่อยมาจนถึง2537 ปัจจุบันเผาไปแล้ว

Re: พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้

จันทร์ 09 ส.ค. 2010 2:53 pm

เหรียญอาจารย์ฟ้อนดีสว่าง ที่หมอประยูรสร้างและลูกศิษย์กำลังหา จุดที่ชี้คือจุดที่เส้น สายฝนต้องชัด และหน้าเหรียญต้องชัด ไม่เบอ และเหรียญ ต้องไม่บวมถ้าบวมก็นิดหน่อย และอีกได้มายังไม่ควรล้างออกครับ เพราะบางครั้งเลือดที่ประสระโลหิตติดอยู่กับเหรียญจะหลุดออก ควรล้างด้วยครีมแบบระมัดระวังครับ ท่านใดมีโชว์ให้ดูหน่อยครับ บอกราาหน่อยก็ดีอิอิอิ เผื่ออยากจีบ
.jpg
.jpg (98.35 KiB) เปิดดู 6071 ครั้ง

1.jpg
1.jpg (105.06 KiB) เปิดดู 6069 ครั้ง

Re: พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้

จันทร์ 09 ส.ค. 2010 6:49 pm

ขอบคุณครับผม ผมก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เอก ผมเก็บวัตถุมงคงของท่านทำไว้หลายอย่างครับผม :grt:

Re: พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้

พุธ 11 ส.ค. 2010 3:16 pm

เจอกันวันงานนะครับ ศิษย์บูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ทุกท่านผมขอเชิญ

Re: พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้

อังคาร 21 ธ.ค. 2010 4:49 pm

เป็นเวปของอาจารย์เอก สุขุมวิท 62 ครับ มีรูปประสะเลือดด้วยครับ
http://www.amatajinda.com/
http://1boorapajan.pantown.com/

Re: พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้

อังคาร 21 ธ.ค. 2010 6:09 pm

ขอบพระคุณมากๆๆ :grt: ครับ

Re: พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้

อังคาร 21 ธ.ค. 2010 9:08 pm

อันนี้น่าจะย้ายไปอยู่ประชาสัมพันธ์นะครับ รบกวนแอดมินดำเนินการด้วยยยย :lol: :lol: :lol:

Re: พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้

อังคาร 21 ธ.ค. 2010 9:12 pm

ขอบคุณ ดำเนินการได้รวดเร็วม๊าก ครั่บ :lol: :lol:

Re: พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้

ศุกร์ 14 ม.ค. 2011 4:40 pm

เหรียญ อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง พ.ศ.2490 จีบได้นะถ้าชอบ ขอบอก
แนบไฟล์
09.jpg
ด้านหน้า
09.jpg (56.39 KiB) เปิดดู 5182 ครั้ง
11.jpg
ด้านหลัง
11.jpg (56.82 KiB) เปิดดู 5181 ครั้ง
10.jpg
Zoom
10.jpg (49.47 KiB) เปิดดู 5174 ครั้ง
12.jpg
Zoom ยันต์
12.jpg (55.6 KiB) เปิดดู 5172 ครั้ง

Re: พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ฟ้อนดีสว่าง ประสระเลือด สายอาจารย์ฟ้

พุธ 28 ก.ย. 2011 8:57 pm

เหรียญอาจารย์ฟ้อน ราคาเท่าไรคับ
ตอบกระทู้