Switch to full style
รวมบทความที่น่าสนใจต่าง ๆ จากนักเขียนชื่อดัง และ ผู้ที่ทรงภูมิความรู้มากมาย
ตอบกระทู้

ชาญชัย ปทุมารักษ์ แขวนพระสมเด็จองค์ละ ๒,๕๐๐ บาท

เสาร์ 18 ก.ค. 2009 5:22 pm

จาก คมชัดลึก คอลัมน์ สรณะคนดัง
[url]http://www.komchadluek.net/detail/20090718/20826/ชาญชัยปทุมารักษ์แขวนพระสมเด็จองค์ละ๒,๕๐๐บาท.html[/url]
วงการพระเครื่อง น่าจะเป็นวงการเดียวที่มีการรวมตัวของคนหลากหลายอาชีพ หลากหลายธุรกิจ รวมทั้งหลากหลายระดับการศึกษา ด้วยเหตุที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน คือ พระเครื่อง จึงมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน บางคนก็เข้ามาเพื่อหาความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรื่องการดูพระ ในขณะที่บางคนเข้ามาเพื่อเช่าและหาพระดีๆ ไปเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจตัวเอง ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน และนับวันวงการพระเครื่อง ยิ่งนับวันคนที่เข้าสู่วงการพระเครื่องจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้ เมื่อพูดถึงนักการเมือง ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าของรังพระใหญ่ และเคยเป็นรัฐมนตรีมีอยู่ ๔ ท่าน คือ นายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และส.ส.นครราชสีมา หลายสมัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นายชาญชัย ปทุมารักษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
01.jpg
ชาญชัย ปทุมารักษ์ กับพระเครื่องที่แขวนติดตัวเป็นประจำ
01.jpg (16.3 KiB) เปิดดู 2460 ครั้ง
“ผมสะสมพระเครื่องเป็นการอนุรักษ์ โดยสะสมมาตั้งแต่พระเครื่องยังไม่มีราคาค่างวดอะไร ในช่วงแรกๆ ผมมองว่าในอนาคตหากคนรุ่นเราไม่เก็บพระเครื่องพระกรุดีๆ ไว้แล้ว คนรุ่นลูกจะมีพระดีๆ อะไรไว้เล่น และตั้งแต่ผมเล่นพระมา ผมไม่เคยเจอพระปลอมเลยสักองค์ จริงๆ แล้วพระแท้ทุกองค์ แต่จะถึงยุคหรือไม่เท่านั้น ความแตกต่างของพระอยู่ที่ว่า สร้างขึ้นมายุคไหน สร้างมาจากวัดใด และใครสร้างต่างหาก” นี่เป็นเหตุผลของนายชาญชัย

สำหรับพระเครื่องที่ขึ้นชื่อว่าเช่ามาแพงนั้น นายชาญชัยบอกว่า มีอยู่ ๒ องค์ คือ พระสมเด็จ วัดบางขุนพรหม กำเนิดโดยท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อมตเถราจารย์ ผู้ทรงคุณความศักดิ์สิทธิ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พระสมเด็จ วัดบางขุนพรหม เป็นพระบรรจุกรุ เปิดกรุโดย จอมพลประภาส จารุเสถียร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ พระสมเด็จในสภาพสมบูรณ์ดี มีจำนวน ๒,๕๐๐ องค์ โดยได้เช่ามาจาก ลุงแฉล้ม บัวเปลี่ยนสี มัคนายกวัดบางขุนพรหม ราคา ๒,๕๐๐ บาท ทั้งนี้ ได้แขวนติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้

การเปิดกรุครั้งนั้น ได้พระชำรุดประมาณห้าหมื่นองค์ ลุงแฉล้มให้หยิบพระสมเด็จที่ชำรุดไปเป็นที่ระลึก เพราะสมัยนั้น คนเขาไม่เล่นพระหัก พระชำรุด แต่ไม่ได้หยิบมาเลยสักองค์ ซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นพระที่มีราคา และเป็นที่แสวงหาของคนเล่นพระ
06.jpg
พระชุดเล็กที่เหน็บเข็มกลัดไว้
06.jpg (18.65 KiB) เปิดดู 2456 ครั้ง

ส่วนอีกองค์หนึ่ง คือ พระ ๒๕ พุทธศตวรรษ เนื้อทองคำ ซึ่งกว่าจะเช่าได้มา ต้องผ่อนอยู่หลายเดือน แม้ว่าจะมีราคาไม่ถึงหมื่นก็ตาม

จากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเมืองมาหลายสิบปี นายชาญชัย บอกว่า มีนักการเมืองเพียงคนเดียวที่ไม่เคยขอพระเครื่องจากใคร และส่วนใหญ่ท่านจะเป็นฝ่ายถูกขอด้วยซ้ำไป คือ นายพิศาล มูลศาสตรสาทร อดีต ส.ส.หลายสมัย และรัฐมนตรีหลายกระทรวง

