Switch to full style
รวมบทความที่น่าสนใจต่าง ๆ จากนักเขียนชื่อดัง และ ผู้ที่ทรงภูมิความรู้มากมาย
ตอบกระทู้

ผีจริงจริงมั้ง

อาทิตย์ 20 ธ.ค. 2009 4:05 am

.jpg
.jpg (38.69 KiB) เปิดดู 1801 ครั้ง

ปีนั้นถ้าจำไม่ผิดก็เป็น พ.ศ. 2491 พรานแสง, ม.ร.ว. ทวีธวัช และผม ออกเดินจากปางพักชายดงเชิงเขาฝาละมี ลงด่านใหญ่ที่ขนานห้วยซับหญ้าขาวน้อยไปหาลำพญากลางระยะทางราว 3 กิโลเมตร ข้ามลำพญากลางเลียบห้วยซับใหญ่ไปหุบเขาระหว่างเขาหินฝนกับเขาซับแกงไก่ ปีนั้นแล้งจัด ดินแข็งจนไม่สามารถอ่านรอยสัตว์ใดใดได้ สามคนเราไม่มีพรานเจ้าของถิ่นนำ เพราะสหายผม "พรานผา" แห่งบ้านหนองหญ้าขาว ออกไปช่วยงานบุญซะที่ลาดบัวขาวหรือคลองไผ่โน่น เราไม่รู้แหล่งต้นลูกไม้โป่งซับ ก็เดินเดากันไป สนุกดี ลุงแสงพรานใหญ่คร่ำป่าเคยเป็นพรานประจำเจ้าคุณพหลฯ (พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา - พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร พ.ศ. 2475 ตั้งแต่ครั้งท่านยังเป็น พ.อ. พระสรายุทธสรสิทธิ์ เชื่อฝีมือพรานแสง เราคงเจออะไรเข้ามั่งละน่า เมื่อมาถึงด่านตัดขวางต้องหยุดหารือกันว่าจะไปทางไหนดี พรานแสงสำรวจรอบรอบ แล้วมองตามร่างที่ลงด่านตรงห้วยซับใหญ่ หันมาบอกว่า

"ตามเจ้านั่นไป คงเป็นพรานบ้านแถวนี้"

"ดี เดี๋ยวเรียกเค้าหยุดถามเบาะแสดู คงได้เรื่องมั่ง" หม่อมทวีธวัช
ว่า
.jpg
.jpg (64.06 KiB) เปิดดู 1802 ครั้ง

ผมมองเห็นหลังเขาไวไว ในด่านสัตว์ไม่กว้างนักแถมค่อนข้างรกซะด้วย รีบจ้ำตามแต่ก็ไม่ใกล้เขาเข้าได้ คิดว่าเขาคงยิงอะไรล้มไว้ รีบร้อนจะไปแล่ หรือว่าเป็นพรานเจ้าถิ่นชำนาญทางจึงเดินได้เร็วมาก พรานแสงทั้งกู่ทั้งตะโกนเรียก เขาก็ไม่ได้ยิน เราเห็นเขาชัดเจนเมื่อออกที่โล่งและขณะลุยน้ำแค่หน้าแข้งในห้วยซับใหญ่ เขานุ่งกางเกงคลุมเข่า สวมเสื้อสีมอม สะพายย่ามแบกปืนแก๊ปกระบอกยาว โพกผ้าขาวม้าสีแดงคล้ำ เมื่อเราถึงตลิ่งเขาก็ขึ้นฝั่งโน้นเข้าหมู่ไม้ลับไปเสียแล้ว ไม่สนใจเสียงเรียกเสียงกู่จากพวกเราซักนิด น่าเขกกระโหลกมั้ยล่ะ

"มันยังไงกันวะ เป็นพรานหูหนวก ทั้งกู่ทั้งตะโกนป่าจะแตก ดันทำเฉยซะงั้น" พรานแสงโมโห

"เค้าคงไม่อยากพบเราหรือไม่ก็คงรีบอะไรซักอย่างมั้ง" ผมว่า

"เจ้าถิ่นก็มักจะเป็นยังงี้ละ ไม่อยากบอกแหล่งสัตว์ กลัวถูกแย่งยิง" หม่อมพูดตามประสบการณ์

เราลงลุยน้ำข้ามไปบ้าง ตอนจะขึ้นตลิ่งที่เป็นกรวดทรายหยาบ มีต้นไคร้น้ำประปรายเราต่างก้มหารอยที่เขาก้าวาวขึ้นไปเมื่อครู่ ต่างคนต่างร้อง เอ๊ะ

"พี่ศัลย์ว่าหมอนั่นขึ้นตลิ่งแถวนี้เรอะเปล่า ไม่เห็นรอยเท้ารอยน้ำซักนิด" หม่อมยังก้มดูอย่างพินิจ

"ผมว่าตรงนี้แน่ ตรงข้ามกับปล่องด่านพอดี แต่ เอ รอยตีนมันหายไปไหน ฮ่วย" พรานแสงเกาหัว

"เค้าเดินตีนเปล่าน้ำคงไม่เกาะมาก แล้วก็เดินโหย่งโหย่งรอยไม่ลึกสังเกตยาก" ผมให้ความเห็น แต่ความจริงก็ฉงนฉงายอยู่เหมือนกัน

"เอ้า เข้าด่านตามมันไปอีกซักตั้งนาย" พรานแสงออกเดินนำ
.jpg
.jpg (46.82 KiB) เปิดดู 1802 ครั้ง

ด่านนั้นผ่าเข้าไปในหุบเขาแคบแคบ ความกว้างไม่เกิน 300 เมตร แต่เมื่อเดินเข้าไปราว 20 นาที ก็เริ่มขยายกว้างออกไปเรื่อยเรื่อย อีกพักใหญ่ก็เห็นหลังพรานคนนั้นไวไว ยังเดินแบกปืนท่าคอนคอนท่าเดิม พรานแสงกู่เรียก เขาทำท่าคล้ายจะหันดู แต่แล้วกลับเดินเทิ่งเทิ่งนำไปอย่างเก่า

"ดูมัน อย่าเรียกเล้ย เขาไม่สนเราร้อก" หม่อมชักยั้วะ

จากนั้นก็เห็นเขาว่อบแว่บเป็นครั้งคราว ครั้งสุดท้ายเหลียวมาดูเราแว่บหนึ่งแล้วเลี้ยวขวาแยกเข้าข้างทางไป เมื่อเราถึงตรงนั้นก็เห็นว่าเป็นช่องทางเล็กและรกมากเกินกว่าที่จะด้นตามไปได้ จึงยึดด่านใหญ่เดินต่อไป ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ตันตรงเชิงผาชัน ตกลงหุบนี้มีเขาล้อมถึงสามด้าน ทางเข้าออกเพียงทางเดียวทึบพอดู ตรงที่เข้ามาตันนี้มีสภาพเป็นทั้งโป่งและน้ำซับรวมกัน มีด่านเล็กด่านน้อยมาบรรจบกันหลายทาง ที่เดินเป็นบริเวณโป่งและน้ำซับ มีรอยสัตว์ย่ำเละไปหมด ทั้งวัวแดงกระทิงเสือ รอยช้างงา แทงโป่งไว้หลายรอย รอยงาใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ 12 ซม. ถึงสองคู่
.jpg
.jpg (19.57 KiB) เปิดดู 1802 ครั้ง

มีต้นยางและต้นตะเคียนขนาดโอบครึ่งอยู่สองต้น เห็นทำเลสัตว์เข้ายังงี้เลยลืมเจ้าพรานปืนแก๊ปคนนั้นไปได้ เลือกต้นไม้ใหญ่ชัยภูมิเหมาะคาดห้างไว้แล้วก็เดินกลับ ตั้งใจว่าคืนพรุ่งนี้จะให้ท่านผู้ใหญ่ท่านใดท่านหนึ่งออกมานั่ง ช่วงเวลาก็อำนวยคือเดือนกระจ่างขึ้น 13 ค่ำ ปรากฏว่าไม่มีใครอยากทรมานบันเทิง แต่พากันไล่ให้ผมไปคนเดียว จากปางพักถึงโป่งหรือซับที่คาดห้างไว้ ใช้เวลาเดินราวชั่วโมงครึ่ง ให้หม่อมทวีธวัช กับฉลอง ไปรับตอนเช้า กำชับให้ระวังมากมาก เผื่อว่าผมเกิดซัดตัวอะไรลำบากไปจะได้แก้ปัญหาทัน
.jpg
.jpg (41.13 KiB) เปิดดู 1802 ครั้ง