ส่วนนักการเมืองท่านอื่นๆ ที่รู้จักนั้น เมื่อรู้ว่าเล่นพระ ก็จะมาขอแบ่ง ที่ขอกันฟรีก็มีอยู่ไม่น้อยกว่าที่มาขอเช่าบูชา ทั้งนี้จะแบ่งให้เฉพาะบางรุ่น ที่มีอยู่หลายองค์เท่านั้น
02.jpg
พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่
02.jpg (22.22 KiB) เปิดดู 2457 ครั้ง
ในจำนวนพระเครื่องที่มีอยู่ทั้งหมดนั้น นายชาญชัย บอกว่า แม้ว่าจะรักและหวงแหนพระทุกองค์ แต่มีอยู่องค์หนึ่ง คือ พระสมเด็จ พิมพ์ทรงเจดีย์ วัดระฆัง โดยครั้งแรกเช่ามาในราคา ๓ หมื่นบาท เมื่อประมาณปี ๒๕๒๖ จากนั้นก็ไปเช็คที่สนามพระท่าพระจันทร์ เมื่อเซียนนำพระองค์ดังกล่าวไปล้าง ราคาเพิ่มเป็น ๗.๕ หมื่นบาท จากนั้นได้มีการซื้อขายในราครา ๑,๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยมารู้ภายหลังว่า ผู้ซื้อพระองค์ดังกล่าวไป คือ อ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ

ซึ่งตลอดเวลาพยายามอธิษฐานเสมอว่า ถ้ามีบุญขอให้ได้พระองค์ดังกล่าวกลับคืนมา
จนกระทั่งปี ๒๕๓๑ ได้มาเป็นที่ปรึกษา พล.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในครั้งนั้น อ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ได้รับการแต่งตั้งด้วย

และมีอยู่วันหนึ่ง มีการนัดเลี้ยงอธิบดี และตำรวจในกระทรวง อ.รังสรรค์ ล้วงพระสมเด็จออกมาโชว์ พร้อมกับพูดว่า “พี่จำพระองค์นี้ได้ไหม?” เลยตอบสวนไปว่า “พระของกู ทำไมกูจะจำไม่ได้”

ขณะเดียวกัน อ.รังสรรค์ พูดต่อว่า “พี่อยากได้เอาคืนไป” พร้อมกับถอดพระยื่นให้ ทั้งนี้ได้ตกลงเช่ากันในราคา ๑.๓ ล้านบาท

โชคดีที่โต๊ะร่วมรับประทานอาหารนั้น ท่านพิศาลนั่งอยู่ด้วย จึงเป็นพยานในการเช่า ผ่านไป ๑ อาทิตย์ อ.รังสรรค์ ไม่มารับเงิน ทั้งๆ ที่เตรียมไว้ จากนั้น อ.รังสรรค์ ก็มาเพื่อที่จะขอซื้อพระคืนไปอีกครั้ง แต่ตนเองไม่ยอม เพราะตามหาอยู่เกือบ ๕ ปี ในที่สุดจึงมีการตกลงสัญญาอย่างผู้ชายว่า “จะไม่มีการขายพระองค์นี้ออกไป” ซึ่งทุกวันนี้ ก็ไม่เคยคิดจะขายออกไปเลยสักครั้งเดียว
07.jpg
เหรียญหลวงปู่เอี่ยม พิมพ์ฉลุยกหน้า เนื้อเงิน, พระปิดตาหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ พิมพ์หูกระต่าย และ พระกำแพงซุ้มกอ พิมพ์ใหญ่ ข้างกนก
07.jpg (38.5 KiB) เปิดดู 2452 ครั้ง
เมื่อถามถึงหลักธรรม ที่ยึดปฏิบัติมากกว่า ๗๐ ปี นายชาญชัย พูดไว้อย่างน่าคิดว่า "สิ่งที่พ่อแม่มักพร่ำสอนและตนเองยึดปฏิบัติมาตลอด คือ ความกตัญญู คนไทยมีความเชื่อว่า ผู้ที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ จะมีความเจริญรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จในชีวิต คนที่ไม่ลืมคุณคน จะมีความเจริญรุ่งเรืองเสมอ ดังคำกล่าวของคนโบราณที่ว่า คนดีมีกตัญญู ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ส่วนผู้ที่เนรคุณนั้น จะประสบความวิบัติ เป็นที่รังเกียจในสังคม ได้มีการเปรียบเทียบว่า คนที่เนรคุณนั้น เป็นคนไร้ค่า มีจิตใจกระด้างดังเนื้อหิน เขาจะกรุณาคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อคนที่มีบุญคุณต่อเขา ยังทำให้เขาสำนึกไม่ได้”

Re: ชาญชัย ปทุมารักษ์ แขวนพระสมเด็จองค์ละ ๒,๕๐๐ บาท

เสาร์ 18 ก.ค. 2009 5:52 pm

ได้ข้อคิดดีครับ

Re: ชาญชัย ปทุมารักษ์ แขวนพระสมเด็จองค์ละ ๒,๕๐๐ บาท

เสาร์ 18 ก.ค. 2009 6:16 pm

ชอบมากทั้ง "พระ" ทั้ง "คำ"

ขอบคุณคุณจิ้งจกยกซดมากครับ :lol: :lol: :lol:

Re: ชาญชัย ปทุมารักษ์ แขวนพระสมเด็จองค์ละ ๒,๕๐๐ บาท

อังคาร 21 ก.ค. 2009 12:15 am

เป็นหลักธรรมที่ได้ข้อคิดจริงๆครับ เยี่ยม..... :D
ขอบคุณครับนักลากมือหนึ่ง
ตอบกระทู้