หลายคนเดินมาด้วยถึงลำพญากลาง ผมแยกไปคนเดียว แบก .400 เจ๊ฟฟรี่ แฝดของพ่อ พร้อมเป้อุปกรณ์ ขึ้นห้างเรียบร้อยเมื่อ 18.00 น. ในหุบเขามืดมากแล้ว ผมปรับลูกห้างไม่ให้เสียงดัง วางของเข้าที่เข้าทางเรียบร้อย สอบทิศทางยิงให้แน่นอน หาที่สังเกตไว้สองสามแห่ง เพียง 18.20 น. ก็มืดสนิท นั่งห้างคนเดียวนี่เหมือนโยคีทรมานสังขาร จะเปลี่ยนท่านั่งคลายเมื่อยให้เต็มที่ก็ทำไม่ได้ ขยับตัวแรงก็กลัวลูกห้างจะดัง เบื่อหนักเข้าหมดศรัทธาจะลงเดินกลับปางพักก็ไม่ได้ อยู่คนเดียวจะหลับก็ไม่ได้อีก

งัดกล้วยตากมาเคี้ยวฟังเสียงเก้งร้องเป้บเป้บ ฟังเสียงเรไรเสียงแมลงเสียงนกกลางคืนเพลินดีเหมือนกันสำหรับคนรักป่า ลมพัดซู่ซู่เป็นครั้งคราว 21.00 น. ไม่มีวี่แววตัวอะไรลงมาที่โป่งหรือน้ำซับ กระทิงหวีดในดงไกลออกไป เมื่อยก็เมื่อย เสือใหญ่คำรามอยู่แถบเขาด้านตะวันตกไม่ไกลนัก สิ้นเสียงเสือ ดงทั้งดงเงียบงันลงทันใด เงียบสนิทจริงราวกับว่าทุกชีวิตพยายามซ่อนซุกหลบลี้หนีภัยจากจ้าวป่าตัวนั้น เสียงคำรามนั้นช่างทรงพลังอำนาจน่าเกรงขามประหลาด..... สักพักใหญ่สรรพสำเนียงต่างต่างค่อยดังขึ้นคืนมาทีละน้อย.....

ผมคอยดูว่าใครจะลงมาที่โป่งก่อนกัน บริเวณโป่งต้นยางและต้นตะเคียนมืดมิด แม้เดือนกระจ่าง 22.15 น. เก้งลงมาคู่หนึ่ง ฉายไฟ มันสู้ไฟตาแป๋ว ดับไฟมันก็พากันออกไปเงียบเงียบ ในสายตาที่ชินกับความมืด ผมเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวตัดกับสีขาวของต้นยางใหญ่ พยายามเพ่งก็แยกไม่ออกว่าเป็นอะไรแน่ จึงตัดสินใจฉายไฟ เห็นเหมือนคนนั่งขัดสมาธิมีปืนแก๊ปกระบอกยาวพาดตัก แต่เห็นชั่วเสี้ยววินาที จากนั้นก็ว่างเปล่ามีแต่ต้นยางขาวโพลนกับพุ่มไม้หนามที่โคน ผมว่าตัวผมเองตาฝาด คงเป็นเพราะในส่วนลึกของความคิดคำนึงที่พะวงถึงเจ้าพรานหูหนวกเมื่อเช้าวันวานคนนั้น อย่างไรก็ดี ยังนึกขอบใจเขาที่เดินนำให้เรามาพบโป่งพบซับที่มีสัตว์ลงซุกอย่างนี้ ก็ขอบใจละ แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหลบลี้หนีหน้าไปซะ
.jpg
.jpg (16 KiB) เปิดดู 1801 ครั้ง

ไม่นานกวางใหญ่กิ่งเขางามมากออกมาจากด่านทางซ้ายมือ พอฉายไฟก็จ้องเฉย คงจะเป็นเพราะไม่เคยถูกรบกวน... ไม่ได้คิดว่าจะยิง เพราะมันสวยสง่าเกินไป มันเป็นสมบัติของป่าดงพงไพร สักนาทีเห็นจะได้ อยู่อยู่มันก็แหงนหน้าสูดกลิ่นเลิ่กลั่ก กลับตัวกระโจนแผล็วหายเงียบไป ตามมาด้วยเสียงใบไม้แห้งกรอบแกรบระหว่างต้นยางและต้นตะเคียนใหญ่... ค่อยค่อยหันไฟฉายตามไป ที่สะท้อนกลับมานั้นเป็นประกายสีแดงของตาคู่หนึ่งต่ำมาก
.jpg
.jpg (64.56 KiB) เปิดดู 1801 ครั้ง

เสือลายพาดกลอนใหญ่ถนัดใจ หมอบตัวแบนท้องราบติดดินกวาดหางไปมา แยกเขี้ยวขาวคำรามเบาเบา มันคงตามกวางใหญ่ตัวนั้นมาหรือไม่ก็มานอนคอยอยู่ก่อนแล้ว สู้ไฟดีซะด้วย ค่อยค่อยคอนปืนขึ้นประทับเล็งได้ที่ พอจะเหนี่ยวไก พรึ่บ ไฟดับ หลอดขาด ได้ยินเพียงเสียงกระโจนพรึ่บ แล้วเงียบ...

ความที่มืดลงฉับพลันกับที่เพ่งสายตาอยู่จุดเดียวทำให้เกิดภาพลวงตา เห็นเป็นเสือใหญ่สีขาวหมอบอยู่โคนต้นตะเคียนจนได้ เกิดเสียงป่าคล้ายคนหัวเราะขันขัน เสือคำรามอีกครั้งทางด้านหลัง โมโหแทบขว้างไฟฉายทิ้งใช้ไฟฉายดวงเล็กส่องหยิบหลอดอะไหล่มาเปลี่ยน นั่งคอยต่อไป

ตานี้สมองโปร่งหายง่วง นึกเสียว่าเสือตัวนั้นโชคช่วยก็แล้วกัน ลงเจ้าป่ามาเพ่นพ่านซะเอง สัตว์อื่นจะอยู่ยังไง แต่ไม่แน่เหมือนกัน คงมีอะไรเสี่ยงดวงเข้ามามั่งน่ะ นั่งเป็นโยคีต่อไปจนตีหนึ่ง เดือนค่อนไปทางตะวันตกมากแล้ว ไม่มีวี่แววอะไรแม้นิดหน่อย ป่าเงียบลงเป็นลำดับ จนสงัด สิ้นเสียงสรรพสำเนียงใดทั้งสิ้น แม้ลมก็ไม่พัด ทุกสิ่งทุกอย่างทุกชีวิตในดงนั้นหยุดนิ่ง สงบ ไม่มีแม้เสียงน้ำค้างหยด หรือแม้เสียงใบไม้เล็กเล็กซักใบร่วงหล่นกระทบดิน ป่ารอบรอบนั้นมืดเวิ้งว้าง อากาศเย็นชื้นน้ำค้าง

เมื่อไม่มีเสียงสัมผัสประสาทหู ประสาทตาก็เริ่มหลอน เห็นภาพอะไรต่ออะไรที่นั่นที่นี่ในความมืดนั้น สีขาวของเปลือกต้นไม้บ้าง เห็ดหรือแมลงเรืองแสงบ้าง ความเมื่อยขบประกอบกับง่วงง่วงซึมซึม ชักจะเห็นอะไรประหลาดขึ้นทุกที ถ้าขวัญเสียละก็ยุ่งแน่

เห็นคนนั่งอยู่โคนต้นตะเคียนอีก...
เห็นตัวอะไรปีนต้นยาง...
เห็นหมูโทน เห็นกวางลงไปที่น้ำซับ...


ขยับจะฉายไฟมันก็หายกันไปเฉยเฉย เอาน้ำในกระติกลูบหน้าแล้วก็ไม่วาย สักพักใหญ่ ได้ยินเสียงคนหัวเราะ..เสียงเดียวจังหวะเดียวกับที่ได้ยินตอนจะยิงเสือ จากนั้นก็เห็นคนแบกปืนคอนคอนเดินจากด่านทางขวามือออกที่โล่ง... มีแสงจันทร์ส่อง กางเกงคลุมเข่า เสื้อสีมอ สะพายย่าม ผ้าขาวม้าโพกหัว เหมือนที่เห็นในด่านวันก่อนไม่ผิดเพี้ยน ผมเย็นวาบในหัวใจ อะไรกันแน่วะ !! พรานแถบนี้เค้าเล่นเดินกลับกันดึกดื่นยังงี้เรอะ ไม่บ้าก็เมา ป่านี้ทั้งเสือทั้งช้าง แค่ปืนแก๊ปจะทำอะไรได้ หรือไม่ก็อีกทางหนึ่ง ต้องเป็นพรานฉกาจเก่งคาถาอาคม
.jpg
.jpg (36.61 KiB) เปิดดู 1801 ครั้ง

เขาก้าวเดินสม่ำเสมอ หน้ามองตรงไม่หันไม่แหงนดูอะไรทั้งสิ้น ตรงมาทางต้นไม้ที่ผมนั่งอยู่ จะเรียกหรือฉายไฟก็ไม่กล้า ชักกลัว ยึดหลักพรานเก่าเก่าที่สอนว่าห้ามทักหรือขานรับเมื่อเห็นอะไรผิดสังเกตในป่าตอนกลางคืน อากาศเยือกเย็นยังงั้นผมกลับเหงื่อท่วม เขาเดินเนิบเนิบท่าคอนปืนไม่เปลี่ยน ลอดใต้ห้างผมไปอย่างไม่มีข้อกังขาใดใดทั้งสิ้น ออกที่โล่งมีแสงเดือนให้เห็นชัดอีกครั้งหนึ่ง

อดรนทนไม่ได้ !

ผมล้วงกระสุน .400 ขว้างตามไปหนึ่งนัด เสียงลูกปืนกระทบพื้นดินได้ยินถนัด แต่เขาก็ยังเฉยอยู่เช่นเดิม เดินลงด่านใหญ่ลับไปเฉย ๆ ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก เสียงช้างแปร๋นแปร๋นอยู่บนเขา ไม่นานก็มีเสียงไม้ไร่พลั้วพละ เสียงหินกลิ้ง เสียงที่ว่ามันตรงลงมาหาโป่ง คะเนว่าโขลงนี้คงไม่น้อยกว่าหกเชือก คู่หน้าโผล่มาเห็นตะคุ่มแต่ไม่แวะ เลี้ยวลงด่านเดินต่อไป สามเชือกที่ตามมาหยุดหันรีหันขวาง สามเชือกที่อยู่ข้างหลังเลยมาหยุดอออยู่ ใช้งวงดึงต้นไม้เล่น ผมอยากดูว่าในโขลงมีช้างงาอยู่มั่งมั้ย ฉายไฟกราดลงไป โอ้โฮที่อยู่กลางโขลงงายาวกว่าสามศอก... ราวกับฝึกกันมาช่ำชอง พอเห็นแสงไฟเท่านั้นช้างอื่นที่อยู่รอบรอบก็เข้าบังช้างงาทันที ชูงวงร้องแปร๋น ที่อยู่ท้ายสุดก็เข้าดันก้นช้างงาทันที พากันออกวิ่งลงด่านเสียงสนั่นหวั่นไหว ผมเองกลับมานึกเป็นห่วงพรานปืนแก๊ปคนนั้น เขาไม่น่าจะออกเดินกลางคืนที่อาจจะได้รับอันตราย เพราะช้างไปทางเดียวกับเขา ไม่มีความปลอดภัยซักนิดในดงเช่นนั้น รึว่าเขามีอาคมขลัง

รึว่า...?
.jpg
.jpg (14.45 KiB) เปิดดู 1799 ครั้ง

ที่ตามโขลงช้างลงมาหลังตีสี่ก็กระทิงโทน เดินเลาะอยู่หน่อยแล้วตรงเข้าหาโป่งดินเค็ม ฉายไฟลงไปพร้อมกับประทับปืน เล็งจังหวะเหนี่ยวไก ไฟฉายดับพรึ่บ หัวเสียเผลอตัวร้อง เฮ้ย ! เต็มเสียง เจ้ากระทิงเผ่นโครมครามออกไป จากนั้นทุกอย่างก็เงียบสนิท

ไหงเป็นงั้นไปได้ หลอดไฟฉายขาดคืนเดียวถึงสองครั้ง !

สงบใจตั้งสติเปลี่ยนหลอดใหม่ ขณะเปลี่ยนหลอด อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ ได้ยินไอ้เสียงหัวเราะบ้าบ้านั่นอีก รึใครลองดีวะ ?

กลับถึงปางพัก เล่าเรื่องเมื่อคืน พรานผาเจ้าถิ่นแถบภูซับหญ้าขาว เขาซับแกงไก่ กลับจากงานบุญมาร่วมวงกับพวกเรา ฟังเรื่องของผมก็นิ่งอึ้งไป พูดคล้ายบ่นกับตัวเอง

"มันอุตส่าห์พานายแกไปถึงโป่งตะเคียนโน่น"

"พวกนายจำไอ้เด็กที่พวกนายตั้งชื่อใหม่ให้มันว่า "เหยี่ยว" ได้มั้ย เมื่อห้าหกปีก่อนน่ะ"

ผมนึกถึงหลานชายพรานผา เด็กหนุ่มล่ำสันท่าทางฉลาดเฉลียวปราดเปรียว สนใจติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง ตอนนั้นมันก่อนสงครามเพียงสองเดือน เขาขอมีดล่าสัตว์กับกระติกน้ำของผมไว้ มาคราวนี้ไม่เห็นเขา คิดว่าคงออกไปหางานทำที่อื่น พอลุงผาพูดผมก็เอะใจ

"ว่าไงนะลุง เหยี่ยวเรอะที่เราเห็นในด่านน่ะ รู้ได้ไงล่ะ ถ้าเป็นเหยี่ยวทำไมมันไม่ทักล่ะ"

"มันไม่ทักร้อกนาย มันถูกกระทิงขวิดตายที่โป่งตะเคียนสองปีมาแล้ว มันเอาปืนแก๊ปกระบอกยาวของผมไปจะยิงกระทิงเอาเนื้อมาขายพวกเสรีไทยอะไรนั่น"

"เหยี่ยวมันหายไปนานวันผิดสังเกตก็ตามไปดู ที่ไหนได้ นอนเละอยู่นั่นเอง"


มันบ่แน่หรอกนาย ในป่าในดง อะไรมันก็เกิดขึ้นได้
.jpg
.jpg (41.16 KiB) เปิดดู 1800 ครั้ง


คงเป็นผีจริงจริงมั้ง !



.........................................................................

ขอบพระคุณคุณสรศัลย์ แพ่งสภา จากหนังสือ "เหวตาบัว"

Re: ผีจริงจริงมั้ง

อาทิตย์ 20 ธ.ค. 2009 11:03 pm

ขนลุก

Re: ผีจริงจริงมั้ง

จันทร์ 21 ธ.ค. 2009 2:45 am

หุหุหุ อ่านแล้วก็ให้นึกถึงตอนสมัยหนุ่มกว่านี้ฟิตไปผูกเปลนอนบนห้างที่เขาขัดไว้บนกอไผ่คนเดียวที่โป่งในป่าห้วยขาแข้ง อิอิอิ ไม่ต้องรอให้มืดหรอกครับ แค่อยู่คนเดียวในป่า 2-3 ชั่วโมง ประมาณ 6 โมงเย็น ผมก็แทบจะปอดแหกออกมานอกตัวแล้ว ยิ่งถ้าเจออย่างนี้ล่ะก็กรี้ดสลบแหงมเลยเรา :lol: :lol: :lol:

Re: ผีจริงจริงมั้ง

จันทร์ 21 ธ.ค. 2009 9:36 pm

กัวๆๆๆ :icry: :icry:

Re: ผีจริงจริงมั้ง

อังคาร 22 ธ.ค. 2009 3:16 am

.jpg
.jpg (12.84 KiB) เปิดดู 1703 ครั้ง

Re: ผีจริงจริงมั้ง

พุธ 23 ธ.ค. 2009 4:02 am

แหม...มันส์ดีครับ มีภาพประกอบเข้ากั๊น เข้ากัน :grt:
ตอบกระทู้